Chapter 31
ั้แ่วันนั้นที่แทนทิ้งะเิลูกใหญ่เอาไว้ปลื้มก็พยายามตื๊อถามเกี่ยวกับคู่โชคชะตาของอีกคนไม่เลิกด้วยความอยากรู้ เขาเป็ใคร เจอกันที่ไหน เจอกันนานหรือยังแล้วยังติดต่อกันอยู่มั้ย ทำไมก่อนหน้านี้แทนไม่ยอมพูดถึงเลย ถามแทบจะทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่เคยจะได้คำตอบสำหรับข้อสงสัยมากมายที่เกิดขึ้น
แทนยังคงปิดปากเงียบไม่พูดหรือเอ่ยถึงเื่นี้อีกเลยไม่ว่าปลื้มจะพยายามเร้าหรือแค่ไหนก็ตาม
ร่างสูงพลิกตัวลงจากเตียงเขาเหลือบมองนาฬิกาที่บอกว่าขณะนี้เป็เวลาตีสองกว่าแล้ว แต่เขาก็ยังนอนไม่หลับ วันนี้แทนไม่ได้มาค้างกับเขาที่ห้อง อัลฟ่าหนุ่มเดินออกไปด้านนอกท่ามกลางความมืดมิดด้วยความเคยชิน มือหนากดเปิดสวิตช์ไปจนแสงสว่างขับไล่ความมืดมิดก่อนหน้านี้ออกไปจนหมด
ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากยังไม่สามารถปรับให้ชิดกับความสว่างได้ ไม่นานเขาก็สามารถกลับมามองได้ตามปกติ
ตู้เย็นถูกเปิดออกด้านในมีของสดแช่อยู่เต็มไปหมดแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา กระป๋องเบียร์ต่างหากที่เขา้าแต่มันกลับว่างเปล่ามีเพียงเบียร์ขวดเดียวที่แช่ติดตู้เอาไว้ มือหนาหยิบมันออกมาจัดการเปิดฝาก่อนจะยกมันกระดกลงคอพร้อมกับเดินออกไปยืนที่ด้านนอกระเบียง
เขายังคงหยุดคิดถึงเื่คู่โชคชะตาของแทนไม่ได้เลย ปลื้มไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมแทนถึงไม่ยอมพูดถึงมันอีกอย่างน้อยก็ควรอธิบายอะไรบ้างเพื่อให้เขาสบายใจสิ
เบียร์ที่ถูกหยิบออกมาถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ลมเย็นๆที่พัดปะทะเข้ากับใบหน้าหล่อทำให้เ้าตัวรับรู้ได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาอีก เมื่อวานกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าพายุจะเข้า ท่าทางจะจริงแฮะ ปลื้มไม่ได้ยืนรอให้ฝนตกลงมาเพื่อให้ตัวเองเปียกเล่นเขาเดินกลับเข้าไปในห้อง วางขวดเบียร์เปล่าทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนจะตรงไปยังห้องนอน
เขานอนพลิกตัวไปมาอยู่นานตะแคงขวาก็ไม่หลับ ตะแคงซ้ายก็ไม่ง่วง สุดท้ายก็มาจบที่นอนหงายแล้วยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากเอาไว้อย่างคนคิดไม่ตก ในเมื่อเลิกคิดไม่ได้ก็คงทำได้แค่ปล่อยให้ความคิดมันไหลไปเรื่อยๆจนกว่าจะหลับ แล้วก็ได้ผลในที่สุดลมหายใจของเขาก็ถูกปรับให้อยู่ในจังหวะที่สม่ำเสมอพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดสนิท
Rrrrr
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเช้าวันใหม่ มือหนาควานหามันอย่างสะเปะสะปะโดยที่เปลือกตาหนายังคงปิดสนิท เมื่อคว้าสิ่งที่้าได้เปลือกตาข้างหนึ่งจึงเปิดขึ้นเพื่อดูว่าใครที่โทรเข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของเขา พอเห็นว่าเป็แทนก็กดรับทันที
“ว่า” น้ำเสียงที่ยานครางบ่งบอกได้เป็อย่างดีว่าปลื้มนั้นยังไม่ตื่นนอน
(นี่มึงยังไม่ตื่นอีกหรอ)
“วันนี้ไม่มีเรียนตื่นสายได้” เมื่อวานอาจารย์ประกาศแจ้งว่ายกเลิกการเรียนการสอน จึงทำให้เขาว่างทั้งวันเนื่องจากวันนี้มีเรียนแค่วิชาที่ยกคลาสไปแค่วิชาเดียว
(แล้วมึงจะตื่นเมื่อไร)
“ไม่รู้สิ” เขาพึ่งจะข่มตาหลับไปได้ตอนประมาณตีสามคงจะนอนยาวไปตื่นอีกทีเที่ยงหรือไม่ก็บ่ายเลยมั้ง
(ตื่นก่อนเที่ยงได้มั้ย ตอนบ่ายพากูไปที่หนึ่งหน่อย)
“ที่ไหนอะ”
(ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ)
“งั้นถ้าสิบเอ็ดโมงแล้วมึงโทรมาปลุกกูละกัน”
(อือ นอนต่อไป เสียงมึงแม่งง่วงไม่ไหว)
“บอกฝันดีหน่อย”
(ไม่บอกมึงก็หลับต่ออยู่ดี)
“แต่ฝันดีมั้ยก็ไม่รู้ไง”
(เออๆ ฝันดี)
“น่ารักที่สุด”
(นอนๆไปซะมึงน่ะ)
สายถูกตัดไปด้วยฝีมือของคนที่อยู่ปลายสาย มุมปากหยักอมยิ้มอย่างมีความสุข โทรศัพท์ราคาแพงถูกปล่อยทิ้งลงบนเตียงเนื่องจากเ้าของมันกำลังกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ปลื้มไม่รู้ตัวว่าเขาหลับต่อไปอีกนานแค่ไหนเพราะตอนที่แทนโทรมารอบแรกเขาก็ไม่ทันได้มองเวลาด้วยว่ามันกี่โมงแล้ว จนร่างบางโทรมาปลุกเขาอีกรอบซึ่งเป็เวลาตามที่เขาบอกับอีกคนไว้ ร่างสูงก็งัดร่างของตัวเองขึ้นมาจากเตียงเดินนวยนาดหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน ก่อนจะเดินปิดปากหาวออกมาจากในห้องน้ำเหมือนความง่วงยังไม่หมดไป
วันนี้ก็เหมือนเดิมปลื้มเลือกหยิบเสื้อยืดและกางเกงออกมา เขาแต่งตัวด้วยลุคที่ดูเรียบง่ายสบายๆแต่ราคาไม่สบายกระเป๋าเนื่องจากไม่รู้ว่าสถานที่ที่แทนจะให้พาไปนั้นคือที่ไหนเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์จึงเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะมันสามารถเข้าได้กับทุกสถานที่นั่นเอง
ยืนดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิดหน่ายมือหนาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์บอกอีกคนว่าเขากำลังจะออกไป แทนส่งสติกเกอร์กลับมาเพื่อบอกว่าเขารับรู้แล้วและบอกว่าให้ปลื้มเข้ามาทานอาหารเช้าในบ้านก่อนจะออกไปซึ่งอาหารเช้าของปลื้มในวันนี้ก็คือมื้อกลางวันของแทนด้วยเช่นกัน
กลิ่นอาหารที่พึ่งปรุงเสร็จลอยมาต้อนรับแขกประจำของบ้าน ปลื้มตาลุกวาวกับอาหารโปรดของเขาอย่างแกงส้มชะอมทอดที่วางควันโชยอยู่บนโต๊ะ
“ของโปรดกูซะด้วย” ร่างสูงเหล่ตาไปหาร่างบางที่กำลังยืนตักข้าวใส่จานอยู่ “เอาใจแบบนี้มีอะไรป่ะเนี่ย”
แทนไหวไหล่เหมือนจะบอกว่าก็ไม่ได้มีอะไรเป็พิเศษ
ข้าวสวยร้อนๆถูกวางลงตรงหน้าของปลื้มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ดวงตาคมไม่ได้สนใจมันเลยเอาแต่จับจ้องไปยังคนตรงหน้าคนอีกคนเริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“กินดิ มองอะไรกูจริงจัง”
พอพูดจบก็ตักแกงส้มฝีมือตนเองเข้าปากเคี้ยวตุ้ยจนแก้มป่อง ดวงตากลมโตพยายามเสตาหลบหนีสายตาของอีกคนที่จับจ้องมาที่ตัวเองอย่างไม่วางตา
ปลื้มไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกมา แล้วก็ไม่ได้ขยับมือขึ้นมาจับช้อนเพื่อตักอาหารตรงหน้าเข้าปากแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มที่ยังแต้มอยู่บนปากหยักได้รูป
“รู้ตัวป่ะว่ามึงแม่งน่ารักขึ้นทุกวันเลย”
ยิ่งถูกชมเข้าตรงๆก็ทำเอาร่างบางเริ่มไปไม่เป็ แทนจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็หูทวนลมกินข้าวต่อ ชะอมทอดที่ชุ่มไปด้วยน้ำแกงส้มถูกตักมาวางลงบนจานข้าวที่อยู่ตรงหน้าปลื้ม อีกคนพยักพเยิดหน้าเหมือน้าเร่งให้เขารีบกินข้าวสักที ปลื้มจึงยอมละสายตาออกมาจากแทนแล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน
มื้อเช้าของปลื้มที่เป็มื้อกลางวันของแทนผ่านไปอย่างเรียบง่าย พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนเื่เรียนแล้วก็เื่เพื่อนรวมไปถึงเื่สัพเพเหระเล็กน้อยอย่างพวกเื่ที่เบียร์ในตู้เย็นที่ห้องของปลื้มหมดแล้ววันนี้ขากลับว่าจะแวะซื้อไปแช่ติดตู้เอาไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดขำออกมาเพราะแทนบอกว่าเขาทำตัวเหมือนคนขี้เมา เื่ที่แทนเปลี่ยนน้ำหอมใหม่ทำให้กลิ่นตัวเปลี่ยนไป มีรุ่นพี่มาชวนแทนไปแคสงานแต่แทนกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรไปดีหรือไม่ซึ่งปลื้มก็สนับสนุนให้แทนลองไปทำอะไรใหม่ๆดูก็ดีถ้าไม่ชอบสุดท้ายแล้วมันก็เป็ประสบการณ์อย่างน้อยก็ได้ลองไม่มีอะไรเสียหาย ไปจนถึงเื่ที่ปลื้มทะเลาะกับปลาบเนื่องจากปลาบมาเอากางเกงของปลื้มไปใส่โดยไม่ขออนุญาตก่อน ไม่นานอาหารมื้อนี้ก็จบลง
เขาทั้งสองช่วยกันล้างจานจนเสร็จก่อนจะพากันออกจากบ้านไปโดยที่แทนก็ยังไม่ได้บอกว่าจุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะไปกันนั้นคือที่ไหน ระหว่างทางแทนขอให้ปลื้มพาไปซื้อผลไม้และขนมนมก่อนจะออกเดินทางต่อ ปลื้มเองก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้คิดแค่ว่าพอถึงแล้วก็คงจะรู้เองว่ามันคือที่ไหนและใครที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่
“ตรงนี้แหละเลี้ยวเข้าไปเลย”
“โรงพยาบาล?” ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ขณะที่มือก็บังคับพวงมาลัยรถยนต์ให้เลี้ยวไปตามเส้นทางที่คนข้างกายบอก
“ใช่” แทนเอ่ยตอบสั้นๆไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม
“มึงมาเยี่ยมใครวะ” ร่างบางคงไม่มีเพื่อนเป็หมอหรือพยาบาลหรอกมั้ง
“คนสำคัญ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็อีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจอะไรเลย “ทำไมทำหน้าแบบนั้น ก็คนที่มึงอยากเจอไง”
“กูอยากเจอใคร”
งงมากจริงๆนะ ทำไมตัวเขาเองถึงยังไม่รู้ล่ะว่าเขาอยากเจอใคร
“คนที่มึงถามถึงอยู่ทุกวัน”
“ใครวะ? หรือว่า...” คู่โชคชะตาของแทนอย่างนั้นหรอ แล้วทำไม... “ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่อะ เป็หมอหรอหรือว่าพยาบาล”
ถ้าแม่งเป็หมอกูจะเอาอะไรสู้กับเขาวะ
แทนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ทั้งคู่”
“หมอฟัน?”
“ไม่”
“บุรุษพยาบาล”
“กูว่ามึงเลิกเดาเถอะ”
“ตอนนี้ก็เหลือแค่คนไข้แล้วนะ”
คราวนี้แทนเงียบ ร่างบางไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทำแค่เพียงหันไปปลดสายเบลท์ของตัวเองแล้วเปิดประตูลงจากรถไป
“เขาป่วยหรอ” มือหนายื่นไปช่วยอีกคนถือของที่ซื้อติดมาเพื่อเยี่ยมใครคนนั้น
“อือ ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้บอกเพราะกูต้องมาคุยกับน้องก่อนว่าโอเคมั้ยที่จะให้ใครรู้เื่ของระหว่างกูกับเขา พอมันเป็เื่ของเราสองคนกูก็ตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้หรอกว่าจะบอกหรือไม่บอกมึง แล้วก็ถามน้องด้วยว่าโอเคมั้ยถ้ากูจะพามึงมาเจอ”
“แล้วเขาป่วยเป็ไรวะ”
“เอาไว้มึงเห็นแล้วก็น่าจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้ามึงมีอะไรจะถามหรืออยากรู้อะไรเพิ่มมึงค่อยถามกูทีหลังกูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังเองอย่าพึ่งถามต่อหน้าน้อง โอเคมั้ย” แทนร่ายข้อตกลงยาวเหยียด
ปลื้มเองก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาก็เป็คนแปลกหน้าสำหรับคู่โชคชะตาของแทนและไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวของน้องเขาเลยการจะมาบอกอาการเจ็บป่วยมันก็คงจะไม่เหมาะสมเท่าไร ถ้าเ้าตัวอยากจะบอกก็ให้เ้าตัวเป็คนบอกเองน่าจะดีกว่า
“แบบนั้นก็ได้”
“แล้วเขาอายุเท่าไร เป็ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง” เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าบรรยากาศมันแย่เกินไปปลื้มจึงพยายามหาเื่อื่นมาชวนคุยแทน
“ผู้หญิง อายุน้อยกว่าเราหนึ่งปี”
“แล้วมึงพากูมาด้วยแบบนี้จะดีหรอวะ” ร่างสูงเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา
“ขืนไม่ยอมให้มาเจอมึงก็กระวนกระวายตายห่าพอดี”
“แค่มึงเล่าเื่มึงกับน้องให้กูฟังก็พอแล้ว แต่มึงเล่นไม่ยอมพูดอะไรเลยกูถึงได้ตื๊อไม่เลิก”
“กลัวพูดไปแล้วมึงก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีไงเพราะกูยังติดต่อกับน้องเขาอยู่” มือเรียวเอื้อมไปกดหมายเลขชั้นที่คุ้นเคย “ไม่ต้องคิดมากหรอกกูปรึกษากับน้องแล้ว”
“เดี๋ยวๆ” ฝ่ามือขาวที่กำลังจะเปิดประตูห้องเพื่อเข้าไปด้านในถูกมือหนาห้ามเอาไว้
“เป็อะไร”
“ขอทำใจก่อน”
ถ้าเขาเจอกูเขาจะทำหน้าเหวี่ยงใส่กูมั้ยวะ แบบไอ้เหี้ยนี่มาแย่งคู่โชคชะตากูไปไรงี้
“งั้นมึงยืนทำใจไปกูเข้าไปข้างในก่อน”
“ได้ไงอะ”
ร่างบางไม่ได้สนใจอะไรปลื้มอีก เขาผลักบานประตูสีขาวสะอาดตาให้เปิดออก ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในโดยมีร่างสูงของปลื้มเดินตามเข้าไปติดๆ
“พี่แทน!” คนบนเตียงเอ่ยเรียกชื่อของร่างบางด้วยความดีใจ ก่อนจะมองเลยแทนไปยังชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“คนนี้ปลื้ม ที่พี่โทรมาเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน”
“สวัสดีค่ะพี่ปลื้ม หนูชื่อหวานนะคะ” คนที่อายุน้อยกว่าเอ่ยทักทายเขาพร้อมรอยยิ้มเป็มิตร แม้ว่าใบหน้าจะดูอ่อนเพลียมากเหลือเกินแต่ริมฝีปากของอีกฝ่ายยังคงเคลือบไปด้วยรอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี
“สวัสดีครับ” ปลื้มยกมือขึ้นมารับไหว้ด้วยท่าทางที่พยายามให้ดูเป็กันเองมากที่สุด ทั้งที่ความจริงเขาแอบเกร็งอยู่ไม่น้อย
หญิงสาวตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงยังคงมีใบหน้าที่ดูเด็กอยู่หากบอกว่ายังอยู่ในวัยมัธยมฯปลื้มก็เชื่อ แต่ร่างกายกลับซูบผอมจนใบหน้าตอบ ใบหน้าฉายแววเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย มีสายระโยงระยางระหว่างน้องและเครื่องมือแพทย์ที่อยู่โดยรอบ บนศีรษะของเด็กหนุ่มสวมหมวกไหมพรมเอาไว้ใบหนึ่ง เห็นเพียงเท่านั้นเขาก็เริ่มจะประมวลผลได้ทันทีว่าเด็กสาวตรงหน้าเขาในตอนนี้กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอะไร
“พี่ซื้อของโปรดมาฝากเราด้วยนะ” แทนชูผลไม้ในมือขึ้นเพื่ออวดคนที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่อิดโรยนั้นยังคงส่งยิ้มมาให้พวกเขาเหมือนเดิม
“พี่ปลื้มหล่อจังเลยนะคะ ไม่แปลกใจเลยทำไมพี่แทนถึงชอบ”
“พี่ไม่ได้ชอบมันเพราะหล่อสักหน่อย” ร่างบางค้านก่อนจะเดินเอาผลไม้ที่ซื้อมาไปจัดการที่มุมหนึ่งของห้อง ปลื้มที่ไม่รู้จะเอาตัวเองไปยืนตรงไหนดีจึงตัดสินใจทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงคนไข้มากนัก
“แล้วพี่แทนชอบพี่ปลื้มตรงไหนล่ะคะ”
คราวนี้อัลฟ่าหนุ่มกลิ่นสนเริ่มหูผึ่งขึ้นมาทันที เขาเองก็อยากรู้คำตอบนี้ด้วยเช่นกัน
“ไม่รู้ดิ” แทนพลิกตัวกลับมามองหน้าคนบนเตียงก่อนจะเบนสายตาไปมองใบหน้าของใครอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วย “รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว ชอบทั้งหมด ชอบทุกอย่าง ไม่ได้ชอบแค่เพราะหล่อ”
“อื้อหื้อ” คนบนเตียงได้แต่ส่งเสียงแซว ในขณะที่คนชายหนุ่มอีกคนเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว ใบหูหนาเปลี่ยนเป็สีแดงอย่างไม่อาจห้ามได้จนคนที่เห็นดูออกหมดแล้วว่าเขากำลังเขินมากแค่ไหน
แม่ง...รู้สึกเหมือนโดนสารภาพรักเลยว่ะ
แทนเผยยิ้มเล็กออกมาก่อนจะหยิบจานผลไม้ที่เลือกไว้เดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างทำความสะอาด
“พี่รู้จักกับพี่แทนมานานหรือยังคะ” หญิงสาวบนเตียงเริ่มชวนคุย
“บอกไม่ถูกเลย เคยเจอกันเมื่อนานมากแล้ว แต่พึ่งจะมารู้จักกันจริงๆได้ประมาณสองสามเดือนนี้เอง” ปลื้มเริ่มผ่อนคลายความเกร็งลงเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรในตัวเขาที่มาแย่งคู่โชคชะตาของตัวเองไป
“อารมณ์แบบรักแรกพบแล้วก็วนมาเจอกันอีกแบบนี้หรือเปล่าคะ” คนไข้บนเตียงถามออกมาอย่างนึกตื่นเต้น
“ก็ประมาณนั้นเลย แต่ก็เกือบจะไม่รอดละพี่ทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไร”
“อ้าวทำไมเป็แบบนั้นล่ะคะ”
“ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้สติน่ะ ให้ค่ากับอดีตมากเกินไปจนเกือบทำปัจจุบันกับอนาคตหายไปแล้ว” เื่ราวที่ผ่านมามันสอนอะไรปลื้มหลายอย่างมากจริงๆไม่ใช่แค่เื่ของความรักแต่มันทำให้เขามีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย “ถ้าพี่ยังไม่เลิกโง่แล้วเอาตัวเองเป็ที่ตั้ง ไม่เลิกปากหมาพูดอะไรไม่คิด วันนี้แทนคงได้มาเยี่ยมเราคนเดียว”
“ดีจังที่วันนี้พี่แทนไม่ต้องมาคนเดียว หนูอะนะอยากให้พี่แทนพาแฟนมาหาอยู่ตลอดเลย อยากรู้ว่าคนแบบไหนนะที่จะโชคดีได้ใจของพี่ชายคนนี้ไป”
ทุกครั้งที่เธอพูดออกมาปลื้มมักจะมองเห็นแววตาที่จริงใจของเธอเสมอ เด็กน้อยตรงหน้าของเขานั้นพูดมันออกมาจากใจในทุกคำ จนเขาััได้เลยว่าเธอรักและหวังดีกับแทนจริงๆ
“...”
“แล้วแบบนี้พี่ชอบก่อนหรือพี่แทนชอบก่อนกันนะ”
“ก็ต้องเป็แทนชอบก่อนอยู่แล้ว”
ปลื้มไหวไหล่ด้วยท่าทีสบายๆเหมือนมั่นใจกับคำตอบของตัวเองเป็อย่างมาก
“มึงสิชอบก่อน”
ปลื้มหันไปมองแทนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองหญิงสาวบนเตียงต่อ
“จริงๆหนูว่าใครชอบก่อนก็เหมือนกันแหละ สุดท้ายก็คือใจพี่สองคนตรงกันอยู่ดี”
“พูดดีนะเรา”
“...” คนบนเตียงยิ้มรับคำชม
“เห็นพี่แทนมีความสุข ได้รักกับคนที่รัก หนูก็สบายใจแล้ว”
“สบายใจอะไรฮะเรา”
“พี่แทนก็รู้หนูรู้สึกผิดกับพี่มาตลอด ที่พี่มีคู่โชคชะตาเป็คนป่วยแบบหนู”
“จะรู้สึกผิดไปทำไม พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยนะ ตรงกันข้ามเลยพี่รู้สึกว่าดีจังที่มีเราเป็คนนั้นของพี่”
“พูดแบบนี้เดี๋ยวพี่ปลื้มก็หึงหรอก”
ปลื้มที่อยู่ดีๆก็ถูกลากเข้าไปในบทสนทนาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกไปมาแทนการบอกว่าเขาไม่หึงอะไรหรอก
“มากินอันนี้กันดีกว่าพี่จำได้ว่าเด็กคนหนึ่งชอบกินมาก”
“เอาของกินมาล่อกันตลอดเลย”
บทสนทนาถูกเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆพวกเขาทั้งสามคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่ได้นานมากนักเนื่องจากคนป่วยต้องนอนพักผ่อน พอน้องเริ่มมีท่าทีว่าง่วงแทนกับปลื้มก็ขอตัวกลับ แทนบอกกับเธอว่าจะพยายามหาเวลามาเยี่ยมเธออีกซึ่งเธอก็บอกให้แทนชวนปลื้มมาด้วย เขาเองก็ตกปากรับคำทันทีว่าจะมาพร้อมกับแทนทุกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยลากัน
“น้องเขาป่วยมานานหรือยัง” พอออกมาจากห้องปลื้มก็เริ่มถามคำถามที่เขาอยากรู้ตามข้อตกลงของเขาทั้งคู่
“ตรวจเจอั้แ่ประมาณมอห้า ตอนนั้นเป็มะเร็งปากมดลูกพอผ่าตัดเสร็จไปอีกปีกถึงรู้ว่าไม่ได้เป็แค่ที่เดียว”
“งั้นสาเหตุที่ทำให้น้องต้องอยู่โรงพยาบาลจนถึงตอนนี้คือมะเร็งก้อนที่สองที่ตรวจพบหรอ”
“อือเป็มะเร็งตับ รักษาตามอาการมาเรื่อยๆแต่เหมือนว่าจะยังไม่ดีขึ้นเลย”
“อายุยังน้อยอยู่เลยไม่น่าโชคร้ายแบบนี้” ความสงสารตีขึ้นมาในอก
“กูก็คิดแบบนั้น”
ร่างสูงเริ่มสังเกตเห็นความเศร้าที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของแทน จึงเริ่มเปลี่ยนเื่คุย
“แล้วมึงเจอกับน้องเขาได้ไงอะ”
อันนี้อยากรู้มากจริงๆนะ แล้วมันจะเหมือนตอนที่เขาเจอกับพร้อมหรือเปล่าที่รัทขึ้นมาทันทีส่วนพร้อมก็ฮีทเหมือนกัน
“เจอกันครั้งแรกที่โรงพยาบาลนี่แหละกูมาเป็เพื่อนแม่ตรวจสุขภาพประจำปี”
“ตอนเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกได้เลยแบบกูป่ะ”
มือหนายื่นมือไปกดปุ่มลิฟต์ให้เปิดค้างเอาไว้เพื่อให้แทนเข้าไปก่อน พอเดินตามเข้าไปก็ชะโงกหน้าออกมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครที่จะขึ้นลิฟต์อีกเขาจึงกดปิดประตูและกดชั้นที่ตัวเอง้าจะลงไป
“อือ แค่สบตากันเราทั้งสองคนก็เหมือนจะรู้ได้เลยว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเรามันคืออะไร”
“...”
“หลังจากวันนั้นกูก็กลับมาหาน้องที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แล้วกูก็ได้รู้ว่าน้องป่วยเป็มะเร็ง เราเจอกันในวันที่น้องกำลังจะยอมแพ้ น้องคิดว่าตัวเองรักษาไปอย่างไรก็ไม่หาย มันเหมือนความทรมานที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทำได้อย่างมากเลยก็แค่ใช้การรักษาและยาเพื่อยื้อชีวิตของตัวเองเอาไว้”
“มึงทำยังไงตอนที่รู้ว่าน้องป่วย”
“กูทำอะไรไม่ได้เลย ทำมากสุดได้แค่คอยให้กำลังใจ มาชวนน้องคุยเล่น คอยมาทำให้น้องยิ้มและมีความสุขกับการมีชิวิตอยู่ทำให้เขารู้สึกดีที่มีกูเป็คู่โชคชะตา แต่พอขึ้นมหา’ลัยก็เริ่มไม่ค่อยมีเวลา นานๆทีถึงจะได้มาหาน้อง”
“น้องเขาคงรู้สึกได้แหละว่าตัวเองโชคดีจริงๆที่มาเจอกับมึง”
น่าแปลกที่ถึงแทนจะพูดพร่ำเพ้อถึงคู่โชคชะตาของตัวเองแต่ปลื้มกลับไม่ได้รู้สึกหึงหวงเลย เขารู้สึกชื่นชมในสิ่งที่แทนเลือกที่จะทำมากกว่าเพราะรู้สึกได้เลยว่าอีกคนนั้นพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำออกมาด้วยความจริงใจของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายจริงๆ
“สำหรับกูการที่มีน้องเป็คู่โชคชะตาก็เท่ากับว่าน้องเป็ส่วนหนึ่งในชีวิตของกู น้องไม่ใช่แค่คนที่ชะตาขีดไว้ให้กูรักและผูกพันแต่กูรู้สึกว่าน้องเป็คนหนึ่งในครอบครัวของกู เป็น้องสาวอีกคนที่กูรักและหวงแหนแล้วก็อยากถนอมเอาไว้ให้ดีที่สุด”
ดวงตากลมโตเริ่มแดงขึ้น แต่แทนไม่ได้ร้องไห้ออกมามันแค่คลออยู่อย่างนั้น
“น้องชอบบอกกับกูว่าพี่แทนจะรักใครก็ได้จะคบกับใครก็ได้ถ้าเขาเป็คนที่ทำให้กูมีความสุข แล้วก็ชอบขอโทษกูบ่อยๆเื่ที่ต้องมีคู่โชคชะตาเป็ตัวเอง”
“...”
“กูก็จะคอยยิ้มแล้วบอกน้องตลอดว่าไม่จำเป็ต้องขอโทษเลย น้องไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น”พอเดินออกมาพ้นเขตของตัวตึกใบหน้าของแทนก็เงยขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม “กูอยากขอให้ฟ้าใจดีกับน้องกว่านี้จัง”
“แค่น้องได้มาเจอมึงก็ถือว่าเป็เื่ดีๆสำหรับน้องแล้ว”
ร่างสูงก้มหน้าลงไปมองฝ่ามือขาวที่อยู่ข้างตัวอีกคนก่อนจะเอื้อมมือคว้าแล้วสอดประสานฝ่ามือเอาไว้เข้าด้วยกัน
“ไม่ใช่แค่น้องนะ กูเองก็โชคดีที่ได้กลับมาเจอมึงอีก”
ร่างบางละสายตาจากท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเพราะเมฆที่เคยบดบังพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวออกไปตามกระแสลมเฉื่อยๆที่พัดโชยผ่านไป
“อือ”
ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มจางๆออกมา พวกเขาทั้งคู่เดินจับมือกันกลับไปที่รถ พวกเขาไม่สนใจว่าสายตาของคนอื่นที่มองมาจะเป็สายตาที่ชื่นชม เคลือบแคลงใจ สงสัย หรือเหยียดหยาม พวกเขาสนใจแค่ว่าตอนนี้การที่เราทั้งคู่เดินจับมือกันไปแบบนี้นั้นคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ดังนั้นก็ไม่จำเป็ที่จะต้องแคร์อะไรอีก
“อยากไปไหนอีกป่ะ” สารถีหนุ่มสุดหล่อถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาขึ้นมาบนรถและคาดสายเบลท์กันเรียบร้อยแล้ว
“ไม่รู้เลยอะ แพลนกูมีแค่พามึงมาเจอน้องนี่แหละ”
“อื้ม งั้นไปวัดกันป่ะไปให้อาหารปลากัน”
“ที่เขาให้กันแบบเป็กระสอบใหญ่ๆอะนะ” แทนจำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนปลื้มเคยเอาคลิปที่คนอื่นไปให้อาหารปลามาเปิดให้เขาดูแล้วบอกว่าอยากลองไปให้แบบนี้บ้าง
“เออไปป่ะ มีวัดหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่มาก แล้วพอให้เสร็จก็ไปหาอะไรกินกัน”
“มึงหิวแล้วหรอ”
“ก็นิดหน่อยอะ แต่กว่าจะให้อาหารปลาเสร็จกว่าจะขับรถไปถึงร้านกว่าจะรอคิวก็น่าจะหิวมากกว่านี้พอดี”
“มึงจะพากูไปกินอะไร”
“ชาบู” ปลื้มตอบพร้อมกับเอี้ยวตัวไปมองด้านหลัง เขาใช้แขนด้านซ้ายของตัวเองจับไว้ที่บริเวณด้านหลังเบาะที่มีแทนนั่งอยู่ และใช้เพียงมือขวาในการบังคับพวงมาลัยรถยนต์ให้หมุนไปตามทิศทางที่้าขณะที่ถอยรถออกจากบริเวณที่จอด ก่อนจะกลับมานั่งในท่าปกติเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว
“ชาบูร้านไหนวะ”
ร่างหยิบโทรศัพท์ของปลื้มขึ้นมาจับมันจ่อหน้าตัวเองเพื่อสแกนปลดล็อกด้วยใบหน้า ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่แทนสามารถอยากเล่นโทรศัพท์ของปลื้มตอนไหนก็เล่นหรือปลื้มอยากจะเอาโทรศัพท์ของแทนไปโทรหาใครก็ได้ รู้ตัวอีกทีเราทั้งคู่ก็แทรกซึมอยู่ในการใช้ชีวิตของกันไปแล้ว
ปลายนิ้วเรียวยาวกดเปิดเพลงเพลย์ลิสต์ที่ฟังค้างเอาไว้ ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูเอาไว้ที่เดิม
“แทน”
“ฮืม”
“เป็แฟนกันป่ะ”
คำขอเลื่อนสถานะเรียบง่ายถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากได้รูป โดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
“...”
“มึงเคยบอกกูว่าถึงเวลาที่กูจะขอ ถ้ามึงพร้อมต่อให้กูขอแบบไหนมึงก็จะตกลงทั้งนั้น แต่กูรอจนมึงพร้อมไม่ไหวแล้วว่ะ มันรู้สึกว่าปล่อยไปนานกว่านี้ไม่ได้แล้วอะ ถึงมันจะไม่โรแมนติกแต่มันเป็การขอที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของกูเลยนะเว้ย”
ร่างสูงร่ายยาวออกมาโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าของคนข้างกายด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหนเนื่องจากเขาต้องใช้สมาธิกับการขับรถ
“่แรกๆกูอาจจะเป็ตัวภาระของมึง โง่ฉิบหายหรืออะไรก็แล้วแต่”
“...”
“แต่ตอนนี้อะกูอยากเป็คนที่คอยอยู่เคียงข้างมึง คอยสลับกันปกป้องอีกฝ่าย สลับกันอ่อนแอ สลับกันเข้มแข็ง เป็ความโชคดีของกันและกัน”
“...”
“ได้มั้ยวะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนขอร้องอยู่ในที
ยังไม่ทันที่แทนจะตอบอะไรออกไปเพลงที่เปิดเอาไว้ก็รันมาถึงเพลงใหม่พอดี
...ที่เธอเป็เธออย่างนี้นะดีอยู่แล้ว
ที่เป็เธอแบบนี้นะดีอยู่แล้ว
เป็ความธรรมดาที่แสนพิเศษ
มากกว่าใครใดใดทั้งนั้น...
“มาทำให้คนอื่นเห็นกันว่าอัลฟ่ากับอัลฟ่าก็รักกันได้ แถมยังรักกันได้อย่างดีอีกด้วย”
“อือ มาลองคบกันดูก็ได้” แทนยังคงรักษาสัญญา
“ถ้ากูพร้อมมึงจะขอแบบไหนกูก็ตกลงทั้งนั้นแหละ”
เื่ราวต่างๆที่เราทั้งคู่ผ่านมาปลื้มแสดงออกให้แทนมั่นใจว่าถ้าเขาเลือกที่จะจับมือของอีกคนเอาไว้และยอมให้อีกคนจับมือของเขาไว้เช่นกันเขาจะมีความสุขและผ่านมันไปได้ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม