Chapter 32
“หมั่นไส้คนมีความรักจังเลยโว้ย”
“อยากััความรู้สึกแบบตื่นเช้ามาส่งแฟนที่คณะแล้วค่อยมาเรียนว่ะ”
พีคกับเก่งยังคงทำหน้าที่ของลูกคู่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ก็ผ่านมาเป็อาทิตย์แล้วนับั้แ่วันที่แทนและปลื้มตกลงที่จะคบหาดูใจกันในฐานะแฟน แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนกับ่ก่อนหน้านี้ ปลื้มไม่ได้ขอร้องให้แทนย้ายมาอยู่กับเขาแบบที่คนรักหลายคู่ทำกัน แทนยังคงสลับไปนอนระหว่างที่คอนโดฯของปลื้มและบ้านของตัวเอง อันที่จริงถึงจะคบกันแล้วแต่หลายๆอย่างระหว่างเรามันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยพวกเขายังผลัดกันดูแลกันและกันเหมือนเดิม หยอกล้อกัน กวนตีนกัน มีเพียงสถานะที่เอ่ยตอบเวลาคนอื่นเข้ามาถามเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
“ก็เลิกหลอกคุยกับคนนู้นคนนี้ แล้วจริงจังกับใครสักทีสิ” เหมือนเคยไม่ต้องรอให้ถึงมือปลื้มหรอก แค่จีนก็จัดการได้อยู่หมัดแล้ว
ร่างสูงเดินอมยิ้มเข้าไปหาเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงยังตำแหน่งที่ว่างอยู่ มือหนาหยิบแก้วน้ำของพีคขึ้นมาดูดโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่ายก่อนแต่เ้าของน้ำแก้วนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ความหล่อของกูมันต้องแบ่งกันชื่นชมอย่างทั่วถึงดิ”
“ให้แค่คนเดียวอีกหลายคนจะเสียใจเอานะ”
“ใช่ป่ะมึง”
“มึงนี่แม่งเพื่อนกูจริงๆว่ะ”
“พีคเพื่อนรัก”
“เก่งเพื่อนเลิฟ”
ปลื้มได้แต่ส่ายหัวให้กับเพื่อนรักทั้งสองคนที่จับมือกันเขย่าไปมาเหมือนต่างฝ่ายต่างชอบอกชอบใจในคำพูดของอีกฝ่ายอย่างมากมาย
ส่วนจีนนั้นก็มองบนใส่ไปหนึ่งทีก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงไปตอบแชทของแฟนหนุ่มอย่างทิมมี่ต่อ
“เออปลื้มเย็นนี้มึงจะไปงานที่คณะสินกำป่ะ” คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเงยหน้าขึ้นมาถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพอดี
“ไปดิ กูต้องรับแทนกลับด้วยอยู่แล้ว”
“มึงจะไปหาแทนก่อนโชว์ป่ะ ทิมมี่มันบอกให้กูซื้อน้ำไปให้กำลังใจมันหน่อย”
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรเข้าไป แต่พอมึงพูดแบบนี้กูคงต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปบ้างแล้วแหละ”
“ลูกเขยกับลูกสะใภ้สินกำเขาเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ยเลยว่ะ”
“พวกมึงจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ปลื้มหันไปมองหน้าพีคที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เขามีงานไรกันวะ”
“กูได้ยินมาว่าวันนี้หน้าคณะสินกำเขาจะมีโชว์แสดงดนตรีเพื่อเอาเงินกับของที่ได้รับบริจาคมาไปช่วยน้องที่ภาคเหนือ มันใช่งานเดียวกันป่ะวะ” เป็เก่งที่ชิงพูดตัดหน้าปลื้มขึ้นมาก่อน
“ใช่ งานนั้นแหละ”
“แล้วมีแค่วงไอ้แทนหรอ”
“มีสี่วงเป็ตัวแทนของแต่ละชั้นปี”
“น่าสนใจว่ะ แต่กูว่าคนแม่งแห่กันไปหมดอีกแน่เลยอะ” ศิลปกรรมฯจัดงานทีไรลานหน้าคณะไม่เคยว่างคนแน่นตลอด
“เขาก็ไปฟังแฟนกูร้องเพลงกันไง ทำไงได้ก็แฟนกูมันหล่อแถมยังร้องเพลงเพราะอีกตั้งหาก” ปลื้มยืดอกอย่างภาคภูมิใจในความหล่อและความสามารถของแฟนตัวเอง ทำเอาเพื่อนทั้งสามคนพร้อมใจกันคว่ำปากลงอย่างนึกหมั่นไส้ ั้แ่คบกับแทนอย่างเป็ทางการปลื้มก็อวดแฟนไม่เว้นแต่ละวันเล็กน้อยก็ขอให้ได้ชมต้องมีพูดถึงให้ได้ยินตลอด จนเพื่อนๆพากันชินไปหมดแล้วกับความคลั่งรักของเ้าตัว
คนในมหาวิทยาลัยหลายคนเริ่มพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างปลื้มกับแทนมากขึ้นว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่เนื่องจากคนที่รู้ว่าพวกเขาคบกันมีแค่กลุ่มเพื่อนและคนที่เคยได้ยินคำว่าแฟนหลุดออกมาจากปากของแทนและปลื้มในบางครั้งเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ประกาศตัวว่าคบกันลงสื่อโซเชียลหรือช่องทางไหนเลย เป็ความสัมพันธ์แบบไม่ได้ปิดบังใครเปิดเผยตามความสบายใจของพวกเรา ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ได้สำคัญแค่ตัวเขาทั้งคู่และคนรอบตัวที่สนิทใจด้วยรับรู้ก็พอ
“กูทนนั่งเหม็นกลิ่นความรักต่อไปไม่ไหวแล้ว ไปเรียนดีกว่าว่ะ” เก่งรวบข้าวของบนโต๊ะที่เป็ของตัวเองมาถือไว้ก่อนจะลุกยืนขึ้น
“วิชานี้สายโดนบ่นหูชาแน่” พีคก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกับเก่ง
อันที่จริงมันก็ยังพอมีเวลาให้พวกเขาได้เอ้อระเหยลอยชายกันได้อีกสักพัก แต่ขึ้นไปนั่งคุยกันต่อบนห้องคงจะดีกว่า อย่างน้อยถ้าขึ้นก่อนเวลาเริ่มเรียนก็มีสิทธิ์ในการเลือกที่นั่งก่อนด้วย
“อาทิตย์นี้หยุดสามวันเลยพวกมึงไปไหนกันวะ บ้านกูแม่งจะขนกันไปกาญฯ” เก่งชวนคุยขณะที่พวกเขากำลังเดินกันอยู่ตามทางเดินที่ทอดตัวยาวผ่านโถงกว้างของตึกคณะ
“กูกับทิมมี่นัดกันไปเที่ยวแถวสยาม สามย่าน ่นี้ไม่อยากนั่งรถนานๆเท่าไรว่ะี้เีอะ”
“ขอโทษนะรังสิตไปสยามไม่ไกลตรงไหนก่อน”
“ขอโทษทีนะอย่างน้อยก็ใกล้กว่ากาญจนบุรีที่มึงจะไปแล้วกัน”
“ส่วนกูคงนอนอยู่บ้านว่ะ ที่บ้านกูยังไม่เห็นว่าไงกันเลย”
“มึงอะปลื้ม”
“กูว่าจะไปทะเลใกล้ๆนี่แหละ”
“เที่ยวทะเลหน้าฝนจะสนุกหรอวะ”
“ก็ต้องลุ้นเอา”
“ขอให้รอดจากฝนก็แล้วกันนะมึง”
“ไม่รอดก็นอนกกกันอยู่ในโรงแรมก็ได้ไม่เห็นจะยากอะไร”
“มันหวานกันจริงๆโว้ย”
เวลาในวันนี้สำหรับเด็กคณะศิลปกรรมศาสตร์เหมือนจะเดินเร็วกว่าปกติเพราะยังไม่ทันจะได้จัดเตรียมทุกอย่างได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี ่เวลาแห่งการเริ่มแสดงก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทำให้ทุกคนต้องเร่งมือในการทำหน้าที่ของตัวเองให้เร็วขึ้นไปอีก
“ทำไมตอนเรียนเวลามันไม่ผ่านไปเร็วแบบนี้บ้างนะ” เจสซี่ที่นั่งดูเพื่อนในชั้นปีช่วยกันจัดเตรียมสถานที่สำหรับกิจกรรมใน่เย็นบ่นออกมา โดยที่พัดในมือก็โบกสะบัดเพื่อขับไล่ความร้อนให้กับตัวเองไปด้วย
“มึงจะบ่นทำไม กูไม่เห็นมึงจะทำอะไรเลย” ทิมมี่จำเป็ต้องหยุดชะงักการเช็กกลองชุดเอาไว้กลางคันเพื่อแซะเพื่อนสนิทของตัวเอง ทั้งวันเจสซี่ทำแค่ถือไม้กลองของทิมมี่เดินไปเดินมา คนอื่นช่วยกันยกกลอง เช็กเครื่องเสียงเขายังไม่บ่นกันเลย
“กูเดินไปเดินมากูก็เหนื่อยนะคะ แล้วที่เดินไปเดินมาก็เพื่อดูความคืบหน้าของแต่ล่ะฝ่ายช่วยประสานงานนู้นนี่นั่นด้วยไม่ใช่เดินไปเดินมาเฉยๆ”
“จ้าาาาา” พอเถียงไม่ได้ทิมมี่ก็ลากเสียงยาวตอบกลับไปแทน
“ทำอะไรกันอยู่ค้าบ” เสียงของเก่งที่ดังขึ้นเรียกความสนใจของใครหลายคนให้หันไปมอง บางคนก็ทำหน้างงไม่เข้าใจว่าเด็กรัฐศาสตร์มาทำอะไรกันที่นี่ส่วนคนที่รู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่มนี้ก็แค่หันมาดูแล้วก็กลับไปทำงานของตัวเองต่อ
“หิวน้ำป่ะ”
“เชี่ย” แทนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการจับโน้ตเพลงที่เขาต้องเป่าแซคโซโฟนสะดุ้งตัวอย่างแรงด้วยความใเมื่ออยู่ดีๆก็มีอะไรสักอย่างเย็นจัดแนบลงมาที่แก้มของเขา พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นตัวการกำลังยืนยิ้มปากบานอยู่ “เล่นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย”
“ซื้อมาฝาก เย็นชื่นใจเลยป่ะ” ร่างบางพยายามเอนตัวหลบอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าอีกคนทำท่าจะเเนบกระป๋องน้ำอัดลมที่เย็นจัดลงมาบนแก้มของเขาอีกครั้ง
“ล้อเล่นๆ ไม่แกล้งละ” พอเห็นสายตาดุๆของแฟนหนุ่มที่มองแรงมาปลื้มก็ถอยมือกลับไป เขาจัดการเปิดน้ำอัดลมในมือแล้วยื่นมันไปด้านหน้าอีกคน แทนเองก็รับมันมาก่อนจะยกกระดกดื่มเพื่อดับความกระหายที่กำลังเกิดขึ้นพอดี
“นั่งหัวโด่กันอยู่ตั้งหลายคน แต่มีน้ำมาแค่กระป๋องเดียวมึงว่ามันเกินไปป่ะ” เจสซี่แกล้งพูดออกมาเสียงดังให้คนรอบตัวได้ยิน
“โอ้ยคอแห้งว่ะ” สกาวฟ้าเองก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน
“จะมีใครซื้อน้ำมาให้กูกินบ้างมั้ยหนอ”
“เมียกูก็ซื้อมาให้กูกินนะ ไม่แซวมาฝั่งนี้บ้างอะ” ทิมมี่อดไม่ได้ที่จะเรียกร้องความสนใจ
“พวกมึงมันคู่เก่าล่ะ เขาสนใจแต่คู่ใหม่ปลามันเท่านั้นแหละ” ขิมหันไปตอบ
ปลื้มอมยิ้มยืนมองแทนที่กำลังนั่งดื่มน้ำที่เขาซื้อมาให้ ก่อนจะวางถุงขนมที่ซื้อมาด้วยลงไว้ด้านข้างตัวของอีกคน แล้วหันไปมองทางด้านเพื่อนๆที่ากำลังนั่งคุยกันอยู่
“ขอโทษนะเจส แต่ถ้าไม่ใช่แฟนกูก็ไม่ได้อะไรแบบนี้หรอก”
“อิจฉาไม่ไหว”
“อยากมีผัวเลยป่ะมึง” บาสแกล้งเอ่ยกระแซะ
“โสดค่าจีบได้ ที่สำคัญโง่มากหลอกได้ค่ะยินดี”
“เดี๋ยวกูโทรบอกไอ้ปลาบให้นะ”
“อิพีค กูขอร้องเลย”
“ไม่ต้องร้องๆเดี๋ยวรีบโทรให้เลยเนี่ย”
“กูเพลียมากนะ”
“นั่งนี่ดิ” ร่างสูงเลิกให้ความสนใจกับกลุ่มเพื่อนแล้วดึงสายตากลับมามองที่แทนอีกครั้ง เขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างของอีกคนตามคำชักชวนนั้น
“เหนื่อยป่ะ”
“ไม่เหนื่อย แล้วมึงอะเรียนเป็ไง”
“สบายมากเอแน่นอนมึงคอยดูได้เลย”
“เก่งเหลือเกินนะมึงเนี่ย”
“ธรรมดานี่แฟนมึงนะ”
แทนแกล้งมองบนเขาไม่เข้าใจเลยว่ามันวนมาที่ประโยคนี้ได้อย่างไรหรือมันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ตรงไหน
“ไปเรื่อยนะ”
พวกเขานั่งคุยกันอีกนิดหน่อยหลังจากนั้นปลื้มก็นั่งเงียบๆเพื่อไม่ให้กวนสมาธิของแทน เขามองตามกิริยาการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าด้วยความเพลิดเพลินเวลาที่แทนตั้งใจทำอะไรสักอย่างใบหน้าของอีกคนนั้นมักจะดูเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์แต่ก็ดูผ่อนคลายจนทำให้คนมองรู้สึกแบบนั้นตามไปด้วย ในใจของร่างสูงเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนจะโดนอีกคนตกซ้ำๆในทุกจังหวะการขยับตัว ไม่ว่าแทนจะทำอะไรสำหรับเขามันก็น่าดูและมีเสน่ห์ไปเสียหมด
หลงจนหาทางออกไม่เจอแล้วทำไงดี
ร่างบางรับรู้ได้ถึงสายตาของคนข้างกายที่มองมาไม่หยุดแต่เขาก็ไม่ได้หันไปว่าอะไร ยังคงตั้งอกตั้งใจจดจ่อกับโน้ตเพลงและเนื้อเพลงตรงหน้าต่อไป มีบ้างบางครั้งที่พักสายตาด้วยการหันไปสบสายตากับปลื้ม ซึ่งทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้นอีกคนก็มักจะเผยอมยิ้มจางๆมาให้เสมอ
พึ่งเคยมีคนมาทำอะไรแบบนี้ให้ มันก็เหมือนจะได้กำลังใจไปอีกแบบเหมือนกันแฮะ
ผ่านไปสักพักเวลาเริ่มการแสดงก็มาถึงเด็กคณะรัฐศาสตร์โบกมือลาเพื่อนชาวศิลปกรรมฯเพื่อออกไปชมการแสดงด้านหน้าเวทีและไม่ลืมที่จะบอกให้ทุกคนสู้ๆก่อนที่จะเดินจากไป
เพื่อนรักทั้งสี่คนเลือกทำเลที่เหมาะต่อการชมการแสดงสำหรับพวกเขามากที่สุดไม่ได้ใกล้หรือไกลจนเกินไป โชคดีที่งานวันนี้มีการจัดเวลาจึงทำให้คนทั้งงานสามารถมองเห็นคนที่โชว์อยู่บนเวทีได้ไม่ใช่อย่างรอบแรกที่พวกเขามาดูที่นักดนตรีนักร้องยืนอยู่บนพื้นเท่ากับคนดู
ลำดับการแสดงเริ่มจากชั้นปีที่หนึ่งขึ้นไป ทุกคนที่อยู่ในงานส่งเสียงร้องเพลงตามนักร้องในบางเพลงที่พวกเขาร้องได้ พอปีหนึ่งผ่านไปก็เป็่เวลาของปีสองเสร็จสิ้นจากปีสองก็เป็ปีสาม เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายเมื่อตัวตรึงสินกำขึ้นมายืนอยู่บนเวที
“บรรยากาศแม่งเหมือนวันนั้นเลยว่าป่ะ” พอเสียงแซคโซโฟนเริ่มดังขึ้นเก่งก็หันไปมองหน้าของปลื้มที่สายตาเอาแต่จดจ่อไปยังร่างบางบนเวทีอย่างไม่วางตา “มันคงเป็ความรักอีกแล้วว่ะ” แต่ครั้งนี้แทนไม่ได้เป็คนร้องเหมือนในวันนั้น หน้าที่ของร่างบางในวันนี้คือการเป่าแซคโซโฟนคลอไปกับเสียงร้องของนักร้องประจำวง
“น่าเสียดาย ไม่ได้ฟังเสียงไอ้แทนเลยว่ะ” พีคพูดขึ้นอย่างนึกเสียดาย
“วันนี้มันจะได้ร้องเพลงป่ะ” จีนสะกิดถามปลื้มด้วยความอยากรู้
“เห็นมันจำเนื้อเพลงอยู่นะน่าจะได้ร้องแหละ”
“เคลียร์หูรอฟังเสียงเพื่อนสะใภ้นะครับ”
“แต่ไอ้ทิมมี่ตอนจริงจังก็ดูหล่อดีนะ” เก่งอดจะชมแฟนของเพื่อนอีกคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจดีกลองชุดอยู่ไม่ได้ ในตอนนี้อีกฝ่ายดูหล่อและเท่กว่าปกติที่เจอกันเป็อย่างมาก
“แฟนกูหล่ออยู่แล้ว” อย่าว่าแต่ปลื้มที่อวดแทนเลย จีนเองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันสักเท่าไรหรอก
“เฮ้ยๆ เปลี่ยนตำแหน่งแล้วว่ะ” เก่งพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าแทนย้ายไปยืนอยู่ตรงกลางเวทีแล้วหลังจากที่เพลงมันคงเป็ความรักจบลง
“เพลงต่อไปขอมอบให้ทุกคนที่กำลังมีความรัก แล้วก็คิดว่าอยากจะทำให้ความรักครั้งนี้มันออกมาดีที่สุดนะครับ” สิ้นประโยคที่อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยเสียงโห่ก็ดังขึ้นทันที พีคอดไม่ได้ที่จะแกล้งเอาไหล่ตัวเองชนเข้ากับไหล่ของปลื้มแทนการเอ่ยแซว “เพลงนี้มีชื่อเพลงว่า...ตั้งใจรักครับ”
...ไม่เคยคิดว่าจะเปิดใจ ที่จะรักใครได้อีกแล้ว
กลัวต้องเสียใจ กลัวต้องร้องไห้ ถ้าเทความรู้สึกให้ใคร
ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ไม่มีใครที่คิดไปเองเพราะในเวลานี้สายตาของแทนนั้นจับจ้องไปยังร่างสูงของปลื้มเพียงคนเดียวในขณะที่แทนเองก็อยู่ในสายตาของปลื้มมาั้แ่ต้นแล้ว ไม่ได้ขยับหรือย้ายไปสนใจที่อย่างอื่นเลย
แต่โลกพัดเธอผ่านมา เหมือนได้พบคนที่ตามหา
ฉันช่างโชคดี ที่ได้เจอเธอ อยากให้เธอได้รู้ว่าฉัน
ปลื้มเริ่มขยับปากร้องตามเนื้อเพลงที่คน้ากำลังร้องอยู่ เหมือน้าสื่อให้อีกคนรับรู้ได้ว่าเขาเองก็จะตั้งใจกับความรักครั้งนี้ให้ดีเช่นกัน
จะตั้งใจรักเธอให้ดี จะมีแค่เธอเรื่อยไป
รักที่เธอให้มา ฉันขอสัญญา ว่าจะรักษามันเอาไว้
ตั้งใจรักเธอให้ดี จะมีแค่เธอเรื่อยไป โอ้โอ้ว
บังเอิญพบเจอ แต่การรักเธอ ฉันนั้นจะขอทำมันให้ดีที่สุดเลย
รอยยิ้มแห่งความสุขแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของเขาทั้งคู่ ภวังค์ที่ถูกสร้างขึ้นทำให้เขาทั้งคู่ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนรอบข้าง รับรู้แต่เพียงว่าเบื้องหน้าของตนนั้นมีคนที่ตัวเองรักยืนอยู่ก็เท่านั้น ปลื้มรู้สึกเหมือนว่าเขาถูกดึงกลับไปวันนั้นอีกครั้งวันที่โดนเสียงและรอยยิ้มนี้ตรึงสายตาเอาไว้ กว่าจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็จริงได้อีกครั้งก็ท่อนสุดท้ายของเพลงเสียแล้ว
“ปลื้มไม่ไหว”
“ที่บอกหมั่นไส้กูไม่เคยพูดเล่นนะ”
กว่างานจะเลิกท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ปลื้มเดินไปรอแทนบริเวณด้านหลังเวที เขาช่วยพวกแทนยกของกลับไปเก็บไปไว้เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีพวกเขาสองคนก็แยกตัวออกมาเพื่อกลับบ้านคืนนี้ปลื้มจะไปนอนค้างที่บ้านของแทนเนื่องจากพรุ่งนี้พวกเขาจะไปเที่ยวทะเลด้วยกัน
“หิวป่ะ” สารถีหนุ่มสุดหล่อหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
“นิดหน่อยอะ” แทนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“แวะกินไรก่อนเข้าบ้านป่ะ มึงไม่น่ากลับไปทำอะไรกินไหว” จากสภาพกลับไปแฟนของเขาน่าจะอาบน้ำแล้วนอนเลยมากกว่า
“เป็ความคิดที่ดีมากครับ”
“อยากกินอะไร”
“ไม่รู้เลยอะ มีอะไรเสนอป่ะ”
“ข้าวต้มหรือว่าก๋วยเตี๋ยว”
“ก๋วยเตี๋ยว ก่อนถึงบ้านกูมีร้านหนึ่งอร่อยมาก” แทนยกนิ้วโป้งขึ้นมาเพื่อประกอบคำพูดของตัวเองว่าร้านโปรดของเขานั้นมันอร่อยจริงๆ
“อร่อยกว่าข้าวเปิ้บแถวมออีกป่ะ”
“เบียดๆกันมาเลย”
ปลื้มหลุดยิ้มออกมาให้กับคำตอบของอีกคน
“ใกล้ถึงแล้วบอกนะ”
“รับทราบ”
อ่า...ไม่รู้ว่าปลื้มคิดไปเองหรือเปล่าแต่ว่าั้แ่เป็แฟนกันแทนแม่งน่ารักขึ้นทุกวันเลยว่ะ
ในที่สุดเช้าวันใหม่แห่งการเดินทางก็มาถึงแต่เ้าตัวที่เป็คนต้นคิดยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงของแทนไม่ยอมขยับตัวไปไหนเลย
แทนแกล้งใช้ฝ่ามือของตัวเองตบลงไปบนแก้มตอบเบาๆสองที เพื่อปลุกให้อีกคนตื่นจากความฝันมาพบเจอกับโลกความเป็จริงที่พวกเขากำลังจะออกจากบ้านสายกว่าแผนที่วางเอาไว้ถ้าหากอีกคนยังไม่ยอมตื่นสักทีแบบนี้ แต่แทนที่จะยอมลืมตาตื่นขึ้นมาดีๆ แขนแกร่งกลับเอื้อมมาคว้าที่เอวบางเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงให้คนที่นอนอยู่ข้างกันเข้ามานอนซุกอยู่ในอ้อมกอด
ริมฝีปากหยักได้รูปกดจูบลงที่ขมับของคนในอ้อมแขนหนึ่งทีแช่ค้างเอาไว้อย่างนั้นและนิ่งไปเนื่องจากกำลังจะกลับเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราอีกรอบ
“ตื่นได้แล้ว เดี่ยวก็ได้สายกันหมด” ในที่สุดแทนก็เอ่ยออกมา
“เฮ้อ...” ร่างสูงถอนหายใจออกมาโดยที่ยังไม่ยอมลืมตา
“ถ้ายังไม่อยากลุกก็ปล่อยกูไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวอาบเสร็จแล้วกูค่อยมาปลุกมึงใหม่อีกรอบ ให้เวลามึงได้นอนอีกนิดนึง”
“ไม่เอา” ร่างสูงปฏิเสธ
“ไม่เอาไม่ได้ เดี่ยวก็ไปเช็กอินสายหรอก”
“งั้นไปอาบน้ำด้วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
“ได้นะ ถ้ามึงทำแค่อาบน้ำจริงๆ”
“กูเหมือนคนหื่นขนาดจะปล้ำมึงในห้องน้ำเลยหรอ”
อัลฟ่ากลิ่นสนลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อมองหน้าของคนที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเอง
“มึงมันไว้ใจไม่ได้หรอก” แทนพยายามดันตัวเองออกจากท่อนแขนที่รัดแน่น ซึ่งปลื้มเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เขาปล่อยให้ร่างบางหลุดออกไปจากพันธนาการได้โดยง่าย ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นทั้งสองข้าง
“กูไม่ทำอะไรหรอก ค่อยเก็บไปทำที่ทะเลทีเดียว” เสียงทุ้มว่าอย่างเ้าเล่ห์
“กูว่าแล้วว่าที่ชวนกูไปทะเลเนี่ยไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวทะเลหรอก”
“ล้อเล่นมั้ยล่ะ คุณก็มองผมในแง่ร้ายเก่ง”
“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ เร็ว”
ร่างบางลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างเตียง เขาหยิบผ้าเช็ดตัวโยนใส่หน้าคนที่ยังนอนอยู่ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องน้ำ โดยที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้เพราะรอให้อีกคนเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน
กิจวัตรในห้องน้ำผ่านไปแบบที่ไม่มีเื่ใต้สะดือมาทำให้ทุกอย่างเชื่องช้าตามที่ปลื้มได้บอกไว้ ต่างฝ่ายต่างจัดการกับตัวเองแต่ความวุ่นวายยังคงเกิดเนื่องจากตอนที่ปลื้มกำลังล้างหน้าด้วยโฟมอยู่เกิดนึกอยากแกล้งแทนขึ้นมา เขาแกล้งใช้มือทั้งที่ข้างของตัวเองที่เปื้อนฟองสีขาวจับหน้าของอีกคนที่ล้างเสร็จแล้วเอาไว้แล้วกดแก้มตัวเองลงไปแนบกับแก้มหอมๆของอีกคนเปื้อนฟองโฟมอีกรอบ ปลื้มเจอฝ่ามือของร่างบางฟาดไปที่แขนอยู่หลายทีแต่ร่างสูงก็ยังอารมณ์ดียิ้มหัวเราะชอบใจกับผลงานของตัวเอง
จนเมื่อรู้สึกว่าเขาควรที่จะจริงจังกับการอาบน้ำได้แล้วจึงหันกลับไปตั้งใจอีกครั้ง แล้วก็เดินออกมาแยกย้ายกันแต่งตัว แทนที่ทำทุกอย่างเร็วกว่าปลื้มยืนเช็กความเรียบร้อยอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าง่ายๆให้เราทั้งคู่
“ยกพวกกระเป๋าเสื้อผ้ากูลงไปด้วยนะ” โดยที่ก่อนจะออกไปก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยใช้อีกคนด้วย
อาหารเช้าง่ายๆถูกเตรียมขึ้นด้วยฝีมือของแทน สามวันนี้บ้านของเขาคงเงียบเหงาเนื่องจากเขาเองไปเที่ยวกับปลื้มส่วนน้องชายตัวแสบก็ไปต่างจังหวัดกับแฟนเช่นกัน ทางด้านคุณป๊าสุดหล่อของพวกเขาก็น่าจะบินไปหาแม่ที่เชียงใหม่เหมือนเดิม
“กูทำแค่ขนมปังปิ้งกับไข่ดาวนะ แค่รองท้องไปก่อนค่อยไปกินที่นู้นทีเดียว”
ใบหูบางได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในตัวบ้าน เขาเข้าใจว่าคงเป็ปลื้มที่เดินลงมาจากชั้นบนจึงเอ่ยบอกไปโดยที่ไม่ได้หันมามองเสียด้วยซ้ำ
“ไงคะคุณลูกชายวันหยุดทั้งทีไม่มีใครคิดจะกลับไปหาแม่เลยสักคน”
แต่แล้วมือบางที่กำลังทำอาหารอยู่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยเป็อย่างดี
จะไม่ให้คุ้นได้อย่างไรล่ะในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็คนที่คลอดเขาออกมา
แทนหมุนตัวกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าตอนนี้พ่อและแม่ของเขากำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ ท่านทั้งสองคนควรจะอยู่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่หรือไง
“แม่...ป๊า...สวัสดีครับ” ร่างบางยกมือขึ้นมาไหว้บุพการีทั้งที่ถือตะหลิวอยู่ด้วยสีหน้าที่ยังใไม่หาย
“เจอแม่มันต้องใขนาดนั้นเลยหรอ หรือว่าแอบซุกใครไว้” ผู้เป็แม่เอ่ยขึ้นเพื่อหยอกล้อลูกชายพร้อมกับเบนสายตาลงไปมองอาหารเช้าสองจานที่ถูกเตรียมเอาไว้ “ถ้าจะจริงนะ”
“แม่ไม่คิดว่าเป็ของทีนบ้างหรอ”
“น้องโทรบอกแม่ั้แ่เมื่อคืนแล้วว่าวันหยุดจะไปเที่ยวกับแฟน”
“...”
“งั้นจานนี้ก็คงไม่ใช่ของน้องแล้วล่ะ”
“อาหารเช้าหอมมาก ฝีมือแฟนใครวะ...” ปลื้มที่พึ่งเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านพูดขึ้นด้วยท่าทางอารมณ์ดีแต่เมื่อเห็นว่าในบ้านมีแขกอีกสองคนยืนอยู่น้ำเสียงใน่ท้ายประโยคก็เริ่มแ่เบาลงเรื่อยๆ “สวัสดีครับ” สัญชาตญาณบอกปลื้มว่าทั้งสองคนน่าจะเป็พ่อแม่ของแทนเขาจึงยกมือขึ้นไหว้อย่างมีมารยาทพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“สวัสดีจ้ะ” แม่ของแทนยกมือขึ้นมารับไหว้ปลื้มพร้อมรอยยิ้ม “แฟนแทนหรอจ้ะ”
“แม่!” ร่างบางะโเรียกแม่ตนเองเสียงดัง จนปลื้มเองก็พลอยใไปด้วยแล้วคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
“จะโวยวายทำไมเ้าลูกคนนี้”
“น้าเล็กเล่าเื่ของเราให้ป๊ากับแม่ฟังหมดแล้ว” นับเป็ประโยคแรกเลยที่พ่อของแทนพูดออกมา
“พ่อกับแม่โกรธหรือเปล่า” แทนถามเสียงอ่อย
“ทำไมแม่ต้องโกรธล่ะ” หญิงสูงวัยหันมามองหน้าของลูกชายที่ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “ลูกแม่มีความสุขแม่จะโกรธไปเพื่ออะไร”
“...”
“เราไปหาที่คุยกันหน่อยมั้ย ปลื้มอยู่กับป๊าไปก่อนนะจ๊ะ” เธอเดินเข้าไปหาลูกชาย จัดการจับตะหลิววางไว้บนกระทะแล้วก็ปิดแก๊สให้เสร็จสับก่อนจะจับมือลูกชายให้ขึ้นไปนั่งคุย้าด้วยกัน
“ไงคะคุณลูกชายมีอะไรจะบอกกับแม่มั้ย” ผู้เป็แม่ยังคงพูดคุยกับแทนด้วยรอยยิ้มไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด
“น้าเล็กบอกอะไรแม่บ้าง” แทนถามเสียงอ้อมแอ้ม
“ก็บอกว่าลูกชายแม่มีแฟนแล้ว เป็อัลฟ่าด้วยแต่ว่าหล่อมาก จากที่เห็นเมื่อกี้ก็หล่อจริงๆนั่นแหละ”
แม่ลูกทั้งสองคนทิ้งตัวลงนั่งคุยกันบนเตียง
“แม่รับได้หรอที่แฟนของแทนเป็อัลฟ่า”
“ตอนแรกที่รู้ก็ยังรับไม่ได้หรอก แต่น้าเล็กของเราน่ะบอกแม่ว่าอย่ามองว่าลูกคบกับใครเพศอะไร แต่ให้มองว่าลูกของแม่มีความสุขมั้ย ถ้าแทนมีความสุขแม่ก็ไม่ควรที่จะเข้าไปทำให้ความสุขพวกนั้นมันพังลงแล้วกลายเป็ตัวร้ายในชีวิตของลูกตัวเอง”
“...”
“ซึ่งจากที่เห็นตอนนี้ลูกของแม่ก็ความสุขดี แม่ก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน คนเป็แม่จะหวังอะไรไปมากกว่าเห็นลูกตัวเองยิ้มได้ในทุกวันอีกล่ะ”
“แม่จะไม่ว่าอะไรจริงๆใช่มั้ย” แทนถามย้ำเหมือนยังไม่ค่อยวางใจสักเท่าไรนัก
“แม่ไม่ว่าอะไรแทนทั้งนั้น” มือที่เริ่มเหี่ยวหย่นคว้ามือของลูกชายมาจับเอาไว้เธอลูบลงไปบนหลังมือที่เธอเฝ้าเลี้ยงดูและทะนุถนอมมาั้แ่เด็กจนตอนนี้โตพอที่จะเลือกเส้นทางของตัวเองได้แล้ว “เพราะแม่เชื่อว่าลูกของแม่เลือกสิ่งที่ดีกับตัวเขาที่สุดแล้ว จะมีก็แค่น้อยใจนิดหน่อยที่แม่ไม่สามารถเป็คนที่ลูกปรึกษาทุกเื่ด้วยได้”
“...” แทนไม่ได้เอ่ยแย้งเพราะที่แม่พูดออกมามันก็เป็เื่จริง มีหลายเื่ที่เขาไม่สามารถพูดคุยกับแม่ได้ ผิดกับน้าเล็กที่รู้แทบจะทุกเื่ในชีวิตของเขา
“แต่แม่ก็เข้าใจว่าแม่อาจไม่ใช่เซฟโซนของลูก”
“ใช้คำทันสมัยซะด้วย” ชายหนุ่มที่นั่งตาแดงอยู่อดจะเอ่ยแววออกมาไม่ได้
“แน่สิ แม่ก็ยังวัยรุ่นอยู่นะ”
แทนอมยิ้มให้กับคำตอบที่ได้รับ
“ขอบคุณนะครับ ที่ไม่ว่าแทนเื่ปลื้ม”
แทนขยับตัวเข้าไปกอดเอวของผู้เป็แม่เอาไว้ เขาซบใบหน้าลงกับอกของคนอายุมากกว่าเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่อีกคนมอบให้
“แทนต้องพาปลื้มไปเที่ยวบ้านเราบ้างนะ”
“ตาจะยอมรับได้หรอ แทนไม่อยากโดนตาด่าแบบน้าเล็ก”
“ตาเขามีความเชื่อแบบนั้นมาทั้งชีวิตจะให้เขายอมรับได้เลยแค่น้าเล็กเดินมาบอกเพียงสามวิมันก็เป็ไปไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ตาเขาผ่านเื่นั้นมาแล้ว แม่รู้สึกได้นะว่าพอเขามีเวลาทบทวนกับทุกอย่างเขาก็เริ่มเปิดใจมากขึ้นแล้วล่ะ”