Chapter 30
ดวงตาคมจับจ้องไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้รับมาจากผู้เป็แม่ เข้าสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้งเพื่อลดความประหม่าที่เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนปลายนิ้วยาวจะกดโทรออกเพื่อต่อสายหาใครบางคนที่พึ่งมาปรากฏตัวในชีวิตของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน พอสัญญาณการโทรเริ่มดังขึ้นปลื้มก็ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูและกดสปีกเกอร์โฟนเพื่อให้ร่างบางที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ได้รับรู้บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและใครอีกคนด้วย
(สวัสดีครับ) ไม่นานเกินรอปลายสายก็กดรับพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงและรูปประโยคที่ฟังดูสุภาพนุ่มหู
ขนที่อยู่บนตัวปลื้มทุกเส้นพร้อมใจกันลุกขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย
ของเขาแรงจริงว่ะ
แค่ได้ยินเสียงภาพใบหน้าของอีกคนที่ไม่รู้ว่าเขาเอาเวลาไปจำได้ตอนไหนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที แต่เขาจะไม่ยอมให้ไอ้โชคชะตาห่าเหวอะไรนี่มาครอบงำเขาได้หรอก ปลื้มสะบัดหัวไร้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปก่อนจะกลับมาจดจ่อกับคนที่อยู่ปลายสายอีกครั้ง
“สวัสดีครับ น้องพร้อมใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มรู้จักชื่อของอีกคนมาจากมารดา แถมยังรู้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกด้วยว่าคู่โชคชะตาของเขาคนนี้นั้นเป็ถึงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคนใหญ่คนโตเชียวนะ
(ใช่ครับ ไม่ทราบว่าใครหรอครับ)
“พี่ปลื้มเองครับ”
(...) พอร่างสูงเอ่ยแนะนำตัวเองออกไปเสียงของคนที่อยู่ปลายสายก็เงียบลงราวกับว่าการติดต่อระหว่างพวกเขานั้นได้ขาดหายไปแล้ว
“น้องพร้อมยังอยู่มั้ยครับ” เมื่อรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปปลื้มกับแทนก็เริ่มมองหน้ากัน ก่อนที่ร่างสูงจะตัดสินใจเอ่ยเรียกอีกคนเพื่อให้แน่ใจว่าสายยังไม่หลุด
(ฟังอยู่ครับ) เสียงของอีกฝ่ายดูเหมือนจะสั่นขึ้นจากเดิมนิดหน่อยหลังจากที่รู้ว่าเขาคือใคร
“น้องพร้อมรู้ใช่มั้ยครับว่าพี่เป็ใคร” เสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิง
เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้เื่คู่โชคชะตาแบบเขามากน้อยแค่ไหนจึงยังไม่กล้าที่จะพูดเข้าประเด็นเลยในทันทีแต่เลือกใช้วิธีค่อยๆพูดตะล่อมเอาแทน
(ทราบครับ คุณแม่บอกพร้อมแล้วว่าพี่ปลื้มเป็คู่โชคชะตาของพร้อม หลังจากที่เราเจอกันวันนั้น)
เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายปลื้มก็เงยหน้าขึ้นมองแทนอีกครั้ง ร่างบางพยักหน้าลงนิดหน่อยปลื้มจึงหันไปคุยกับโอเมก้าคนนั้นต่อ
“เื่วันนั้นพี่ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของตัวเองแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณของอัลฟ่าแต่เขาก็ยังเลือกที่จะเอ่ยขอโทษออกเผื่อว่ามันจะทำให้คนที่เด็กกว่ารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
(ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ พี่เองก็คงไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นแต่เื่แบบนี้มันก็ห้ามกันไม่ได้ พร้อมเข้าใจ)
“โอเค งั้นเข้าเื่เลยนะ พอดีพี่มีเื่อยากจะคุยกับพร้อมต่อหน้า เราพอจะสะดวกออกมาเจอพี่มั้ย”
(...) คราวนี้ปลายสายเงียบไปนานขึ้นกว่าเดิม แต่ปลื้มก็อดทนรออย่างใจเย็นไม่ได้เอ่ยเร่งเร้าคนอายุน้อยกว่าเพื่อจะรีบเอาคำตอบแต่อย่างใด (ถะ...ถ้าเราเจอกันพี่จะกัดพร้อมมั้ยครับ) น้ำเสียงที่ฟังดูกล้าๆกลัวๆของคนปลายสายทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่อีกคนนั้นมีต่อปลื้มทันที
ภาพจำของปลื้มตอนที่รัทแล้วพยายามจะวิ่งเข้าหาน้องในวันนั้นคงจะทำให้อีกฝ่ายขวัญเสียไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไม่ครับ พี่ไม่มีวันกัดพร้อมอย่างแน่นอน” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดังฟังชัดเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของตัวเองและทำให้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกมั่นใจมากขึ้น
(ถ้าพี่ปลื้มรับปากว่าจะไม่ทำอะไรพร้อม งั้นเราเจอกันก็ได้ครับ พร้อมก็มีเื่ที่อยากจะคุยกับพี่ปลื้มเหมือนกัน)
“น้องพร้อมสะดวกเป็วันไหนดีครับ”
(พรุ่งนี้ครับ ประมาณสี่โมงเย็นเดี๋ยวพร้อมแชร์โลเคชั่นร้านกาแฟแถวมอของพร้อมไปให้ พี่ปลื้มมาได้มั้ยครับ)
“ได้ครับ ไว้เจอกันนะครับ”
(ครับ)
ติ๊ด
หลังจากที่บทสนทนาจบลงปลื้มก็กดตัดสายทิ้งไป เขาเงยหน้าขึ้นมองแทนเพื่อตรวจเช็กดูว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่พอเห็นว่าร่างบางยังมีสีหน้าปกติดีร่างสูงก็เผยรอยยิ้มเล็กที่มุมปากออกมา
“มึงว่าน้องเขาจะคุยเื่อะไรกับมึง” แทนถามความเห็นของปลื้ม ขณะที่เดินไปหยิบเบียร์สองกระป๋องออกมาจากตู้เย็น คืนนี้แทนตัดสินใจว่าจะมาค้างกับปลื้มที่คอนโดฯเพราะในวันพรุ่งนี้ร่างบางนั้นมีเรียนแต่เช้าซึ่งเป็คลาสที่อาจารย์นัดเรียนชดเชยเป็กรณีพิเศษ
“ไม่รู้ดิ ไม่อยากคิดด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้รู้เองแหละ” ร่างสูงไหวไหล่อย่างไม่คิดอะไรมาก มือหนายื่นออกไปรับกระป๋องเบียร์มาจากมือของอีกคน ใช้นิ้วเปิดมันจนเกิดเสียงดังก่อนใบหน้าหล่อจะรีบก้มต่ำลงไปดื่มฟองเบียร์ที่ล้นออกมาเข้าไปในปาก
“ถ้าเขาขอให้มึงผูกพันธะกับเขา มึงจะทำมั้ย”
“ไม่ทำ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบออกมาโดยไม่เว้นจังหวะคิดเลยด้วยซ้ำ
“ตอบเร็วไปป่ะ คิดสักนิดก็ได้”
“ทำไมต้องคิด ยังไงกูก็ไม่มีทางผูกพันธะกับเขาหรอก”
“ถ้าเขามีความจำเป็ล่ะ”
“แต่มันไม่ได้จำเป็กับกูด้วยนี่”
“ถ้าเขาเดือดร้อนจะไม่ช่วยเขาหน่อยเลยหรือไง”
“ถ้าเดือดร้อนจริงกูก็จะช่วยเท่าที่กูช่วยได้ แต่ถ้าให้กัดสร้างพันธะมันมากเกินไป” ปลื้มมองตาขวางใส่แทน “มึงเลิกทำเหมือนอยากจะยกกูให้เขาสักทีได้ป่ะ แม่งโคตรน้อยใจเลยว่ะ”
ก็พองแก้มงอนเป็เด็กน้อยไปเลยสิครับ
“ทำหน้าอะไรของมึง”
“กูงอนอยู่” บอกสักหน่อยเผื่อไม่รู้
“งอนกูเื่?” ร่างบางที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดได้แต่มองหน้าของอีกคนด้วยความงง
“เฮอะ”
ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่าเื่อะไร
“มีสะบัดหน้าหนีซะด้วย งอนจริงหรอวะ” ปลายนิ้วชี้จิ้มลงที่ต้นแขนหนาแทนการหยั่งเชิง ซึ่งอีกคนก็ขยับแขนหนีเหมือนนิ้วเรียวนั้นเป็ของร้อนไปตามระเบียบ “ต้องง้อป่ะเนี่ย” เอ่ยถามอย่างทีเล่นทีจริงพร้อมกับวางกระป๋องเบียร์ที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปใกล้คนขี้งอนมากขึ้น
“ก็แล้วแต่จะคิด”
“งอนเป็เด็กเลยนะไอ้สัด” มือบางประกรอบหน้าของคนขี้งอนเอาไว้ความเย็นที่ติดอยู่บนฝ่ามือทำให้ร่างสูงสะดุ้งตัวเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเก๊กหน้าไว้ได้อยู่ อัลฟ่าร่างบางออกแรงดึงใบหน้าหล่อของอีกคนให้หันมามองกัน ริมฝีปากอิ่มกดจูบลงบนหน้าผากกว้างค้างเอาไว้ไล่มาที่แก้มตอบทั้งสองข้าง ปลายจมูก และจบลงที่ปลายคาง “หายงอนกูได้ยัง”
“ใกล้หายละ” ร่างสูงลอยหน้าลอยตาตอบ
“เล่นตัวเก่งจริงๆ”
“จุ๊บก่อน เดี๋ยวหายเลย” ริมฝีปากหนายื่นออกมารอรับจุมพิตที่ตนเองเรียกร้อง
“ได้ดิ”
เพี๊ยะ
“โอ๊ย!”
“จุ๊บมือกูไปก่อนแล้วกัน” มือบางตบลงที่ริมฝีปากหนาหนึ่งที ทำเอาร่างสูงมุ้ยหน้ากลับมาอีกรอบ แทนยิ้มเอ็นดูให้กับท่าทางที่ดูไม่โตของอีกคนก่อนจะรีบก้มลงไปกดจูบลงบนริมฝีปากหยักนั้นเร็วๆโดยที่อีกคนตั้งตัวไม่ทันแล้วรีบผละออก แต่มือหนากลับคว้าแขนเรียวเอาไว้ได้ทัน ปลื้มออกแรงดึงตัวของอีกคนให้เข้ามาหาตัวเอง แทนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซเข้าไปหาปลื้มตามแรงดึงนั้น
ร่างสูงใช้มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมไปจับที่ท้ายทอยสวยเพื่อล็อกองศาศีรษะของร่างบางเอาไว้แล้วออกแรงดึงให้อีกคนโน้มใบหน้าลงมาแลกลิ้นกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกวาดต้อนความหวานเข้าปากจนพอใจฟันคมก็ขบลงที่ริมฝีปากอิ่มหนึ่งครั้งพอให้อีกคนได้รู้สึกเจ็บก่อนจะผละออก ไม่ลืมส่งยิ้มเ้าเล่ห์ตบท้ายการกระทำของตัวเองไปอีกหนึ่งที
“ฉวยโอกาสสัด” แทนชกเข้าไปที่หัวไหล่แกร่งหนึ่งทีด้วยแรงที่ไม่มากนัก
“หายงอนละ” ปลื้มยิ้มหน้าระรื่น เขาปล่อยแขนเรียวและท้ายทอยสวยให้เป็อิสระก่อนจะหยิบเบียร์ในกระป๋องที่เหลืออยู่ขึ้นมาดื่มต่อหน้าตาเฉย “แต่มึงอย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกนะ กูไม่ชอบ” เขาเลือกที่จะบอกความ้าของตัวเองออกไปตรงๆเพื่อให้อีกคนเข้าใจตรงกัน
“อือ ขอโทษละกัน กูจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” แทนก็แค่กลัวเลยอยากรู้คำตอบของปลื้มไว้ก่อนเขาจะได้เตรียมใจเอาไว้ถูกถ้าหากสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
“มานี่มา” แขนหนายกขึ้นกางออกเหมือนเชื้อเชิญให้อีกคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แทนจึงเขยิบตัวเข้าไปหาคนตรงหน้าก่อนร่างของเขาจะถูกร่างสูงที่นั่งอยู่โอบกอดเอาไว้ ใบหน้าหล่อแนบลงที่แผ่นอกบาง ไม่มีใครพูดอะไรออกมามีเพียงความเงียบที่ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
ในที่สุด่เวลาที่นัดหมายกับใครบางคนไว้ก็มาถึง
อัลฟ่าหนุ่มหล่อแห่งคณะรัฐศาสตร์ขับรถพาแทนมาถึงร้านกาแฟที่โอเมก้าคนนั้นส่งโลเคชั่นมาให้ก่อนเวลาที่นัดกันไว้ประมาณห้านาที พวกเขาทั้งสองคนเดินลงจากรถเพื่อเข้าไปด้านใน ปลื้มส่งข้อความหาอีกฝ่ายเพื่อบอกให้ทราบว่าเขามาถึงแล้ว คนอายุน้อยกว่ากดอ่านข้อความนั้นก่อนจะโบกมือให้ร่างสูงเพื่อบอกตำแหน่งของตัวเองว่านั่งอยู่ตรงส่วนไหนของร้าน
ปลื้มยิ้มสุภาพให้กับคนแปลกหน้าทั้งสองคน
จะเรียกว่าแปลกหน้าได้มั้ยนะ ได้แหละเพราะก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมายแต่แรกอยู่แล้วนี่นา
พร้อมไม่ได้มาคนเดียวเขาพาใครอีกคนมาด้วยซึ่งปลื้มเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มหน้ามนคนนี้เป็ใคร แต่ถ้าจะให้เดาแบบคนที่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆเขาก็คิดว่าน่าจะเป็เพื่อนของพร้อมนั่นแหละ คงจะมาเป็เพื่อนกัน
“สวัสดีครับ” คนที่อายุน้อยกว่าเป็ฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
“ครับ นี่แทนนะ...” ปลื้มเว้น่เอาไว้ เขาลังเลว่าควรแนะนำแทนในสถานะอะไรเนื่องจากเขาทั้งสองคนยังไม่เคยให้สถานะกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่อย่างเป็ทางการเลย
“เป็เพื่อนของปลื้มครับ” แทนเสริมต่อประโยคที่อีกคนยังพูดไม่จบพร้อมรอยยิ้มเป็มิตร มือบางออกแรงบีบมือของปลื้มๆเบาๆเหมือนจะบอกว่าให้ไหลตามน้ำไปก่อน
“อือ เพื่อนสนิทพี่เอง”
ร่างสูงจงใจเน้นคำว่า ‘สนิท’ เป็พิเศษทำให้โอเมก้าตรงหน้าเข้าใจได้ไม่อยากนักว่าอัลฟ่าหนุ่มหล่อทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าคำว่าเพื่อนอย่างแน่นอน
“ส่วนนี่เลย์แฟนพร้อมครับ”
ปลื้มกับแทนเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะหันมามองหน้ากันแบบอัตโนมัติเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้างกาย ปลื้มไม่รู้สึกได้ถึงความเป็อัลฟ่าของอีกฝ่ายเลยนั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีเพศรองเป็อัลฟ่าเหมือนเขาและแทนอย่างแน่นอน แล้วก็คงจะไม่ใช่โอเมก้าด้วย น่าจะเป็เบต้ามากกว่า
“พี่ปลื้มกับพี่แทนจะสั่งอะไรดื่มก่อนมั้ยครับ”
“ไม่ล่ะ พูดกันแบบตรงไปตรงมาเลยนะ พี่มีคนรักอยู่แล้วและพี่ก็ไม่สนโชคชะตาอะไรทั้งนั้น” ปลื้มเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“แล้วพี่คิดว่าพร้อมสนหรือไง” คนที่อายุน้อยกว่าเอ่ยย้อนกลับมา “ถ้าสนพร้อมคงไม่พาเลย์มานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยหรอกนะครับ”
“...”
“ตอนแรกพร้อมเข้าใจว่าพี่จะนัดมาตกลงเื่ผูกพันธะ พร้อมเลยพาเลย์มาด้วยเพื่อที่จะบอกพี่ว่าพร้อมไม่มีวันผูกพันธะกับพี่หรอก”
คำตอบของคนตรงหน้าค่อนข้างที่จะเหนือความคาดหมายของปลื้มและแทนอยู่ไม่น้อย แต่มันก็ดีแล้วที่ความ้าของคู่โชคชะตาทั้งสองคนตรงกัน
“แล้วผู้ใหญ่ทางเราว่าอย่างไงบ้าง” ถึงฝั่งเด็กจะเคลียร์กันลงตัวแต่ถ้าพวกผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยก็คงต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยกันเพื่อให้เราทั้งสองฝ่ายได้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
“บ้านพร้อมอยากให้พร้อมจับคู่กับพี่” เป็ธรรมดาที่ทางบ้านของพร้อมจะ้าแบบนั้น เพราะโอเมก้าโดยทั่วไปก็ต้องหาคู่ที่เหมาะสมและสามารถปกป้องตัวเองได้ทั้งนั้น “แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะพร้อมจัดการได้”
“จะไม่มีปัญหาอะไรตามมาใช่มั้ย ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะ ยกเว้นอย่างเดียว อย่าให้จับคู่สร้างพันธะ” ร่างสูงเน้นย้ำอย่างหนักแน่นถึงเจตนาของตนเอง
“พร้อมก็ไม่มีวันให้พี่มาช่วยเื่นั้นหรอก แล้วทางบ้านพี่ว่ายังไงบ้าง พี่ได้คุยกับพวกท่านบ้างหรือยัง”
“ทางครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรกับการตัดสินใจของพี่” ใบหน้าหล่อผินไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “พวกท่านรับรู้เื่ของพี่กับแทนมาตลอด พอพี่บอกว่าจะเลือกแทนแม่พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“ว่าเเล้วเชียว” เลย์ที่นั่งเงียบฟังพร้อมกับปลื้มคุยกันมาตลอดเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาเหมือนพึมพำกับตัวเองแต่มันก็ดังพอให้อีกทั้งสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ได้ยินและหันมามองที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ว่าแล้วอะไร” ปลื้มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ว่าแล้วว่าระหว่างพี่สองคนต้องไม่ใช่แค่เพื่อนกันเฉยๆแน่”
“พึ่งรู้หรอ” พร้อมหันไปถามแฟนหนุ่มของตัวเอง
“เธอรู้อยู่แล้วหรอ” เด็กหนุ่มย้อนถามแฟนของตัวเองด้วยความแปลกใจ
“อือ รู้ั้แ่พี่ปลื้มจงใจเน้นคำว่าสนิทแล้ว”
เมื่อได้ยินพร้อมพูดออกมาแบบนั้นแทนก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแขนของอีกคนโทษฐานที่ทำให้เขาเขินอายต่อหน้าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า
คิ้วเข้มรับกับใบหน้าที่หล่อเหล่ากระตุกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงซ่อนความเ็ปเอาไว้ภายใต้สีหน้าที่เรียบนิ่งได้
“งั้นสรุปว่าความ้าของเราตรงกัน เื่คู่โชคชะตาบ้าบออะไรนั่นก็ช่างหัวมันไป”
“ใช่ครับ พร้อมจะไม่ยอมเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นเพียงเพราะแค่ความเชื่อที่ว่าเราสองคนเป็คู่โชคชะตากันเด็ดขาด” เด็กหนุ่มคว้ามือของคนรักมาจับเอาไว้ “บนโลกใบนี้ก็มีคู่รักตั้งหลายคู่ที่เขาไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตากันเขายังรักกันได้เลย แล้วทำไมพร้อมกับเลย์จะรักกันเหมือนพวกเขาบ้างไม่ได้ล่ะ”
คำพูดของโอเมก้าตัวขาวเหมือนมีดที่แทงเข้ามากลางใจของแทนอย่างจัง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความคิดหรือมุมมองในด้านความรักในแง่บวกแบบอีกคนเลย หวาดระแวงว่าปลื้มจะเลือกทำตามโชคชะตาหรือเปล่า ในบางครั้งก็คิดว่าการเลือกทำตามสิ่งที่ชะตากำหนดเอาไว้คงจะดีที่สุดทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะเลือกคือการเลือกทำในสิ่งที่เรามีความสุขต่างหาก
น่าอายชะมัด
ขนาดน้องมันอายุน้อยกว่า เขายังคิดได้มากกว่ามึงอีกนะไอ้แทน
“ที่จริงวันนี้ที่นัดเจอกันพร้อมยังมีอีกเื่จะขอพี่ปลื้ม”
“เื่อะไรหรอ”
“ต่อจากนี้เราพยายามเจอกันให้น้อยลงหรือไม่เจอกันอีกเลยก็ดีนะครับ แบบว่าแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของใครของมันเหมือนก่อนหน้านี้ที่เราจะเจอกัน”
“...”
“เพราะถึงเราจะรักมั่นในคนรักของเรามากแค่ไหนแต่พี่ก็รู้สึกได้เหมือนกันใช่มั้ยว่ามันจะมีแวบหนึ่งที่โชคชะตามันทำตัวอยู่เหนือเรา”
ร่างสูงพยักหน้าแทนคำตอบว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด แวบหนึ่งที่พร้อมพูดถึงคงจะเป็เวลาที่เราคิดถึงคำว่าคู่โชคชะตาใบหน้าของอีกคนก็มักจะลอยเข้ามาในหัวของเราทุกที และทุกครั้งที่บังเอิญสบตากันใจมันก็จะเต้นแรงขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่เหมือนเป็กลไกของร่างกายที่จะหวั่นไหวให้กับคนคนนี้ตลอด
“พี่ว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
“ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นพร้อมคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“อือ โชคดีนะ”
“พี่ปลื้มกับพี่แทนก็เหมือนกันนะครับ ขอให้พวกพี่มีความสุขกับความรักมากๆเลยนะครับ”
“ขอบคุณนะ เราก็เหมือนกันล่ะ”
“...” โอเมก้าคนสวยยิ้มรับคำพูดของแทนก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับคนรักของตนเอง
ไม่รู้เลยว่าจะมีคู่โชคชะตาสักกี่คู่ที่บอกลากันพร้อมรอยยิ้มและความรู้สึกยินดีในความสุขของอีกคนแบบนี้
แทนมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปจนหายลับสายตาไป ก่อนจะวนสายตากลับมามองหน้าปลื้มอีกครั้งแล้วก็พบว่าอีกคนนั้นกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไร” แทนยกมือขึ้นมาแตะที่ใบหน้าตัวเองเพื่อเช็กว่ามีอะไรผิดไปหรือเปล่า ร่างสูงถึงได้มองกันตาไม่กะพริบแบบนั้น
“สบายใจแล้วนะ”
“เื่?”
“ก็เื่คู่โชคชะตากูไง สบายใจแล้วใช่ป่ะ”
“ก็เคลียร์ดีนะ น้องเขาก็น่ารักดี”
“งั้นก็เลิกจับกูใส่พานถวายให้เขาได้แล้วเน๊อะ”
“ใครเขาทำแบบนั้นกับมึง คิดไปเอง” ดวงตาคมเสตาหนีหลบไปทางอื่นเหมือนคนที่รู้ตัวว่าทำเื่ผิดเอาไว้
“หรออออออ” ชายหนุ่มลากเสียงยาว
“ไปสั่งน้ำกินดีกว่า คอแห้งว่ะ”
เถียงไม่ได้ก็หนีแม่งไปเลยสิครับ
“นั่งเฉยๆเนี่ยคอแห้งเลยหรอ”
“มีกฎข้อไหนห้ามคนนั่งเฉยๆคอแห้งไม่ทราบ ไม่น่ามีนะ”
“ฮึ มันเขี้ยวว่ะ” ร่างสูงกัดฟันพูด ก่อนจะยอมลุกขึ้นแล้วเดินไปสั่งน้ำที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์เป็เพื่อนร่างบาง
“ชาเขียวปั่นหวานน้อยแก้วหนึ่งครับ มึงเอาอะไรเปล่า”
“...” ปลื้มส่ายหน้าปฏิเสธเขาไม่ได้หิวน้ำหรืออยากดื่มอะไรเป็พิเศษแล้วก็คิดว่าค่อยแย่งแทนกินทีหลังเอาก็ได้ ขายาวพาร่างกายสูงโปร่งของตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้ที่มีขนมหวานโชว์อยู่มีเค้กหลายรสชาติที่ดูน่ากิน มือหนาจึงยื่นไปสะกิดแขนของร่าบาง
“ฮื้ม?”
“กินป่ะ” แทนมองตามมือหนาที่ชี้ไปยังขนมเค้กก้อนหนึ่ง
“ไม่ได้อยากกินของหวานว่ะ มึงจะกินป่ะล่ะ”
“กูอยากลองอะ เอามาชิ้นหนึ่งแล้วกัน”
“ขอโทษนะครับ” อัลฟ่ากลิ่นฝนหันไปเรียกพนักงานที่กำลังยุ่งกับการตักน้ำแข็งใส่แก้วอยู่ “รับเค้กเพิ่มชิ้นหนึ่งครับ”
“สักครู่นะครับ ชิ้นไหนครับ”
“ชิ้นนี้ครับ” ร่างสูงชี้นิ้วไปยังขนมเค้กที่ตนเองหมายตาเอาไว้ เมื่อได้ทั้งน้ำและขนมตามที่สั่งแทนก็จัดการจ่ายเงิน ก่อนที่เขาทั้งคู่จะเดินออกมาจากร้าน
“ฝนจะตกว่ะ” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มบ่งบอกว่าอีกไม่นานเม็ดฝนคงจะกระหน่ำลงมา
“งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ”
“อือ”
มิชชั่นของคู่โชคชะตาจบลงง่ายกว่าที่ปลื้มคิดเอาไว้ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อยเลยที่ถูกโชคชะตาจับคู่ไว้กับพร้อม ถ้าหากเป็คนอื่นไม่รู้เลยว่าทุกอย่างมันจะจบลงง่ายๆภายในเวลาอันสั้นแบบนี้หรือเปล่า ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เส้นทางที่เขาเลือกจะเป็อย่างไร มันจะออกมาดีหรือไม่ ได้แต่คาดหวังให้แต่ละวันที่เรามีกันมันผ่านไปได้ด้วยดีถึงจะมีเื่แย่ๆเกิดขึ้นหรือผ่านเข้ามาก็ขอให้เราทั้งคู่ข้ามผ่านมันไปได้
เขารู้สึกว่าการมีความรักมันก็เหมือนเราที่ใช้ชีวิตอยู่ใน่ฤดูฝนนั่นแหละ เราไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่ฝนจะตกหนัก ตกเบา ตกมาพอให้รู้สึกเย็นหรือตกมาให้น้ำท่วมจนเดือดร้อนกันไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วถ้าเราผ่าน่เวลาที่ฝนตกไปได้ท้องฟ้าของเราก็จะงดงามเสมอ ความรักมันก็ต้องมี่ที่กระทบกระทั่งกันบ้างั้แ่เื่เล็กน้อยไปจนถึงเื่ใหญ่โต แต่ทุกครั้งที่เราทะเลาะกันมันก็จะยิ่งทำให้เรารักกันมากขึ้นเข้าใจกันมากขึ้น
“แทน!” ร่างสูงที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำะโเรียกร่างบางที่เข้าใจว่าน่าจะกำลังนั่งเล่นอยู่บนเตียงแต่กลับไม่เป็อย่างที่คิด “แทน! มึงเห็นไดร์เป่าผมกูมั้ย!”
เงียบ
“แทน! มึงอยู่ไหนเนี่ย!” เสียงของอัลฟ่าหนุ่มดังลั่นไปทั่วทั้งห้องพักเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก
“โทรสั่งข้าวอยู่ จะเสียงดังอะไรหนักหนา กูก็อยู่นี่แหละจะหายไปไหนได้ล่ะ”
คนที่เดินกลับเข้ามาจากระเบียงบ่นอุบ ร่างบางเดินผ่านปลื้มเข้าไปในห้องนอน เขาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาไดร์เป่าผมให้เ้าของห้อง
แม่งก็ใช้อยู่คนเดียวแต่หาอะไรไม่เคยจะเจอหรอก กูล่ะงง
“เอา” แทนยื่นไดร์เป่าผมไปตรงหน้าปลื้ม เขามองหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาจากปลายผมของอีกคน “มึงทำดีๆได้มั้ย น้ำแม่งหยดเต็มพื้นแล้วเนี่ย”
คนที่โดนบ่นมองหน้าของอีกคนพร้อมกับไหวไหล่อย่างไม่แยแสในคำพูดของอีกคน จนได้รับรางวัลเป็ไดร์เป่าผมที่ฟาดลงบนต้นแขนของเขา
“ทำไมเดี๋ยวนี้ใช้กำลังเก่งจังวะ”
“ก็ดูมึงทำสิ กวนส้นตีน”
“พูดคำหยาบกับผัวไม่น่ารักเลยนะคะ”
“ผัวที่หน้ามึง”
“ใช่เลยผัวมึงหน้าตาแบบนี้แหละดูเอาไว้สิ” ร่างสูงยังแหย่อีกคนไม่เลิก เขาแกล้งก้มหน้าไปหาแทนก่อนจะโดนมือเรียวผลักหัวกลับมาจนแทบจะหงายไปข้างหลัง
“เบื่อจะเถียงกับมึง”
“เขินก็พูด” ริมฝีปากหยักยกยิ้มชอบใจ
“ไปเป่าผมมึงเลย น้ำเปียกทั่วห้องแล้วเนี่ย” แทนโบกมือไล่ให้ปลื้มไปจัดการกับผมของตัวเอง เพราะยิ่งยืนน้ำก็ยิ่งหยด
“เป่าให้หน่อยดิ”
“มือมึงไม่มีหรอ”
“มืออะมีแต่ก็อยากอ้อนเมียให้เป่าผมให้บ้าง”
“ภาระฉิบหาย”
อัลฟ่าหนุ่มยิ้มไม่หุบเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแทนเคยพูดประโยคนี้กับเขาในวันที่เขาเดินไปต่อยหน้าอีกคนแล้วจับมือร่างบางให้วิ่งออกมาด้วยกัน เขาเมาลงไปนั่งร้องไห้บนพื้นโคตรน่าอนาถใจ แทนเดินหนีก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับบอกว่า
‘ภาระฉิบหาย’
ถึงจะโดนด่าแต่ก็มีความสุขเพราะประโยคนี้มันถูกเอ่ยขึ้นเป็ประโยคแรกหลังจากที่แทนตัดสินใจจะเดินกลับมาและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนมันได้ไปต่อ ส่วนไฟแช็กของเขาที่แทนใช้มันจุดบุหรี่ในวันนั้นก็คงเป็สัญญาณบอกว่าเื่ราวความรักของเรามันได้ถูกจุดขึ้นมาแล้วด้วยตัวเขาและแทน
“ยิ้มอะไร” ร่างบางอดจะถามขึ้นมาไม่ได้
“ยิ้มที่กูคิดอะไรเป็ตุเป็ตะไปเองเก่ง”
“แปลกๆนะมึงอะ”
ร่างสูงยังคงยิ้มหน้าระรื่นเขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้จับผ้าเช็ดผมให้มาคลุมเอาไว้ที่ไหล่ รอให้อีกคนเตรียมความพร้อมของไดร์เป่าผม จากนั้นแทนก็จัดการเป่าลมความร้อนลงไปบนเส้นผมนุ่มไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรออกมาอีก ร่างบางกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ส่วนร่างสูงก็มองอีกคนที่ขยับตัวไปมาผ่านเงาสะท้อนในกระจก ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จ ฝ่ามือเรียวจับลงบนเส้นผมของอีกคนเพื่อเช็กความเรียบร้อยเมื่อแน่ใจว่าแห้งสนิทดีแล้ว เขาก็หันไปถอดปลั๊กออก
“แทน”
“อะไร” ร่างบางขานรับพร้อมกับหันหน้าไปมองกระจกเพื่อสบตากับปลื้มผ่านเงาสะท้อนของเราทั้งคู่
“ถ้ามึงเจอคู่แห่งโชคชะตามึงจะทำยังไง” ก็แค่อยากรู้ว่าจะเลือกเขาเหมือนกันหรือเปล่าก็แค่นั้น
“ก็ไม่ทำอย่างไง”
“มึงจะเลือกเขาแล้วทิ้งกูไปมั้ย” ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันเหมือนลุ้นในคำตอบที่จะได้รับ
“ถ้ากูเลือกเขากูคงไม่ปล่อยตัวเองให้ถลำกับมึงมามากขนาดนี้หรอก”
“หมายความว่าอย่างไง”
“…”
“แล้วมึงชอบใคร บอกได้ป่ะ”
ร่างบางเงียบไปไม่ได้บอกทันที แทนค่อยๆหันหน้าขึ้นไปมองบฟ้าก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม
“ฝน”
อยู่ดีๆบทสนทนาระหว่างเราสองคนที่เคยคุยกันหน้าบ้านของแทนก็ผุดขึ้นมาในหัวของปลื้ม
“หรือว่ามึงกับเรน”
มิน่าล่ะ หลังจากที่แทนไปคุยกับเรนถึงแปลกๆไป
ถ้าใช่จริงกูควรทำไงดีวะ แต่แทนก็ไม่ได้ติดต่อกับเรนแล้วนะแบบนี้ถือว่ามันเลือกกูหรือยังวะ
“ไม่ใช่เรน” ร่างบางส่ายหน้าปฏิเสธ
“เชื่อได้หรือเปล่า” สายตามคมพยายามไล่ต้อนอีกคนผ่านเงาสะท้อน
“คู่โชคชะตากูไม่ใช่เรนจริงๆ”
“แน่ใจ?”
“แน่ใจ เพราะกูเจอนานแล้ว” แทนบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่ทำเอาใจของคนฟังหล่นฮวบลงไปกองที่ข้อเท้าแล้วเรียบร้อย “คู่แห่งโชคชะตาของกูน่ะ”