ความจริงแล้วโลกของผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็เช่นนี้เสมอ หากย้อนกลับไปในตอนแรก ทุกคนต่างก็พูดจาดูถูกเหน็บแนมและไม่้าให้มู่เฟิงต่อสู้แทนมู่หลิงเอ๋อร์ แต่ตอนนี้หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มแล้ว ยังจะมีใครกล้าพูดจาเหน็บแนมเขาอีก
สีหน้าของเหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วเปลี่ยนเป็มืดครึ้มจนน่าเกลียด แต่หากกล่าวกันตามตรงแล้ว การลอบโจมตีด้วยวิธีการอันชั่วช้าของจางเจิ้งเทาก็เป็เหตุผลที่ทำให้พวกเขารู้สึกพ่ายแพ้อยู่ในใจ
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็เดินไปทางหนานหลิง ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อว่า “ศิษย์พี่หนานหลิง หนึ่งหมื่นคะแนนตามสัญญา!”
สีหน้าของหนานหลิงมืดครึ้มลงจนไม่น่ามอง บัตรบันทึกคะแนนพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนที่เขาจะโยนมันไปทางมู่เฟิง
บนบัตรผลึกใบนี้ถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังกังชี่ธาตุน้ำแข็ง มันพุ่งกวาดออกไปเบื้องหน้าราวกับกระบี่เล่มหนึ่ง คาดว่าความคมกริบของมันคงจะสามารถตัดทองคำและศิลาหินได้เลยทีเดียว
ฉับพลันนั้นฝ่ามือของมู่เฟิงพลันถูกปกคลุมด้วยชั้นเกล็ดสีโลหิตและพลังกังชี่โลหิตชูร่าทันที เขายื่นมือออกไปรับบัตรผลึกใบนั้นอย่างง่ายดาย
เมื่อได้รับคะแนนหนึ่งหมื่นคะแนนแล้ว มู่เฟิงก็ยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หนานหลิงช่างใจกว้างยิ่งนัก รู้ว่าข้ามีคะแนนไม่มาก จึงได้ดูแลข้าเป็พิเศษเช่นนี้”
มู่เฟิงสะบัดมือส่งบัตรผลึกใบนั้นกลับคืนไปทางหนานหลิง
หลังจากหนานหลิงได้รับบัตรคืนมา เขาก็แค่นเสียงอย่างเ็าว่า “อย่าได้ชะล่าใจนัก การต่อสู้ระหว่างเ้ากับข้ามันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
หนานหลิงกล่าวจบ เขาก็ไม่อาจแบกหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก เขาจึงนำกลุ่มคนของจวนเป่ยอ๋องเดินจากไปทันที
“มู่เฟิง ข้าขอท้าประลองเ้า เ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่”
ทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงก็กล่าวขึ้นอย่างเ็า
หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น มู่เฟิงก็หันไปมองตามเสียงทันทีและพบว่าอีกฝ่ายคือบัณฑิตคนหนึ่งของสำนักศึกษาเป๋ยโต่ว จากรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายแล้วเหมือนว่าเขาน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี
“ข้าขอปฏิเสธ”
มู่เฟิงตอบปฏิเสธออกไปตรงๆ
“เ้ารู้จักกลัวแล้วรึ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงกล่าวเย้ยหยันทันที
“กลัว?”
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะกล่าวอย่างประชดประชัน “เ้าไร้ยางอายเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ข้าจะไม่พูดถึงเื่ที่ข้าเพิ่งได้รับาเ็เมื่อครู่ แต่ข้าขอถามศิษย์พี่ เ้าอายุเท่าไร? มีวรยุทธ์อยู่ในระดับใด?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“ข้าอายุยี่สิบสามปี วรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสี่”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงตอบกลับอย่างเ็า
“ฮ่าๆ ข้ามู่เฟิงอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเต็ม และเพิ่งบรรลุระดับหนิงกังขั้นหนึ่งเท่านั้น เ้ามาขอท้าประลองข้าแบบนี้ไม่กลัวว่าตัวเองจะถูกดูแคลนหรืออย่างไร?”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมแดงก็เปลี่ยนเป็แดงก่ำ เขารู้สึกโมโหมากจนพูดอะไรไม่ออก
“ฮ่าๆ ถูกต้องแล้ว หากมู่เฟิงอายุเท่ากับเ้า ระดับวรยุทธ์ของเขาย่อมต้องเหนือกว่าเ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นเหตุใดเขาจะต้องกลัวคนอย่างเ้าด้วย? หากเ้ายัง้าสู้ ข้าหยวนเฮ่าจะสู้กับเ้าเอง”
หยวนเฮ่าเข้ามาร่วมวงเย้ยหยันอีกฝ่าย เหล่าบัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นต่างก็มองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามเช่นกัน
“ข้าจะรับคำท้าของเ้าแทนน้องชายของข้าเอง”
มู่หลิงเอ๋อร์พลันก้าวออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ เพราะพวกเขาไม่ได้เห็นมู่หลิงเอ๋อร์ลงมือมานานมากแล้ว
“ย่อมได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าแม้เ้าจะเป็สตรี ข้าก็ไม่คิดจะรักหยกถนอนบุปผาหรอกนะ”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงกล่าวเย้ยหยัน
“พี่หญิง ท่าน...”
มู่เฟิงประหลาดใจเล็กน้อย มู่หลิงเอ๋อร์หันมายิ้มให้เขาก่อนจะกล่าวว่า “ตระกูลมู่ของข้า ไม่ได้มีเ้าคอยค้ำจุนอยู่คนเดียวเสียหน่อย”
มู่เฟิงยิ้มบาง ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด
มู่หลิงเอ๋อร์จ้องไปทางชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงขณะก้าวออกมาข้างหน้า ส่วนคนอื่นที่เหลือต่างก็กลับไปยังไม้กระดานในตำแหน่งเดิม
แส้ที่มีความยาวหลายเมตรปรากฏขึ้นในมือของหญิงสาว และที่ปลายแส้นั้นก็คมกริบราวกับใบมีด
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงแสยะยิ้มออกมา เขาดีดฝ่าเท้ากระโจนร่างออกไปอย่างรวดเร็ว พลังกังหยวนสีแดงถูกรวบรวมไว้ที่กลางฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะตบกรงเล็บไปทางมู่หลิงเอ๋อร์
กรงเล็บพลังกังหยวนพุ่งแหวกอากาศไปยังทรวงอกของมู่หลิงเอ๋อร์ทันที
“ไร้ยางอาย!”
เมื่อเห็นภาพนี้บัณฑิตหญิงของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นหลายคนก็อดร้องะโสาปแช่งออกมาไม่ได้
แต่มู่หลิงเอ๋อร์กลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง นางเพียงสะบัดแส้ยาวในมือออกมา เงาแส้สีแดงเพลิงกวาดไปยังกรงเล็บอันทรงพลังที่กำลังพุ่งเข้ามา กรงเล็บนั้นถูกปลายแส้ทำลายลงโดยตรง
ทว่าหลังจากนั้นหอกเล่มหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม เขาเหวี่ยงหอกออกมาอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยใบมีดสีแดงให้พวยพุ่งไปทางมู่หลิงเอ๋อร์โดยตรง
มู่หลิงเอ๋อร์รีบถอยออกมา ใบมีดนั้นจึงฟันลงไปบนพื้นของแท่นประลองจนเกิดเป็ประกายไฟ
หญิงสาวตวัดปลายแส้ออกมาอีกครั้ง โดยปลายแส้ได้พุ่งไปยังหอกเล่มนั้นราวกับงูที่มีชีวิตทันที มันพันรอบตัวหอกอย่างรวดเร็ว จากนั้นมู่หลิงเอ๋อร์ก็ออกแรงดึงมันอย่างแรง
สีหน้าของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไปในทันที เขาแผดเสียงคำรามออกมา ก่อนจะรีบปล่อยพลังหมัดสีแดงออกไปทางมู่หลิงเอ๋อร์อย่างดุดัน ราวกับว่าเขา้าใช้หมัดนี้บดขยี้ร่างอันบอบบางของมู่หลิงเอ๋อร์ให้กลายเป็เศษเนื้อ
มู่หลิงเอ๋อร์ยิ้มหยัน พลังอันแข็งแกร่งพลันปะทุออกมาจากร่างของนาง ทันใดนั้นพลังของนางก็เพิ่มขึ้นไปถึงระดับหนิงกังขั้นห้า!
มู่หลิงเอ๋อร์รีบตบฝ่ามือออกไป ก่อนที่พลังกังหยวนสีแดงจะพวยพุ่งออกมา และตรงเข้าไปทำลายหมัดนั้นของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย
“ระดับหนิงกังขั้นห้า!”
สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็อย่างมาก เขาถูกฝ่ามืออันทรงพลังตบเข้าที่ทรวงอกอย่างแรงจนต้องกรีดร้องโหยหวนออกมา ก่อนที่ร่างของเขาจะลอยกระเด็นตกลงไปในทะเลสาบ
มู่หลิงเอ๋อร์ชนะ!
“ร้ายกาจมาก มู่หลิงเอ๋อร์เข้าศึกษาในสำนักศึกษาได้เพียงสองปีกว่าเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของนางจะพัฒนามาถึงระดับหนิงกังขั้นห้าแล้ว!”
“ดูเหมือนว่านอกจากมู่เฟิงแล้ว ตระกูลมู่จะยังมีสตรีผู้นี้ที่ไม่อาจประมาทได้”
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจในความแข็งแกร่งที่มู่หลิงเอ๋อร์แสดงออกมา พวกเขาต่างก็คิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ไม่ควรจะอยู่ในอันดับที่เก้าสิบห้าอีกต่อไป นางสมควรจะอยู่ในเจ็ดสิบอันดับแรกแล้วด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าการที่จางเจี้ยนท้าทายมู่หลิงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้เป็เื่ที่น่าขันมาก เพราะหากมู่หลิงเอ๋อร์ลงมือด้วยตัวเอง คาดว่าจางเจี้ยนคงได้ตายในสภาพที่น่าอนาถเป็แน่
“ดี!”
หยวนเฮ่าะโเชียร์จากด้านข้าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความรักใคร่
มู่เฟิงมองมู่หลิงเอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะยกนิ้วชื่นชมอีกฝ่าย ่เวลาสองปีที่ผ่านมาเหมือนว่าความแข็งแกร่งของพี่สาวของเขาจะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าใ
มู่หลิงเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับโบกมือให้มู่เฟิง
“แพ้อีกแล้ว”
สีหน้าของบรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วมืดครึ้มลงจนไม่น่ามอง
“ข้า้าสู้กับเ้า!”
ทันใดนั้นก็มีบัณฑิตระดับหนิงกังขั้นห้าคนหนึ่งจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วะโขึ้นมาบนแท่นการประลอง แต่สุดท้ายมู่หลิงเอ๋อร์ก็สามารถเอาชนะเขาได้ในสิบกระบวนท่า
มู่หลิงเอ๋อร์ต่อสู้อีกสี่ครั้ง และสามารถเอาชนะได้ทั้งสี่ครั้ง จนสุดท้ายนางก็ถูกยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นหกของสำนักศึกษาเป๋ยโต่วบีบให้ต้องลงจากแท่นประลอง
ทว่าความแข็งแกร่งที่มู่หลิงเอ๋อร์แสดงออกมานั้น เป็ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางจริงหรือ?
เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วและเทียนอวิ่นต่างก็ส่งคนของตัวเองออกไปต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และพลัดกันแพ้ชนะไปเช่นนี้ จนกระทั่งใน่ท้ายคนที่อยู่ในสิบอันดับแรกจากทั้งสองสำนักศึกษาก็ะโขึ้นไปบนแท่นการประลอง
และภาพการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับหนิงกังขั้นเก้าก็เป็อะไรที่รุนแรงทั้งยังทรงพลังมาก
มู่เฟิงติดตามการต่อสู้ของพวกเขาโดยละเอียด คอยมองฝีมือการต่อสู้และวิธีการโจมตีของแต่ละคน และภายในหัวก็จินตนาการว่าหากเป็เขาจะรับมือกับการโจมตีเ่าั้อย่างไร
จนในที่สุดก็มาถึงคราวของเว่ยอี้อวิ๋น ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นทรงพลังมาก เขากำลังเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ไม่สวมเสื้อจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่ว
หนึ่งในพวกเขามีทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยม การเคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึง ส่วนอีกคนมีทักษะหอกเป็เลิศ จนกระทั่งผ่านไปกว่าร้อยกระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครกล้าลงมือหนักไปกว่านี้อีก ทำให้สุดท้ายการแข่งขันก็จบลงด้วยผลเสมอกัน
การประลองแลกเปลี่ยนระหว่างสองสำนักศึกษาดำเนินมาจนถึง่เย็น เมื่อการประลองจบลงทุกคนต่างก็แยกย้ายกันในทันที
มู่เฟิง หยวนเฮ่า ข่งเซวียนเอ๋อร์ มู่หลิงเอ๋อร์และข่งย่วนเดินกลับไปด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันขณะไปที่กลับเรือนพัก
หยวนเฮ่าโอบไหล่ของมู่เฟิงและแสดงท่าทีที่เป็มิตร นับว่าชายผู้นี้ฉลาดไม่น้อย เขาทราบดีว่าระหว่างมู่เฟิงกับมู่หลิงเอ๋อร์นั้นมีสายใยพี่น้องที่ลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึง้าเอาใจมู่เฟิง
“เสี่ยวเฟิง เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสำนักศึกษาเป๋ยโต่วถึงส่งบัณฑิตมาแลกเปลี่ยนที่สำนักศึกษาของเรา?”
หยวนเฮ่าหัวเราะออกมาราวกับว่าเขารู้อะไรบางอย่าง
“ตกลงมันเื่อะไรกันแน่หรือขอรับ?”
มู่เฟิงแสดงความสนใจขึ้นมาในทันที
“เ้ารู้จักการแข่งขันอันยิ่งใหญ่ระหว่างหกสำนักศึกษาใหญ่หรือไม่?”
หยวนห่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“เหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินเื่นี้มาบ้าง”
มู่เฟิงพยักหน้า
“มันจะถูกจัดขึ้นในปีหน้า การแข่งขันระหว่างหกสำนักศึกษาใหญ่จะจัดขึ้นในทุกๆ สี่ปี ครั้งนี้ทางสำนักศึกษาเป๋ยโต่วคงส่งบัณฑิตมาเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเรา หึๆ”
หยวนเฮ่ากล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
“ชิ ข้าก็คิดว่าเ้าจะพูดอะไร”
ข่งย่วนทำหน้ามุ่ย
“พี่หยวน พี่ข่ง ตกลงการแข่งขันของหกสำนักศึกษาใหญ่นี้มันคืออะไรกันแน่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย