อวี๋เจียวตามสตรีแซ่จ้าวมายังห้องโถง อวี๋หรูไห่หยัดกายลุกขึ้นแย้มยิ้มพลางเอ่ยไปทางสหายร่วมเรียนของอวี๋จิ่นซูว่า“นี่คือแม่หนูเมิ่งภรรยาของหลานห้าในสกุลเรา รู้วิชาหมออยู่บ้างเช่นกัน”
อวี๋จิ่นซูปรายตามองอวี๋เจียวจากนั้นใช้แขนกระทุ้งอวี๋จิ่นเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยเย้ยหยันว่า“นางไปรู้วิชาหมอั้แ่เมื่อใด? นึกไม่ถึงว่าครอบครัวรองยังจะเก็บนางไว้ในจวนช่างไม่กลัวอับอายขายหน้า!”
อวี๋จิ่นเหยียนก้มหน้าพลางขมวดคิ้วลงเล็กน้อยอย่างไม่อยากมองอวี๋เจียว
สหายร่วมเรียนของอวี๋จิ่นซูนาม มู่เนี่ยนจิ่ว พยักหน้าเล็กน้อยไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อบอกว่าท่านอาของตนป่วยเป็โรคแผลพุพองผู้เฒ่าอวี๋ก็เรียกสตรีนางหนึ่งเข้ามากะทันหัน ต่อให้สตรีนางนี้จะรู้วิชาหมอเเต่นางสามารถรักษาโรคแผลพุพองได้งั้นหรือ?
อวี๋หรูไห่ในยามนี้ช่างแตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เอ่ยกับอวี๋เจียวอย่างอัธยาศัยดีว่า“นี่คือสหายร่วมเรียนของจิ่นซู ท่านอาของเขาเป็โรคแผลพุพอง เ้าลองฟังอาการดูสิว่ามียาอะไรเหมาะสมต่อการรักษา”
ใบหน้าของอวี๋เจียวเ็านางหาม้านั่งเพื่อนั่งลง มองไปทางสหายร่วมเรียนของอวี๋จิ่นซูแล้วเอ่ยถามว่า“บนหัวแผลพุพองของท่านอาเ้ามีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวโพดหรือไม่? เมื่อกดลงไปรู้สึกเ็ปอย่างไรบ้าง? ลิ้นแดงไร้ฝ้า ลิ้นแดงมีฝ้า หรือว่าลิ้นซีดมีฝ้า? หลังจากแผลเปื่อยน้ำเหลืองเป็อย่างไรบ้าง?”
เมื่อผู้เชี่ยวชาญออกโรงย่อมล่วงรู้อาการได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงครั้นอวี๋เจียวเอ่ยถามเช่นนี้ ทำเอาดวงตาของมู่เนี่ยนจิ่วถึงกับเปล่งประกายท่านอาในจวนเชิญท่านหมอมารักษาจำนวนไม่น้อยคน มู่เนี่ยนจิ่วพอจะรู้อาการท่านอาของตนเองอยู่บ้าง
เขาตอบกลับว่า“แผลพุพองที่เกิดบนหลังท่านอาของข้าล้วนแต่มีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวโพด รู้สึกเ็ปอย่างมากหลังจากเปื่อยจะมีน้ำหนองไหลออกมาจำนวนมากท่านอาสะใภ้ใช้มือช่วยบีบหัวหนองให้ท่านอา แต่แผลเปื่อยเ่าั้ไม่ตกสะเก็ดกลับบวมเป่งและเ็ปยิ่งกว่าเดิมท่านอาต้องทนทุกข์เพราะโรคแผลพุพองมาตลอดครึ่งปีไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งมีหนทางช่วยเหลือหรือไม่?”
อวี๋จิ่นซูวางถ้วยน้ำชาในมือลง เอ่ยด้วยความสงสัยเสียงเบาว่า“จิ่นเหยียน นางรู้วิชาหมอจริงหรือ?”
ยามนี้อวี๋จิ่นเหยียนผู้ไม่ยินดีจะมองอวี๋เจียวมาโดยตลอดได้เงยหน้าขึ้นสายตาหยุดลงบนใบหน้าของอวี๋เจียว ทันใดนั้นภายในหัวปรากฏภาพกิริยาท่าทางกำเริบเสิบสานของอวี๋เจียวดวงตาดำขลับพลันฉายแววรังเกียจและเก็บสายตากลับมาทันใด
อวี๋หรูไห่หันไปมองอวี๋เจียวเช่นกันโรคแผลพุพองไม่ใช่โรคที่รักษาได้โดยง่าย จะเกิดขึ้นซ้ำไปมาอีกทั้งยังนำพาโรคภัยอื่นๆท่านหมอในร้านยาในเมืองและตำบลล้วนไม่กล้าบอกว่าตนสามารถรักษาโรคแผลพุพองได้เขาได้รู้มาว่าภายในหมู่บ้านใกล้เคียงมีบุรุษผู้หนึ่งเป็โรคแผลพุพอง เพราะทนทรมานจากโรคแผลพุพองไม่ไหวท้ายที่สุดจึงะโน้ำตาย
หากสามารถรักษาโรคแผลพุพองให้หายครั้งนี้สกุลอวี๋คงจะเลื่องชื่อแล้วจริงๆ
อวี๋เจียวชำเลืองไปทางอวี๋หรูไห่เมื่อเห็นสายตาเปี่ยมความหวังของเขา อวี๋เจียวหัวเราะอย่างแฝงความนัย
ริมฝีปากของอวี๋หรูไห่ขยับเล็กน้อย เอ่ยออกไปว่า “แม่หนูเมิ่งหากเ้ามีหนทางรักษาจริงๆ จงบอกออกมา เื่ที่เหลือพวกเราสามารถหารือกันได้”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอวี๋หรูไห่ อวี๋เจียวเก็บสายตากลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สามารถรักษา เพียงแต่ข้าจะต้องเห็นแผลพุพองบนตัวของคนไข้กับตาถึงสามารถเขียนเทียบยาได้”
มู่เนี่ยนจิ่วตื่นเต้น “รักษาได้จริงหรือ?”
อวี๋เจียวหยัดกายลุกขึ้น เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “หากอยากรักษาวันพรุ่งนี้ให้พาอาของเ้ามาที่นี่”
จากนั้นไม่เปลืองวาจาแม้แต่ประโยคเดียว อวี๋เจียวหันหลังเดินออกไปจากห้องโถงมุ่งหน้าสู่เรือนตะวันออกทันที
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านอามาถึงตอนนั้นยังต้องรบกวนแม่นางเมิ่งรักษาท่านอาของข้าแล้ว!”มู่เนี่ยนจิ่วไม่กล้าสงสัยอีกต่อไป เพราะถึงอย่างไรอาของเขาก็หาหมอมามากไม่ใช่แค่หมอผู้นี้เท่านั้น หากสามารถรักษาหายจริงๆ นับเป็เื่น่ายินดีท่านอาจะต้องจดจำความกตัญญูของเขาแน่นอน
“จิ่นซู จิ่นเหยียน ข้าจะรีบกลับจวนไปบอกข่าวดีกับท่านอาของข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว!” มู่เนี่ยนจิ่วลุกขึ้นค้อมคำนับไปทางอวี๋หรูไห่ “ท่านปู่อวี๋วันพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านอามา จำต้องรบกวนท่านอย่างมาก ลำบากท่านแล้วจริงๆ ขอรับ!”