“ไม่เป็อะไร ไม่เป็อะไร เนี่ยนจิ่วเป็สหายร่วมเรียนกับจิ่นเหยียนจิ่นซู เ้าแค่พาท่านอาของเ้ามาเป็พอ ไม่จำเป็ต้องเกรงอกเกรงใจ”อวี๋หรูไห่เอ่ยพลางเผยสีหน้าเปี่ยมเมตตา
หลังจากส่งมู่เนี่ยนจิ่วพ้นประตูจวนไปแล้วอวี๋จิ่นซูกลับเข้ามาในห้องโถง เอ่ยถามอวี๋หรูไห่ว่า “ท่านปู่เมิ่งอวี๋เจียวรู้วิชาหมอจริงหรือขอรับ? ไม่ใช่ว่านางพูดจาโอ้อวดกระมัง? อีกอย่างนางไปมีวิชาหมอั้แ่เมื่อใด?”
“เมิ่งอวี๋เจียวรู้วิชาหมออยู่บ้างจริงๆ ในเมื่อนางบอกว่ารักษาโรคแผลพุพองได้ก็น่าจะรักษาได้กระมัง”อวี๋หรูไห่หวนคิดครู่หนึ่ง ตลอดหลายวันมานี้ ขอเพียงอวี๋เจียวปริปากบอกว่ารักษาได้คล้ายกับนางจะสามารถเขียนเทียบยาได้ทุกโรค น่าจะไม่ใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด
อวี๋จิ่นซูยังคงสงสัยในวิชาหมอของอวี๋เจียวเอ่ยด้วยความเป็กังวลว่า “ท่านปู่ ท่านก็รู้ว่าสกุลมู่ไม่ใช่สกุลเล็กทั่วไปแต่เป็ญาติพี่น้องสายแยกของสกุลมู่แห่งชิงโจวอาของเขามีสหายเก่าเป็โจรอยู่ฝั่งชิงโจวมู่เนี่ยนจิ่วได้เข้าเรียนในสำนึกศึกษาประจำอำเภอก็เพราะความสัมพันธ์ของอาหากสามารถรักษาโรคแผลพุพองของอาของเขาได้ย่อมเป็เื่น่ายินดีอย่างมากแต่หากรักษาไม่ได้ ไม่เท่ากับปั่นหัวผู้อื่นอย่างนั้นหรือขอรับ? ถึงแม้ยามนั้นสกุลมู่ไม่เอ่ยสิ่งใดแต่ภายในใจจะต้องไม่พอใจแน่นอนขอรับ”
เพราะอวี๋หรูไห่รู้พื้นเพของสกุลมู่ถึงได้คิดจะประจบเอาใจหากสามารถรักษาโรคของท่านอาของมู่เนี่ยนจิ่วจนหายดีได้ภายหน้าความสัมพันธ์ระหว่างสองสกุลจะต้องแน่นแฟ้นขึ้นอีกขั้นรอกระทั่งถึงยามสอบขุนนางฤดูใบไม้ร่วงที่เมืองชิงโจวมาถึงสกุลมู่จะได้ช่วยดูแลอวี๋จิ่นเหยียนสักหน่อย
“ข้าจะไปคุยกับอวี๋เจียวสักหน่อย”อวี๋หรูไห่กลัวจะเกิดความผิดพลาดเช่นกัน ไม่อาจเป็สหาย มิหน้ำยังกลับกลายเป็ศัตรูทันใดนั้นก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้หยัดกายลุกขึ้นไปหาอวี๋เจียวที่เรือนฝั่งตะวันออกทันที
“ท่านแม่ แท้จริงแล้วเกิดเื่อะไรขึ้น? เหตุใดท่านปู่ถึงไม่ไล่อวี๋เจียวออกจากสกุลยังจะเก็บนางเอาไว้ทำไมขอรับ?” อวี๋จิ่นซูเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
ครั้นเอ่ยถึงอวี๋เจียว สตรีแซ่จ้าวพลันเผยสีหน้ารังเกียจ“นังเด็กชั้นต่ำผู้นั้นถูกบิดาของเ้าทุบตีจนเกือบจะสิ้นลมเดิมทีท่านย่าของเ้าบอกให้เอานางไปโยนไว้บนเขาเพื่อให้หมาป่ากินแต่ผู้ใดจะรู้ว่านังเด็กคนนั้นดวงแข็ง หลังจากฟื้นขึ้นมายังบอกว่าเเต่ก่อนเมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลวงตนเคยเรียนวิชาหมอกับผู้อื่นท่านปู่ของเ้าให้ความสำคัญกับวิชาหมอมากที่สุดไม่อาจหักใจไล่คนออกไปถึงได้รั้งเอาไว้เช่นนี้”
“นางรู้วิชาหมอจริงหรือ?” อวี๋จิ่นซูซักไซ้ต่อไป
หากเป็ยามปกติสตรีแซ่จ้าวจะต้องบอกว่าเมิ่งอวี๋เจียวจะไปมีวิชาหมออะไรกันแต่ยามนี้สถานการณ์คับขันนางไม่กล้าพูดจาเหลวไหลจึงเล่าเื่ที่อวี๋เจียวช่วยโจวไหวในหมู่บ้านเดียวกันนอกจากนั้นยังมีโรคลมชักของบุตรชายหมู่บ้านสกุลจางให้เขาฟัง
หลังจากอวี๋จิ่นซูฟังจบ เขาเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า“เมื่อกล่าวเช่นนี้ นางน่าจะรู้วิชาหมอจริง เพียงแต่หวังว่านางจะรักษาท่านอาของเนี่ยนจิ่วได้จริงๆ”
ยามนี้ความรู้สึกภายในใจของสตรีแซ่จ้าวขัดแย้งกันเองทั้งหวังว่าอวี๋เจียวจะรักษาคนให้หาย แต่อีกใจก็ยังกลัวว่าหลังจากนางรักษาหายจะมีหน้ามีตาอย่างไร้ที่สิ้นสุดในสกุลอวี๋จนกำเริบเสิบสาน
นางชำเลืองมองอวี๋จิ่นเหยียน กำชับอย่างไม่วางใจนักว่า“จิ่นเหยียนอา วันพรุ่งนี้เ้าจงหลบนังเด็กชั้นต่ำผู้นั้นสักหน่อยนางจะได้ไม่เข้ามาพัวพันกับเ้าอีก”
อวี๋จิ่นเหยียนพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้วขอกลับไปพักผ่อนในห้องก่อนนะขอรับ”
สตรีแซ่จ้าวมองรูปร่างสง่างามของเขาแล้วยิ่งหวาดหวั่นว่าจิตใจชั่วร้ายของอวี๋เจียวจะยังไม่ยอมสงบลงยังคงคะนึงถึงเ้าสี่ของนาง นางคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องระมัดระวังอย่างมากต้องจดจ้องอวี๋เจียวเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่เค่อเดียวจะปล่อยให้นางไปพัวพันกับจิ่นเหยียนของนางไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากได้สติกลับมา นางนึกถึงเื่การถอนหมั้นของแม่นางสกุลหลิวทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากบอกเื่นี้กับอวี๋จิ่นซูอย่างไร
สตรีแซ่อวี๋โจวล่วงรู้ถึงความคิดของสตรีแซ่จ้าวนางปริปากเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “จิ่นซู เ้ามานี่ ย่ามีเื่จะพูดกับเ้า”
อวี๋จิ่นซูนั่งลงตรงหน้าสตรีแซ่อวี๋โจวจับจูงมือสตรีแซ่อวี๋โจวแล้วเอ่ยวาจาออดอ้อนทั้งรอยยิ้ม “ท่านย่าท่านคิดถึงข้าหรือไม่ขอรับ?”
สตรีแซ่อวี๋โจวหัวเราะ “จิ่นซูเอ๋ย เื่ที่ย่าจะบอกกับเ้าเ้าอย่าได้เพิ่งโมโหไปก่อน”
“ได้ขอรับ ท่านบอกมาเถิด” อวี๋จิ่นซูเป็คนสมองพลิกแพลงเก่งมิหนำซ้ำยังปากหวาน มักเอาใจสตรีแซ่อวี๋โจวอยู่เสมอ
“สกุลหลิวมาขอถอนหมั้นเ้าแล้ว รอกระทั่งผ่านการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงย่าจะให้แม่สื่อแนะนำแม่นางที่ดีให้กับเ้า”สตรีแซ่อวี๋โจวจับมืออวี๋จิ่นซูพลางเอ่ยอย่างรักใคร่เอ็นดู