เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดที่จะใส่ใจหลิวฟางมากนัก
อย่างไรเสียก็มีความสัมพันธ์ทางสายเื อีกทั้งยังไม่ร้ายกาจเหมือนคนตระกูลเซี่ย การเลือกปฏิบัติต่อคนจนและคนรวยคือนิสัยเสียที่หลายคนมี คนอย่างหลิวฟางนี่เซี่ยเสี่ยวหลานเจอมาเยอะเหลือเกิน ยังไม่ถึงขั้นเหลี่ยมจัดเลวทราม และตราบใดที่ยังไม่ผลาญสายใยครอบครัวของหลิวหย่งและหลิวเฟินทิ้งจนหมดสิ้น ความสัมพันธ์นี้ก็ตัดไม่ขาดไปทั้งชาติ
ค่อนข้างน่าหน่ายใจ แต่นี่คือโลกแห่งความเป็จริง ชีวิตจริง เป็ไปไม่ได้ที่จะมีเพียงความจริงใจ ความดี และความงดงามตลอดกาล
ปลอบใจหลิวเฟินเสร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานถึงเล่าเื่การไปปักกิ่งในครั้งนี้
ก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานจะกลับมาหลิวหย่งได้รับงานชิ้นที่สอง กงหยางจากคณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยซางตูก็อยู่ปักกิ่งต่อเพื่อช่วยงานเขาด้วย หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินรู้สึกปลาบปลื้มยินดีมาก งานสองชิ้นเป็แค่การตกแต่งบ้านให้คนรู้จัก คาดว่าคงได้กำไรไม่เท่าไร และยังคงแซงยอดขายของร้านเสื้อผ้าไม่ได้ไปสักระยะ
ทว่าได้กำไรเท่าไรคือเื่หนึ่ง บุรุษมีงานการหรือไม่ก็คืออีกเื่หนึ่ง
เมื่อหน้าที่การงานก้าวหน้าไปได้ด้วยดี บุรุษจะกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา หากปล่อยให้เขาว่างอยู่ทุกวัน ต่อให้ฐานะทางการเงินของครอบครัวดีแค่ไหน ก็ยากมากที่จะไม่เกียจคร้าน นอกจากนี้หลิวหย่งยังมีคดีเก่าติดตัวเสียด้วย ก่อนหน้านี้หลี่เฟิ่งเหมยสงสารที่เขาได้รับาเ็จนร่างกายบอบช้ำ นี่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาควรทำงานเป็ชิ้นเป็อันเสียที
ทว่าพอหลิวหย่งเริ่มงานยุ่ง ก็ไม่มีคนดูแลหลิวจื่อเทา
จะไม่ไปรับหลังเลิกเรียนก็ได้ แต่กว่าจะปิดร้านก็ราวทุ่มสองทุ่มทุกวัน ่เวลานี้จะเอาหลิวจื่อเทาไปไว้ที่ไหน?
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังพิจารณาปัญหานี้เหมือนกัน “ถ้าอย่างนั้น ร้านเราจ้างคนอีกดีกว่า”
ด้วยรายรับปัจจุบันของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ การจ้างพนักงานร้านเงินเดือนร้อยกว่าหยวนไม่ได้เป็ภาระหนักหนาอะไร หากมีคนขายสินค้าและต้อนรับลูกค้าเพิ่มในเวลายุ่ง หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินจะได้ผลัดกันพักผ่อน
“จ้างคน?”
“พวกเราจะจ้างคนอื่นมาดูร้านหรือ?”
่ที่ผ่านมาพอเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งไปปักกิ่ง หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินคิดว่าขาดกำลังคน แต่พวกเธอยังไม่เคยคิดถึงเื่การจ้างคน การจ้างคนทำงาน นั้นมิใช่สิ่งที่นายทุนเขาทำกันหรอกหรือ? พวกเธอเป็เพียงผู้ประกอบการรายย่อยค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ... ก็ได้ ธุรกิจของพวกเธอไม่ถือว่าเล็ก หน้าร้านสามคูหาคือร้านเสื้อผ้าเอกชนขนาดใหญ่ที่สุดในซางตูอย่างแน่นอน
ธุรกิจค้าขายขนาดเล็กที่แท้จริงยังต้องตั้งแผงลอยและทำากองโจรกับเ้าหน้าที่ประจำหน่วยงานที่ดูแลภาพลักษณ์ของเมืองอยู่เลย
“ตอนนี้พวกวิสาหกิจชุมชนหรือโรงงานเอกชนขนาดเล็กทางใต้การจ้างคนทำงานถือเป็ปกติมาก ั้แ่ปี 79 ถึงปีนี้ ฉันคิดว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจมีแต่จะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ รัฐไม่มีทางหยุดนโยบายกิจการส่วนบุคคลโดยง่ายแน่นอน ตอนนี้พวกเราแค่จ้างคนมาทำงานในร้าน ถ้าในอนาคตธุรกิจใหญ่โตขึ้น พวกเราจะจ้างคนมากกว่าเดิมอีกด้วย! ”
ภาพอนาคตที่เซี่ยเสี่ยวหลานพรรณนาทำให้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินทั้งตั้งตาคอยและอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
โดยเฉพาะหลิวเฟิน เธอคือผู้ดูแลบัญชีเงินสดหมุนเวียนของร้าน ั้แ่ตรุษจีนสิ้นสุดจนถึงตอนนี้เปิดกิจการมาแล้วหนึ่งเดือนกว่าก็ยังไม่ได้ทำการปันผล เธอคิดว่าเงินในมือมันมากเสียจนลวกมือเลยทีเดียว
ถ้ามีเงินหมื่นนั้นคือคนรวย แล้วเงินหลายหมื่นในมือเธอเล่าจะเรียกว่าอย่างไร?
หาเงินได้มากมายขนาดนี้ เสื้อผ้าก็ขายราคาไม่ใช่ถูก รัฐจะไม่สนใจจริงหรือ หากให้คืนเงินก็ยังดี แต่หลิวเฟินเกรงว่ามีเงินมากไป รัฐจะเข้าใจว่าพวกเธอค้ากำไรเกินควรน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่หัวเราะเยาะมารดาของเธอ แต่อธิบายนโยบายของรัฐกับหลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยอย่างใจเย็น
“เงินเท่านี้ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไร ทางใต้มีคนบางกลุ่มที่ร่ำรวยก่อนแล้ว เช่นพ่อค้าขายส่งที่พวกเรารับสินค้าคนนั้น ในบ้านเขามีเงินสดหลายหมื่นอยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ ทว่าเขายังไม่ถือว่าเป็คนมีเงินที่สุด เงินที่พวกเราหาได้ในตอนนี้เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วก็แค่เื่ขี้ปะติ๋ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คุยโว ทรัพย์สินของเฉินซีเหลียงมากกว่าเธอแน่นอน แถมเฉินซีเหลียงไม่ใช่คนมีเงินที่สุดด้วย เท่าที่เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ ขนาดคังเหว่ยยังมีเงินในมืออยู่ไม่น้อย โจวเฉิงเองก็ไม่ได้ยากจนเช่นกัน
สองคนนี้แค่เก็งกำไรส่วนต่างจากการจำหน่ายบุหรี่ต่างพื้นที่เท่านั้น ทุกวันนี้พวกเถ้าแก่ที่ลักลอบขนของเถื่อนคงมั่งมีมากๆ แล้ว ยกตัวอย่างคนกลางที่ค้าส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในหยางเฉิงเ่าั้ มีคนไหนที่กระเป๋าเงินไม่พองบ้าง!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยลำพองตน เธอรู้ดีว่าเธอยังห่างชั้นจากคนร่ำรวยรุ่นแรกตัวจริงอีกไกลโข
แต่เธอไม่ดูถูกตนเองเช่นกัน พัฒนาอย่างมั่นคงดีกว่ารากฐานไม่มั่นคงที่จะปีนได้เพียงครึ่งทางแล้วร่วงลงมาตาย เหมือนกำไรด่วนจากวิทยุเมื่อคราวก่อนก็ได้มาอย่างสุดยอดยิ่งนัก ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่เผิงเฉิงต่อเพื่อเก็งกำไรสินค้าเถื่อน หนึ่งเดือนขายเพิ่มไม่กี่คำสั่งซื้อ กำไรที่จะได้ก็คงจะถมเถไป! แต่เธอกลัวที่จะพลั้งพลาดมิใช่หรือ? และกลัวตนเองจะดำดิ่งลึกลงไปไม่หยุด ตอนแรกเข้าสู่ขอบเขตสีเทาก่อน ต่อมาหากเปรอะเปื้อนจนดำสนิทโดยไม่ทันตั้งตัวเธอจะทำอย่างไร
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าว่าเหล่าผู้ประกอบการทางใต้ดึงตัวคนบ้านเดียวกันมาเปิดโรงงานของตนเอง หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินได้ฟังแล้วก็อึ้ง
เทียบกับคนเ่าั้แล้ว การรับคนมาช่วยดูแลร้านน่าจะมิใช่เื่ใหญ่อะไร ทั้งสองคนช่างเป็กระต่ายตื่นตูมเสียจริงๆ หลี่เฟิ่งเหมยถามว่าเธอ้าจ้างคนแบบไหน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คาดหวังว่าต้องสะสวยทันสมัย หญิงสาววัยรุ่นแบบนี้อยู่ทำงานในร้านได้ไม่ยาวนานนัก
“ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ พูดจาอ่อนหวานมีความอดทน ไม่หวังว่าพวกเธอจะต้องเพิ่มยอดขายให้ร้านมากมาย แต่อย่างน้อยอย่าหยิ่งยโสเหมือนพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าก็พอ มิเช่นนั้นจะทำให้ลูกค้าขุ่นเคืองแทนเอาได้”
พนักงานขายของห้างสรรพสินค้าทำหน้าที่จำหน่ายสินค้าให้ส่วนรวม เงินเดือนกับผลประกอบการรวมไม่เกี่ยวข้องกันสักเท่าไร เนื่องจากมีรายรับที่มั่นคง ทว่าพนักงานร้านที่หลานเฟิ่งหวงจะจ้างต้องทำรายได้แทนเซี่ยเสี่ยวหลานและหลี่เฟิ่งเหมย ถ้าทำลูกค้าขุ่นเคืองจนหนีหายไปจนหมด คนที่เดือดร้อนคือเถ้าแก่!
เื่จ้างคนทำงานได้ปรึกษาเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว หลิวเฟินจึงนำบัญชีของ่นี้ออกมา
“เสี่ยวหลาน เงินในบัญชีเยอะมากแล้ว จะแบ่งเลยหรือไม่?”
“ฉันขอดูหน่อย”
เซี่ยเสี่ยวหลานรับบัญชีมา เห็นจำนวนเงินคือ 52180 หยวน นี่ก็คือผลประกอบการของหลานเฟิ่งหวงใน่หลังตรุษจีน ไม่ถึงสองเดือน ขายได้ห้าหมื่นกว่า เฉลี่ยหนึ่งวันมีผลประกอบการ 1000 กว่าหยวน ตอนเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิเพิ่งเข้าร้านก็ขายได้เพียงไม่กี่ร้อยหยวนต่อวัน ต่อมาได้จัดกิจกรรมสนับสนุนการขายซื้อครบ 168 หยวนแถมถุงน่อง ผลประกอบการจึงเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นสภาพอากาศอบอุ่น ผู้คนมีความ้าในการจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิแล้วจริงๆ ผลประกอบการยังคงที่อยู่ทีเดียว นอกจากเงินจำหน่ายสินค้าห้าหมื่นกว่าหยวน ร้านยังมีสินค้าอีกส่วนหนึ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำเข้าเป็ครั้งสุดท้ายก่อนไปปักกิ่งด้วย
“แบ่งก็แล้วกัน ในบัญชีเหลือไว้แค่ 22180 หยวน นำออก 3 หมื่นมาปันผลให้พวกเรา”
ร้อยละ 60 ของสามหมื่น เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้ 18000 หยวน เธอทำกำไรด่วนหนึ่งหนที่หยางเฉิง เงินเก็บในบ้านจึงกลายเป็สองหมื่นกว่า ไปปักกิ่งคราวนี้ใช้ไปแล้วบางส่วน ส่งแพะ 6 ตัวให้หน่วยงานโจวเฉิงก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ ซื้อของฝากเล็กน้อยจากปักกิ่งอีก รวมถึงซื้อพวกกระเป๋าให้ครอบครัวที่หยางเฉิง ก่อนหน้านี้ได้เงินปันผลจากไป๋เจินจูมา 3000 หยวน เซี่ยเสี่ยวหลานลองคำนวณทรัพย์สินทั้งหมดคร่าวๆ น่าจะมีประมาณ 4 หมื่นหยวน
โอ๊ะ 4 หมื่นหยวนนั้นยังไม่แน่นอน เดี๋ยวจะต้องให้เงินสำหรับซื้อเครื่องซักผ้าแก่หูหย่งไฉอีกด้วย
เรียกได้ว่าหาเงินมาได้มากจ่ายออกไปไวก็ไม่ผิด ตอนหน้าร้อนปีก่อนที่โดนไล่ออกจากตระกูลเซี่ย ขายไข่เป็ดป่าอยู่ในตัวเมือง กลัวกระทั่งนับเงินเหมาผิดด้วยซ้ำ
หลี่เฟิ่งเหมยจะได้เงิน 12000 หยวน ปันผลก่อนตรุษจีนคราวนั้นบ้านเธอแบ่งไป 8000 หยวน เมื่อครอบครัวเธอได้เงินแล้วก็ปรับปรุงชีวิตการกินอยู่ในชีวิตประจำวันเท่านั้น การซื้อโทรทัศน์สีซงเซี่ยขนาด 19 นิ้วกำลังจะเป็ค่าใช้จ่ายก้อนโตที่สุดที่ครอบครัวเธอใช้ ในปี 84 หากรายรับต่อเดือนของครอบครัวหนึ่งใช้ ‘หมื่น’ เป็หน่วยคำนวณ การรับประทานอาหารฟุ่มเฟือยทุกวันย่อมเป็เพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น
ปลาราคาไม่เกิน 1 หยวนต่อชั่ง เนื้อหมู 1.5 หยวน เนื้อแพะเลาะกระดูก 1.8 หยวน... อาหารฟุ่มเฟือยก็ราคาแค่เท่านี้ พืชผักทั่วไปราคาย่อมเยาเสียจนใช้ ‘เฟิน’ มาคิดราคา ไม่ใช่ว่าราคาสินค้าถูก ราคาสินค้าไม่ถูกเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับรายรับต่อหัว แต่เป็เพราะรายรับของครอบครัวเซี่ยเสี่ยวหลานและหลี่เฟิ่งเหมยสูงมากต่างหาก สูงเกินกว่ารายได้เฉลี่ยของยุคสมัยไปมากเหลือเกิน
หลี่เฟิ่งเหมยหวาดหวั่นสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าจะใช้เงินที่ได้มาอย่างไรดี
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับถอนหายใจด้วยความรู้สึกหลากหลาย โอกาสใน่แรกของการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบนี้ พลาดแล้วก็มิอาจพบโดยง่าย เงินทองนั้นหาได้สบายๆ เช่นนี้ เมื่อพลาดการปฏิรูปเศรษฐกิจไป ถ้าอยากสั่งสมทรัพย์สินส่วนตัวอย่างรวดเร็วอีก นั่นขึ้นอยู่กับว่าโชคชะตาจะเป็ใจหรือไม่เท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความรู้สึกว่าตนคือพ่อค้าวาณิชหน้าเืเลยแม้แต่นิดเดียว
“ป้า ฉันคิดว่าจัดกิจกรรมครั้งที่สองได้แล้วล่ะ เอาโปสเตอร์ใหม่ที่กงหยางวาดก่อนหน้านี้ออกมาเถอะ คราวนี้พวกเราจะแถมกระเป๋าเงินกับเข็มขัดหนัง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้