“เคร้ง!” พลันมีเสียงของแตกดังทำลายความเงียบ แก้วชาในมือของเฉินเซี่ยงเทียนแตกละเอียด สายตาของเขาที่มองเย่เฟิงนั้นเปี่ยมไปด้วยความหนาวเหน็บ
“เ้ากล้าฆ่าเขา?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าว เสิ่นหลงคือศิษย์สายตรงของเขา ทว่ากลับถูกเย่เฟิงฆ่าตายต่อหน้าสาธารณชน แล้วเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร
“น่าขันนัก!” เย่เฟิงดึงหอกัเงินประกายออกจากร่างเสิ่นหลง ก่อนจะมองไปที่เฉินเซี่ยงเทียนด้วยสายตาดูแคลน พร้อมกล่าวต่อ “ศึกเป็ตาย สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ดังนั้นไม่เขาตายก็ข้าตาย พลังของเขาไม่เลว แต่การที่ถูกฆ่าตาย นั่นเป็เพราะเขาไร้ความสามารถ หรือว่าเ้าเฉินเซี่ยงเทียนไม่ยอมรับ?”
เสียงของเย่เฟิงแข็งกร้าว เขาเอามือไพล่หลังพลางถือหอกที่มีเืไหลออกจากปลายหอกอย่างต่อเนื่อง ฉากนี้สำหรับเฉินเซี่ยงเทียนแล้วมันคือการยั่วยุ
“ดี ดีมาก!” แววตาของเฉินเซี่ยงเทียนเผยประกายแสงเยือกเย็น จากนั้นเขาหันไปมองเหล่าศิษย์พรรคเทียนจี พร้อมกล่าวว่า “ใครฆ่าคนผู้นี้ได้ ข้าจะตกรางวัลอย่างงาม!”
บรรยากาศพลันเงียบกริบ เสิ่นหลงถูกเย่เฟิงฆ่าตาย แล้วใครเล่าจะกล้ายั่วยุเย่เฟิง? ทุกคนจึงเงียบกริบไม่มีใครตอบเฉินเซี่ยงเทียน ทำให้เฉินเซี่ยงเทียนเผยสีหน้าไม่ค่อยดีและดวงตาต้องแดงก่ำ
“ทำไม? พรรคเทียนจีเ้าไม่มีใครกล้าสู้เหรอ?” เย่เฟิงชี้ปลายหอกไปที่เฉินเซี่ยงเทียน นี่เท่ากับเป็การยั่วยุที่น่าสมเพชอย่างมาก
“หมอนี่จะบ้าบิ่นเกินไปแล้ว” ผู้คนเห็นฉากนี้ก็ไร้ซึ่งคำพูด พวกเขาได้เห็นความบ้าระห่ำและความโอหังของเย่เฟิงแล้ว ซึ่งความบ้าและความโอหังราวกับมีมาั้แ่เกิดก็ไม่ปาน
“สวะ ข้าอยู่นี่ ดูซิว่าเ้าจะแน่สักแค่ไหน” เมื่อเย่เฟิงดูิ่พรรคเทียนจี จู่ ๆ เฟิงเฉียนเดินออกมาพร้อมพูดจาด่าทอเย่เฟิง เขาเฟิงเฉียนคือศิษย์ที่ให้เกียรติผู้าุโ แม้ไม่ใช่คนของพรรคเทียนจี แต่เพราะมีความบาดหมางกับเย่เฟิงเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงยินดีล้างแค้นแทนพรรคเทียนจี
“วูบ!” เฟิงเฉียนร่อนลงบนเวทีประลอง เฟิงเฉียนเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 5 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายา ไม่ว่าเขาเดินไปไหนก็ล้วนเป็จุดสนใจทุกเมื่อ บัดนี้เขาเยือนเวทีประลอง ประจันหน้ากับเย่เฟิง ศึกนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
“เฟิงเฉียนจะลงมือจัดการเย่เฟิงแบบนี้น่ะหรือ? ถ้าเป็เช่นนั้นเย่เฟิงก็คงจบเห่แล้ว”
หากเฟิงเฉียนลงมือก็ไม่มีใครกังขาจุดจบของศึกนี้ ความเกรงขามของผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นบ่มเพาะกายาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเทียบเคียงได้ อย่างน้อยตอนนี้เย่เฟิงก็ไม่ได้อยู่ระดับนี้
“เ้าเฟิงเฉียนเป็สุนัขรับใช้ของพรรคเทียนจีงั้นหรือ?” เย่เฟิงเย้ยหยันขณะมองเฟิงเฉียน
“น่าขัน สวะอย่างเ้าท้าทายคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นรวมชี่ไม่ใช่เหรอ? ข้าอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาก็ถูกกฎแล้วนี่ หรือเ้าเสียใจ?” เฟิงเฉียนแสยะยิ้มพลางแววตาฉายความเย่อหยิ่ง เมื่อเขาออกโรง เย่เฟิงก็นึกกลัวเขาอย่างที่คาดไว้
“ถ้าเ้าไม่อยากสู้ก็ย่อมได้ แต่ต้องตัดแขนตัวเองแล้วคุกเข่าขอโทษข้า บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเ้าก็ได้” เฟิงเฉียนกล่าวอย่างมั่นใจ
“เฟิงเฉียน สมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์แห่งรายนามขั้นบ่มเพาะกายา พอขึ้นเวทีประลองก็สำแดงความเกรงขาม สั่งให้เย่เฟิงคนนั้นตัดแขนตัวเองและคุกเข่าขอโทษเขา” ผู้คนพึมพำขณะมองเฟิงเฉียนด้วยแววตาหวาดผวา
รายนามขั้นบ่มเพาะกายาเป็สิ่งที่ศิษย์ทุกคนในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างปรารถนาจะให้ชื่อตนไปอยู่ในนั้น ส่วนเฟิงเฉียนอยู่อันดับที่ 5 ในรายนามนั้น เป็คนที่พวกเขาทุกคนต่างเลื่อมใสศรัทธา
“ตัดแขนตัวเองแล้วก็คุกเข่าขอโทษเ้างั้นเหรอ?” เย่เฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ใช่ เ้าจงรับโอกาสนี้ไปซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะใช้วิธีที่โเี้ที่สุดฆ่าเ้า” เฟิงเฉียนพยักหน้า ราวกับว่าเขาคือตัวเอกในวันนี้อย่างไรอย่างนั้น
“เ้าสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว!” เย่เฟิงกล่าวพลางมีสีหน้าดูแคลน แล้วพูดต่อ
“ข้าี้เีพล่ามไร้สาระกับเ้า แต่เ้าสู้กับข้ายังไม่น่าสนใจมากพอ!”
“อะไรนะ?” ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ต่างตะลึงงันและเกิดความสงสัยขึ้นมา เย่เฟิงพูดว่าเฟิงเฉียนสู้กับเขามันยังไม่น่าสนใจมากพอ มันหมายความเช่นไร? มีคนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจความหมายของเย่เฟิง
“เ้าจะเอายังไง?” เฟิงเฉียนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
เย่เฟิงแสยะยิ้ม จากนั้นเห็นเขามองไปยังอัฒจันทร์บางแห่ง ก่อนกล่าวว่า “จะหลบอยู่ตรงนั้นทำไม? ไสหัวออกมา!”
ผู้คนต่างต้องสงสัยหนักกว่าเก่า “หมอนี่พูดกับใคร? ทำไมรุนแรงขนาดนี้ ถึงกับสั่งให้อีกฝ่ายไสหัวออกมา”
มีคนจำนวนไม่น้อยต่างสงสัย แต่ขณะนั้นเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ชะงักไปเล็กน้อย เหมือนััถึงบางอย่างได้ จากนั้นทะยานร่างขึ้นฟ้าแล้วร่อนลงบนเวทีประลอง สายตาอันชั่วร้ายจ้องมองเย่เฟิง “สวะ เ้าคิดจะทำอะไร?”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ผู้คนรู้ว่าคำพูดจาที่รุนแรงนั่นของเย่เฟิงกำลังพูดกับใคร
“แน่นอนว่าสู้กับเ้า” เย่เฟิงกล่าว
“ทำไม? เ้าสู้เฟิงเฉียนไม่ได้ก็เลยเปลี่ยนมาท้าข้าเหรอ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ ต่อหน้าข้า มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่”
เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าว แต่มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะการถูกคนเมินใส่ไม่ใช่สิ่งที่เขา้า ยิ่งกว่านั้นคนที่เมินเขาก็คือเย่เฟิงคนที่เขา้าฆ่ามาตลอด
“ข้าบอกแล้วไงว่าจะสู้กับเ้า” เย่เฟิงกล่าว
“เ้ากำลังแกล้งข้างั้นเหรอ?” แววตาของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เผยประกายชั่วร้าย
“เ้ามันสมควร?” เย่เฟิงถากถาง จากนั้นกล่าวต่อ “ข้าไม่อยากให้พวกเ้าเสียเวลา พวกเ้าบุกเข้ามาพร้อมกันเลย!”
“เปรี้ยง!” เสียงของเย่เฟิงราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ เย่เฟิงหมายความว่าถ้าสู้กับเฟิงเฉียนและเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ทีละคนก็จะเสียเวลาไปมาก ดังนั้นเขาจึงให้สองคนนี้บุกเข้ามาพร้อมกัน เพียงเพราะเย่เฟิงไม่อยากให้สองคนนี้เสียเวลา จึง้าสู้หนึ่งต่อสอง นั่นคือเขาต้องสู้กับผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาถึงสองคน ไม่ใช่ว่าเขากำลังรนหาที่ตายหรอกหรือ!
ผู้คนเผยสีหน้าไม่คาดคิด ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเย่เฟิงหวาดกลัวเฟิงเฉียน จึงเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ แต่ไม่นึกว่าพวกเขาจะคิดผิด มีหรือเย่เฟิงจะหวาดกลัว เขาไม่เห็นเฟิงเฉียนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ” เฟิงเฉียนได้ฟังคำพูดของเย่เฟิงก็ะเิหัวเราะ ความโอหังไร้ความเกรงกลัวนั่นราวกับเป็เื่ตลกที่สุดในใต้หล้าเท่าที่เคยฟังมา
“เ้าบอกว่าจะสู้กับข้าสองคน ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม!” เฟิงเฉียนกล่าวเสียงเย็น
“พล่ามไร้สาระ จะสู้ไม่สู้? ถ้าไม่สู้ก็ไสหัวไปซะ!” เสียงของเย่เฟิงดังกร้าว
“ข้าว่าเขาเสียสติไปแล้ว แต่ในเมื่อเขาอยากตายมากนัก พวกเราก็สนองเขาหน่อยสิ” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวขณะดวงตาของเขาฉายแววอย่างชั่วร้าย
“ได้สิ วันนี้ต้องฆ่าเขาให้ได้” เฟิงเฉียนพยักหน้าด้วยสีหน้ากระหายเื เมื่อกล่าวจบทั้งสองก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา พวกเขาอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาและเหลืออีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นรวมชี่แล้ว
“ตายซะเถอะ!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่อัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ ก่อนจะปล่อยออกไปโจมตีเย่เฟิง จู่ ๆ สายลมพัดโหมขึ้นมา
“การประลองเริ่มแล้ว เย่เฟิงคนนี้ทำตัวอวดดี ครั้งนี้เขาคงจบเห่แน่นอน” ผู้คนพึมพำ พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าเย่เฟิงจะเอาชนะศึกนี้ได้ แม้จะตายก็เป็เย่เฟิงที่รนหาที่ตายเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้
ขณะเดียวกันเฟิงเฉียนที่เชี่ยวชาญทักษะมีดก็ได้ชักมีดออกมา ก่อนจะตวัดโจมตีเย่เฟิง ส่วนแววตาของเย่เฟิงเผยประกายเยือกเย็นพร้อมพลังดาราโคจรบนร่าง บนเวทีประลองก็ราวกับปรากฏแผนที่ดาวขนาดใหญ่ และเย่เฟิงยืนอยู่ตรงใจกลางแผนที่
อักขระบนแผนที่เคลื่อนไหว ก่อนจะถักทอเป็เส้นทาง จากนั้นเย่เฟิงเดินออกมา พลันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ หลบหลีกการโจมตีของทั้งสองคนอย่างแม่นยำและฉับไว
“นี่มันเคล็ดวิชาท่าร่างอะไร ทำไมร้ายกาจได้เพียงนี้?” มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งอุทาน เขามองจังหวะก้าวของเย่เฟิงไม่ออก
“ทักษะของตระกูลหวัง เคล็ดวิชาย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ ทำไมเย่เฟิงผู้นี้ถึงฝึกได้? หรือว่าบุคคลระดับสูงของตระกูลหวังจะถ่ายทอดวิชาให้เขา” ผู้าุโสายนอกที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่คนหนึ่งมีความรู้กว้างขวาง เขาจำเคล็ดวิชาท่าร่างนี้ได้ จึงรู้สึกใมาก
“ไม่น่าจะใช่ เท่าที่ข้ารู้ ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อถือเป็สมบัติของตระกูลหวัง แม้แต่ลูกหลานสายตรงของตระกูลหวังก็ไม่มีสิทธิ์ฝึกเคล็ดวิชานี้ แล้วผู้าุโตระกูลหวังจะถ่ายทอดวิชาให้คนนอกได้อย่างไร?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว เขาพูดจามีเหตุผล จึงทำให้หลาย ๆ คนพยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าดูจากความสามารถของเด็กคนนี้ก็นับว่าไม่เลว ส่วนสมบัติล้ำค่าของตระกูลหวังก็ไม่ใช่วิชาที่จะฝึกได้ง่าย ๆ แต่เด็กคนนี้กลับฝึกสำเร็จ มันจึงช่วยเขาในการประลองได้เป็อย่างดี ไม่เช่นนั้นเขาจะรอดมาถึงตอนนี้ได้หรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกล่าวต่อ
“ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะหนีไปไหนได้?” เฟิงเฉียนกล่าว เขาััได้เช่นกันว่าเคล็ดวิชาท่าร่างที่เย่เฟิงใช้มันไม่ธรรมดา แต่จากนั้นเขาตวัดมีด พลันมีรังสีมีดมหาศาลกระหน่ำโจมตีเย่เฟิง
ด้านเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ ิญญาาอสรพิษบุปผาปรากฏกายที่ด้านหลังเขา พร้อมกับมีแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของมัน
“โฮก!” อสรพิษบุปผาแผดเสียงคำราม ก่อนจะพุ่งออกไปหาเย่เฟิงพร้อมแยกเขี้ยวหมายกลืนกินร่างเย่เฟิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้