บรรยากาศเงียบสงัด ทุกคนต่างรอฟังคำตอบของอวิ๋นอี้ผู้ที่ไปไม่เป็ คราวนี้ทุกคนก็ต่างเห็นถ้วยแกงของนางกระเด็นไปที่ร่างซูเมี่ยวเออร์ พยานบุคคล พยานสิ่งของอยู่ครบ จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
อวิ๋นอี้มองไปที่ซูเมี่ยวเออร์ รู้สึกไม่ชอบใจอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ดีๆของนางไม่เหลือแล้ว นางเอ่ยอย่างเ็าว่า "ขออภัยเพคะ ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าไม่คิดว่าจะมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าตอนคุณหนูซูเตะเก้าอี้ของข้า คงวางแผนเอาไว้หมดแล้วกระมัง?”
ใครก็ตามที่ทำให้นางไม่มีความสุข นางก็จะทำให้มันไม่มีความสุขเช่นกัน ใส่ร้ายเื่เมื่อครู่ไม่สำเร็จ ครานี้เอาอีกแล้ว คิดว่านางรังแกได้ง่ายหรืออย่างไร?
หากไม่บอกให้ชัด เื่นี้ไม่จบแน่ ซูเมี่ยวเออร์จะทำตัวใสสะอาดบริสุทธิ์หรือ ถุย ฝันไปเถิด!
ซูเมี่ยวเออร์ใอีกครั้ง นางไม่คิดว่าอวิ๋นอี้จะพูดออกมาเช่นนี้
“ข้าไม่ได้ทำนะ!” ซูเมี่ยวเออร์ปฏิเสธทันที “ข้าไม่ได้เตะเก้าอี้ของท่าน ท่านใส่ร้ายข้า! ความผิดของท่านแท้ๆ ท่านยังจะพูดเช่นนี้อีก!”
หลังจากพูดไม่กี่คำ นางก็ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว หัวใจของอวิ๋นอี้เริ่มร้อนรุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นางอยากจะเอาพื้นรองเท้ายัดปากซูเมี่ยวเออร์ให้นางเงียบเสียที
บรรยากาศเริ่มแย่ลง องค์ไทเฮาผู้มีอำนาจมากที่สุดยังคงเข้าข้างซูเมี่ยวเออร์อยู่เสมอ นางไม่ถามว่าเขียวแดงดำหรือขาว [1] ก็กล่าวขึ้นมาว่า "อวิ๋นอี้! ขอโทษเมี่ยวเออร์เดี๋ยวนี้! ถึงแม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ข้าไม่ได้ตาบอด เ้าบอกว่าเมี่ยวเออร์เตะเก้าอี้ของเ้า ข้าอยู่ใกล้กับเมี่ยวเออร์เช่นนี้ จะไม่สังเกตเห็นได้เยี่ยงไรเ้านี่ช่างปากกล้า ก่อกวนทั้งยังเถียงคำไม่ตกฟาก ไม่รู้จักสำนึกผิด! จงขอโทษเมี่ยวเออร์เสีย! มิเช่นนั้นอย่ามาหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเ้า!”
“ท่านย่า!” หรงซิวขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้ม
“เ้าหุบปากเสีย! ” องค์ไทเฮาเหลือบมองนาง “เื่ในตำหนักนี้ ข้าเป็ผู้ตัดสิน! สตรีของเ้า เ้าไม่สั่งสอนให้ดี วันนี้ข้าจะสอนนางแทนเ้าเอง ให้นางได้หลาบจำ!”
สถานการณ์ไม่ดีแล้ว อวิ๋นอี้มองออกอย่างชัดเจน
ท่ามกลางความสนใจของทุกคน นางหยัดกายยืนขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางเอ่ยขอโทษอย่างเรียบร้อย "คุณหนูซู ข้าขออภัย ข้าผิดไปแล้ว หากไม่รังเกียจ ข้ายินดีที่จะช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเองเพื่อเป็การขอโทษ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ นี่ก็หมายความว่า นางสามารถใช้งานพระชายาเจ็ดผู้สูงส่งเยี่ยงสาวใช้ได้ใช่หรือไม่? ซูเมี่ยวเออร์แอบดีใจ พยักหน้าอย่างสงบ "ถ้าเช่นนั้น ข้าก็มิใช่คนคิดแค้นอะไร ช่างมันเถิดเพคะ พระชายาเจ็ดได้โปรดช่วยพาข้าไปเปลี่ยนชุดด้วย"
อวิ๋นอี้ยิ้มเยาะในใจ ติดกับข้าแล้วล่ะ นางโง่
นางพยักหน้ารับคำ ขณะที่ทุกคนกำลังมองอยู่ ก็เดินเข้าไปพยุงแขนของซูเมี่ยวเออร์อย่างอ่อนโยน จนทำให้ซูเมี่ยวเออร์ได้ใจ
“ข้าจะพาพวกเ้าไปเอง” หรงซิวยืนขึ้น เดินไปทางด้านข้างของอวิ๋นอี้
ทั้งสามคนเดินไปพลาง ซูเมี่ยวเออร์กำลังจมอยู่ในความปีติยินดีที่อยู่เหนือกว่าอวิ๋นอี้ได้ ทันใดนั้นอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องเสียงดังแล้วล้มลงกับพื้นทันที
“อวิ๋นเออร์!” หรงซิวอุทานขึ้นทันที
เื่เกิดขึ้นอีกครั้ง ใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่นแทบจะดังทะลุออกมา!
ซูเมี่ยวเออร์ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ดีๆ อวิ๋นอี้ถึงได้ล้มลงล่ะ?
หรงซิวช่วยพยุงอวิ๋นอี้ขึ้นมา ใบหน้าของนางชื้นแฉะ นางออเซาะ พิงเข้าหาเขา แล้วร้องไห้ออกมา "คุณหนูซู เหตุใดถึงทำเยี่ยงนี้กับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ข้าขอโทษแล้ว ทั้งยังอาสาช่วยเปลี่ยนชุดเป็การไถ่โทษ เหตุใดถึงยังต้องทำร้ายข้า จงใจขัดขาข้าอีก?”
หรงซิวก้มหน้าอมยิ้ม เ้าตัวเล็กนี่ฉลาดเป็กรด รู้จักสู้ตาต่อตาฟันต่อฟันด้วย แต่ทุกคนกลับตกตะลึง นี่มันเื่อันใดกันล่ะเนี่ย!
ซูเมี่ยวเออร์อ้าปากค้าง มองดูอวิ๋นอี้ด้วยความโกรธจนตัวสั่น “ท่าน! ข้าเปล่านะ! ท่านจงใจล้มลงเอง! ตั้งใจจะใส่ร้ายข้า!"
"ซูเมี่ยวเออร์ ข้าก็ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเออร์ ข้าเห็นกับตาว่าเ้าขัดขานางให้ล้ม เ้ายังคิดจะหาข้ออ้างอีกหรือ?” หรงซิวรีบพูดตัดหน้านาง
ใบหน้าของซูเมี่ยวเออร์ขาวซีด "ข้า...ข้า...ข้าไม่ได้ทำ!" นางมองไปที่องค์ไทเฮา "เสด็จย่า ข้าไม่ได้ทำนะเพคะ!"
สีหน้าองค์ไทเฮาดูหนักใจ
“ท่านย่าคงมิได้ไม่เชื่อใจหลานชายแท้ๆ คนนี้หรอกกระมัง!” หรงซิวจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘หลายชายแท้ๆ ’
เื่มาถึงตอนนี้ องค์ไทเฮาไม่มีทางเลือกอื่น นางมองไปที่ซูเมี่ยวเออร์อย่างเข้มงวด “เมี่ยวเออร์ เ้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน? ขอโทษพระชายาเจ็ดเดี๋ยวนี้!"
ซูเมี่ยวเออร์เห็นว่าทุกอย่างพังหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะถูกหรงซิวทำให้อับอายจนถึงขนาดนี้ นางก้มหน้าลง พูดด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด “พระชายาเจ็ด ข้าขออภัย เมื่อครู่ข้าหลงผิดไป ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หรงซิวอุ้มอวิ๋นอี้ขึ้น มองนางอย่างอ่อนโยนและถามขึ้นว่า “เป็เช่นไร? หายโกรธหรือไม่?”
ไม่แน่นอน
ใจของอวิ๋นอี้คับแคบ ซูเมี่ยวเออร์้าจะจับแกะมาถอนขน นางไม่ยอมเป็แกะตัวนั้นหรอก
“ขาข้าเจ็บมาก…เมื่อครู่เหมือนข้อเท้าจะพลิก… ฮือๆๆ เกรงว่าจะต้องนอนพักรักษาตัวนานเลยเพคะฝ่าา…” นางเงยหน้าขึ้นมองหรงซิว กล่าวอย่างน่าสงสาร
มองเข้าไปในแววตาขุ่นๆ ของนาง หรงซิวเข้าใจแล้ว เขาหันหน้าไปที่ซูเมี่ยวเออร์ “พระชายาเดินเหินมิได้แล้ว ดูเหมือนว่าคุณหนูซูจะต้องคอยอยู่ปรนนิบัตินางแล้วล่ะ"
สีหน้าของซูเมี่ยวเออร์ซีดลงทันที
“มิจำเป็หรอกเพคะ” อวิ๋นอี้พูดด้วยความมีเมตตาต่ออย่างทันท่วงที “เพียงให้คุณหนูซูช่วยพาข้าส่งกลับเรือนก็พอเพคะ”
ซูเมี่ยวเออร์อดทนกัดฟันจนแทบจะหัก คนที่ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวเปลือก [2] ก็คือนางเองนั่นแล!
แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแสร้งยิ้ม "พระชายาพระทัยกว้างยิ่งนัก ขอบพระทัยสำหรับความกรุณาเพคะ"
อาหารมื้อนี้ ทุกคนกินกันอย่างมิใคร่สบายใจนัก องค์ไทเฮากับซูเมี่ยวเออร์ หน้าบูดบึ้งไม่แพ้กัน ในทางกลับกันอวิ๋นอี้และหรงซิวสองคนตัวติดกัน หัวเราะคิกคักกันเป็ครั้งครา ดูสนิทสนมกัน รักใคร่กันยิ่งนัก
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตาไม่เห็นนับว่าสะอาด [3] ตอนที่หรงซิวขอลา องค์ไทเฮาก็รีบโบกมือให้ไปอย่างรวดเร็ว เขาอุ้มอวิ๋นอี้ขึ้น แล้วเดินกรีดกรายออกไป ตามหลังด้วยซูเมี่ยวเออร์ที่ต้องตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว อวิ๋นอี้ก็ออกจากอ้อมแขนของเขาทันที นางเหยียดมือออกเพื่อผลักเขาออกไปจนสุดทาง ให้พอมีระยะห่างระหว่างทั้งสองคน
หรงซิวยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมองไปหานาง “ข้ามแม่น้ำแล้วตัดสะพานเลยหรือ?” [4]
“หากไม่เช่นนั้นเล่าเพคะ?” อวิ๋นอี้พูดย้ำ "ข้าร่วมมือกับฝ่าาแสดงละครจนจบแล้ว ของในกล่องนั่นยามนี้เป็ของข้าแล้ว ฝ่าาห้ามกลับคำนะเพคะ!" นางยังจำเื่นี้ได้แม่น
หรงซิวพยักหน้า "เื่ที่สัญญากับเ้า ไม่มีวันกลับคำ"
"เช่นนั้นก็ดีเพคะ” อวิ๋นอี้เปิดหน้าต่างแล้วมองไปที่รถม้าด้านหลัง “บอกให้นางกลับไปเถิดเพคะ ข้าเห็นแล้วขัดใจ”
อวิ๋นอี้พูดถึงซูเมี่ยวเออร์ หรงซิวได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ แล้วเข้ามาใกล้ “อวิ๋นเออร์ เ้าไม่ต้องเป็กังวล ต่อไปข้าจะคอยปกป้องเ้าเอง”
“พอเลยเพคะ!” อวิ๋นอี้กล่าวอย่างโกรธเคือง “ก็เพราะฝ่าานั่นแหละ ซูเมี่ยวเออร์ถึงวางแผนเล่นงานข้า ถ้าฝ่าาอยากจะปกป้องข้าจริงๆ ได้โปรดอยู่ห่างจากข้าไว้เถิดเพคะ"
"เ้ากับข้าเป็สวามีชายา อวิ๋นเออร์อย่าห่างเหินกับข้าเช่นนี้เลย” หรงซิวคว้ามือของนางไว้ “ถ้านางรังแกเ้าอีก ข้าจะทำให้นางกินไม่หมดต้องห่อผ้ากลับ [5] ”
พื้นที่ในรถม้าไม่กว้างนัก เขาขยับเข้ามา อวิ๋นอี้ก็กระเถิบถอยออก เมื่อหลังััโดนเข้ากับหน้าต่างรถ ไร้ที่ให้หลบหนี นางทำได้เพียงถอนหายใจยอมรับชะตากรรม มองท่าทางของหรงซิว ในใจพลันนึกกลัว
ตอนนี้หนีไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องหลบเขา
หนึ่งก็เพราะกลัวซูเมี่ยวเออร์มีแผนทำอะไรอีก สองคือกลัวว่าเขาจะหาทางฉวยโอกาสกับนาง!
หลังจากที่อวิ๋นอี้ตัดสินใจแล้ว นางก็เริ่มลงมือทันที
เมื่อกลับมาถึงจวน ขณะที่หรงซิวกับพ่อบ้านกำลังสนทนากันอยู่ นางก็รีบกลับไปที่ห้องและใส่กลอนประตูหน้าต่างทั้งหมด เพียงเท่านี้ในยามค่ำนางก็จะนอนได้อย่างสบายใจ มิต้องกังวลว่าเขาจะบุกเข้ามาแล้ว หรงซิวไม่รู้ว่าอวิ๋นอี้กำลังคิดสิ่งใด เมื่อเขากลับมาที่ห้องก็พบว่าประตูเปิดไม่ออก เขาหันไปผลักหน้าต่าง ก็เปิดไม่ได้เช่นกัน
ภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด เขาหันไปมองห้องของตน และทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา
น่าสนใจจริงๆ
วันนี้นางถูกรังแกในวัง เขาจะปล่อยนางไปก่อนก็แล้วกัน
ในคืนนั้น อวิ๋นอี้ได้เตียงหลังใหญ่ทั้งหลังและนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ นางตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น เมื่อเห็นว่าข้างกายไม่มีใคร นางก็ยิ้มออกมา รู้อยู่แล้วว่าวิธีนี้ย่อมได้ผล
นางเปิดประตู มีคนรอล้างตัวและนำอาหารมาให้ หลังจากรับประทานอาหาร พ่อบ้านก็มาเรียกนาง บอกว่าองค์ชายรอนางอยู่ที่ห้องหนังสือ
ไม่ไป
อวิ๋นอี้ปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด “เท้าข้าแพลง เดินไปไม่ได้”
พ่อบ้านเห็นนางเดินไปมาในสวน ดูกระถางต้นไม้รอบๆ เขามุมปากกระตุก ทว่าก็ยังยืนอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน
อวิ๋นอี้ไม่สนใจเขา
หลังจากยืนนิ่งอยู่นาน พ่อบ้านก็รู้ว่าไม่เป็ผล สุดท้ายจึงเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์ ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาอีกครั้ง เื้ัไม่เพียงแต่จะมีหมอหลวงมาเท่านั้น อวิ๋นอี้กลับชำเลืองเห็นหรงซิวด้วย
เมื่อเห็นนางะโโลดเต้น เดินไปมาได้ ก็ทำเป็ไม่สนใจ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความกังวลว่า “อวิ๋นเออร์ ข้าได้ยินมาว่าเ้าเจ็บเท้าจนเดินไม่ได้ ข้าให้หมอมาตรวจดูโดยเฉพาะ"
“......” ข้าแสดง เ้าแสดง ทุกคนล้วนทำการแสดง
เขาสั่งให้คนนำเก้าอี้มา อวิ๋นอี้นั่งลง หมอแสร้งทำเป็ตรวจจนแล้วเสร็จ กำชับให้นางอยู่นิ่งๆ พยายามอย่าลงไปเดินมากนัก
หรงซิวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม "ข้าจะจำไว้"
อวิ๋นอี้นับถือทักษะการแสดงชั้นเลิศของเขา หลังจากที่หมอจากไป หรงซิวสั่งให้ทุกคนออกไป จากนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นและวางนางบนตักของเขา
ทำอะไรน่ะ!
อวิ๋นอี้ขัดขืนจะะโลงมา แต่หรงซิวไม่ยอม กล่าวว่า "ขาของพระชายาเจ็บอยู่ ลงพื้นเดินไม่ได้"
บ้านท่านสิ!
“ตอนนี้ข้าหายแล้ว” นางพูด
“มิได้” หรงซิวปฏิเสธ “หมอบอกแล้วว่าเ้าลงพื้นเดินไม่ได้”
แขนที่อุ้มนางไว้ค่อนข้างแข็งแรง อวิ๋นอี้ขัดขืนไม่ได้ ทั้งดิ้นรนอย่างไรก็ไม่รอด ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ยอมทุกข์ทน
หลังจากที่หรงซิวอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน เขาก็เริ่มจัดการงาน อวิ๋นอี้เห็นตัวหนังสือยั้วเยี้ยก็ปวดหัว ปล่อยความคิดของตนไปลอยหลุดไป
ในลานอันเงียบสงบ วสันตฤดูแสนสบาย หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม พ่อบ้านก็พาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา เมื่อมีเสียงการเคลื่อนไหว อวิ๋นอี้ก็หันไปมอง พลันเห็นเขาสั่งให้กลุ่มคนพวกนั้นกำลังทำอะไรบางอย่างกับประตู
“เฮ้ย!” อวิ๋นอี้ตีหรงซิว ขัดจังหวะเขา "ฝ่าาให้พวกนั้นทำอะไรเพคะ"
หรงซิวรับคำ พูดใส่ข้างหูของนางด้วยรอยยิ้ม "ข้ากังวลว่าพระชายาจะขังข้าไว้ด้านนอกอีก จึงให้พวกเขาถอดกลอนประตูออก"
“......”
ตอนนี้นางอยากจะด่ากราด!
ใบหน้าของอวิ๋นอี้บูดเบี้ยว เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง สุดท้ายนางก็หัวเราะ "ฝ่าาช่างเก่งกาจยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน"
"ขอบพระทัยพระชายา" เขากระตุกริมฝีปากขึ้นอย่างสง่างาม ยอมรับอย่างง่ายดาย
อวิ๋นอี้กัดฟันแน่น "ฝ่าาหรงซิวเพคะ ข้ามิได้มีใจให้พระองค์เลยสักนิด ฝ่าาดันทุรังทำเช่นนี้ พอพระทัยมากหรือเพคะ?”
"อวิ๋นเออร์ก็เคยปฏิบัติกับข้าเช่นนี้มาก่อน ทว่ายามนั้นเ้าดันทุรังไม่ยอมถอดใจ ข้าไม่สนใจเ้า เ้าก็จะเป็จะตาย คราแรกข้าก็ไม่เข้าใจ รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ตอนนี้ข้าได้ประสบเอง ก็เป็อีกความรู้สึกหนึ่งเช่นกัน” เขายกมือซ้ายจับเอวนางแน่น เลิกคิ้วเล็กน้อย "อวิ๋นเออร์ อย่างไรเ้าก็หนีมิพ้นอยู่แล้ว เป็อันดีหากเราทำสัญญากัน"
"สัญญาอันใด?" อวิ๋นอี้สงสัย รู้สึกระแวงในใจ
หรงซิวยิ้ม ช่วยปัดปอยผมออกให้นาง “อย่าเป็กังวลไป เรามาสัญญาว่าจะให้โอกาสกัน ภายในครึ่งปีนี้ เ้าพยายามยอมรับข้า พยายามลองรักข้า หากครึ่งปีแล้วเ้ายังไม่รู้สึกเช่นกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะเคารพเ้า ให้อิสระแก่เ้า "
เชิงอรรถ
[1] เขียวแดงดำหรือขาว 青红皂白 หมายถึง ความถูกความผิด
[2] ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวเปลือก 偷鸡不成蚀把米 หมายถึง อยากสร้างความเสียหายให้คนอื่น แต่กลับเสียหายเอง
[3] ตาไม่เห็นนับว่าสะอาด 眼不见为净 หมายถึง เื่อะไรที่เห็นแล้วไม่ชอบใจ เลือกไม่ไปยุ่ง ไม่เห็นจะดีกว่า
[4] ข้ามแม่น้ำแล้วตัดสะพาน 过河拆桥 หมายถึง ทำสิ่งใดสำเร็จตามใจหมายแล้ว ทอดทิ้งผู้ที่คอยช่วยเหลือ
[5] กินไม่หมดต้องห่อผ้ากลับ 吃不了兜着走 หมายถึง ทำเื่ไม่ดีไว้ ต้องรับผลการกระทำนั้นไว้เอง