มีเสียงดังออกมาจากในเรือน
“คนสวย อย่าหนีสิ ไม่ว่าอะไรเราล้วนทำกันมาหมดแล้ว จะหนีไปไย” น้ำเสียงนั้นหวานเลี่ยนจนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนและขยะแขยง
บทสนทนาอันหยาบคายนั้นได้เปิดเผยเื่ราวโสมมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
แม้ว่าด้านนอกเรือนจะเต็มไปด้วยบุตรีอันมีการศึกษาจากตระกูลใหญ่ที่ยังไม่ออกเรือน ทว่าพวกนางก็พอเดาได้หลายส่วนว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของทุกคนล้วนดูไม่ได้ขึ้นมาทันที
“นึกไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋จะสวมหมวกเขียวให้ไท่จื่อ ขวัญกล้าใหญ่โตเกินไปแล้วกระมัง”
“ข้ารู้มานานแล้วว่าชื่อเสียงของนางนั้นไม่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้ากระทำการอุกอาจถึงปานนี้!”
“สตรีที่หลงระเริงพรรค์นี้จะคู่ควรเป็บุตรีของภรรยาเอกได้อย่างไร!”
ไป๋หว่านหนิงมีความสุขมาก ถูกต้องแล้ว นี่คือผลลัพธ์ที่นาง้า!
ไป๋เซี่ยเหอเอ๋ยไป๋เซี่ยเหอ
วันนี้ข้าจะต้องทำให้เ้าได้รู้ว่า จุดจบของคนที่ต่อต้านข้านั้นเป็อย่างไร
“ช่วยด้วย!”
จู่ๆ เสียงแหลมเล็กที่ฟังดูน่าสยดสยองก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนใจนสะดุ้ง
ไป๋หว่านหนิงรีบสั่งสาวใช้ของตนเองทันที “เร็ว เข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ระมัดระวังหน่อย อย่าทำให้ดวงตาอันล้ำค่าของทุกท่านแปดเปื้อนเล่า!”
สาวใช้คนดังกล่าวพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแยกคนสองคนออกจากกัน ใช้ผ้าห่อตัวของทั้งคู่ ก่อนจะโยนลงกับพื้นราวกับเป็เพียงสิ่งของที่ชำรุดแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ภายในห้องมืดมิด เมื่อสาวใช้จัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็ผลักประตูให้เปิดออก ใบหน้าของทั้งสองคนจึงปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคน
“เอ๊ะ นี่ใครกัน? ไม่ใช่คุณหนูใหญ่สกุลไป๋นี่นา”
“ข้าก็ว่าแล้วเชียว เป็บุตรีของภรรยาเอก ทั้งยังเป็ว่าที่ไท่จื่อเฟย จะมาทำเื่ออกนอกลู่นอกทางพรรค์นี้ได้อย่างไร?”
“คนรับใช้ในจวนสกุลไป๋ขวัญกล้าใหญ่โตเสียจริง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเื่พรรค์นี้ในเรือนของเ้านาย”
จู่ๆ ความคิดเห็นของคนเหล่านี้ก็กลับตาลปัตร เมื่อครู่ยังตำหนิติเตียนไป๋เซี่ยเหออยู่เลย ตอนนี้กลับว่าร้ายอี๋เหนียงผู้ดูแลจวนสกุลไป๋เสียนี่!
ไป๋หว่านหนิงจ้องมองคนสองคนที่นอนอยู่บนพื้น นางรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าห้าสายฟาดลงมา สีหน้าของนางหมองคล้ำ หัวใจเต้นโครมคราม เกิดความตื่นตระหนกอย่างไร้สาเหตุ ส่วนฝ่ามือก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้” ไป๋หว่านหนิงพึมพำอย่างเหม่อลอย เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางวางแผนไว้แล้วอย่างแยบยล เหตุใดไป๋เซี่ยเหอถึงยังรอดตัวไปได้เล่า?
“คนเล่า! ตัวนางเล่า!”
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครทราบว่าไป๋หว่านหนิงกำลังพูดเื่อะไร
“น้องรอง เ้ากำลังหาข้าอยู่หรือ!” น้ำเสียงเอ้อระเหยดังแว่วมา
ไป๋หว่านหนิงสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมอง
ไป๋เซี่ยเหอที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวกำลังเอนตัวพิงต้นไม้ราวกับไร้กระดูกอย่างไรอย่างนั้น แววตาของนางแฝงไว้ด้วยความเกียจคร้าน
ทั่วทั้งสรรพางค์กายของไป๋หว่านหนิงเย็นเยียบในชั่วพริบตา แม้แต่ฟันยังกระทบกันดังกึกๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ “เ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
ไป๋เซี่ยเหอเอามือลูบรอยยับบนกระโปรงยาว ก่อนจะเดินตรงมาหาไป๋หว่านหนิงด้วยท่าทีสงบนิ่ง นางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “แล้วน้องรองคิดว่าข้าอยู่ที่ไหนเล่า?”
ถ้อยคำนี้ราวกับกำลังบอกใบ้บางอย่าง
กอปรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องเมื่อครู่ เรียกได้ว่ามันแทบจะทำลายขีดความอดทนของเหล่าคุณหนูทั้งหลาย
มีจวนใครบ้างที่บิดาไม่ได้มีสามภรรยาสี่อนุ? มีจวนใครบ้างที่ไม่ได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในเรือนหลัง? พวกนางแต่ละคนล้วนเคยพบเคยเห็นเื่ทำนองนี้จนชินมาเนิ่นนานแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ ทุกคนก็ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะพากันคาดเดาเหตุการณ์กันอยู่ในใจ
เื่อื้อฉาว นี่ต้องเป็เื่อื้อฉาวของสกุลไป๋เป็แน่ บางทีมันอาจล้มล้างความเข้าใจทั้งหมดที่พวกนางมีต่อสกุลไป๋!
เมื่อไป๋หว่านหนิงตระหนักว่าแผนการของนางพังไม่เป็ท่า นางก็รีบบีบน้ำตาด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่สาวจะต้องไม่เป็อะไร ทำให้ข้าใแทบตายแล้ว ข้าคิดว่า...”
“คิดว่าอะไร?” ไป๋เซี่ยเหอมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คิดว่าคนข้างในคือข้า จึงพาผู้คนมาอย่างเอิกเกริกเพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขาสินะ”
“ไม่ใช่นะ!” เมื่อแผนการล้มเหลว เช่นนั้นก็ไม่อาจก่อไฟเผาร่างอีกเป็อันขาด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร นางต้องปฏิเสธเข้าไว้
ไป๋เซี่ยเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ นางเพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รูปร่างของนางผอมบาง ทว่าท่าทางกลับสงบนิ่ง ชายกระโปรงปลิวไปตามลม ทำให้ผู้คนนึกถึงคำสี่คำขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
นั่นคือ ความงามแห่งยุค
“ขออภัยคุณหนูทุกท่านด้วย นี่เป็เื่ภายในจวนสกุลไป๋ ทุกท่านได้โปรดไว้หน้าหญิงชราสักเล็กน้อย ลืมเื่ราวนี้ไปเสีย แยกย้ายกันไปเถิด”
ไป๋เหล่าฮูหยินรีบรุดมาหลังได้ยินข่าว มองปราดเดียวนางก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางโมโหจนเกือบจะเป็ลมหงายหลังไปเดี๋ยวนั้น
น่าขายหน้ายิ่งนัก!
น่าขายหน้าไปจนถึงวงศ์ตระกูลจริงๆ!
ไป๋เหล่าฮูหยินออกหน้าแล้ว ทุกคนจะมุงดูต่อก็ไม่เหมาะสม คุณหนูทั้งหลายจึงแยกย้ายกันไป เหลือเพียงสองคนที่พบเจอในห้อง พี่น้องสกุลไป๋ ไป๋เหล่าฮูหยิน และลู่เป๋าเหยาที่เร่งฝีเท้าตามมาสมทบ!
ลู่เป๋าเหยามองออกว่าแผนการล้มเหลว ทว่านางก็ยังข่มกลั้นโทสะและแสร้งถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“เ้าตาบอดหรือ? มองไม่ออกหรือไร!” ไป๋เหล่าฮูหยินโมโหจนวิงเวียนศีรษะ สีหน้าของนางดำมืดจนน่าสะพรึงกลัว เมื่อคิดได้ว่าหากเื่ในวันนี้แพร่งพรายออกไป จะต้องกระทบต่อชื่อเสียงของสกุลไป๋เป็แน่ นางก็ปรารถนาที่จะสังหารทุกคนที่ปรากฏตัวในวันนี้ให้สิ้น!
ลู่เป๋าเหยาที่ถูกตำหนิต่อหน้าสาธารณชนพลันสะดุ้ง ราวกับมีน้ำเย็นไหลรินลงมาจากศีรษะ “ลูกสะใภ้ไม่ทราบว่าตนเองทำผิดอะไร ถึงได้ทำให้ท่านแม่โกรธเคืองเช่นนี้เ้าค่ะ”
ไป๋เหล่าฮูหยินยิ้มเย็น เมื่อนางเหลือบมองบุรุษที่อยู่บนพื้น ก็จำได้ในปราดเดียวว่าเป็ใคร จึงหันไปสั่งสาวใช้ด้วยน้ำเสียงเ็า “ไปตักน้ำเย็นมาอ่างหนึ่ง แล้วสาดใส่สองคนนี้ที่นอนอยู่บนพื้นให้ตื่นเต็มตาเสีย!”
“รอเดี๋ยว!” ลู่เป๋าเหยาขวางไว้ทันที แต่เมื่อเห็นสายตาของไป๋เหล่าฮูหยิน นางก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “อากาศหนาวปานนี้ น้ำเย็นน่ะแล้วไปเถิด ทำให้ตื่นก็พอแล้วกระมัง!”
ลูกพี่ลูกน้องของลู่เป๋าเหยามีบุตรเพียงคนเดียว แม้ว่าสติจะไม่สมประกอบ ทว่าถึงอย่างไรก็สามารถสืบสกุลและให้กำเนิดทายาทได้ หากเกิดเื่กับเขาตอนที่อยู่ในจวนสกุลไป๋ละก็
นางก็จะกลายเป็คนบาปของสกุลลู่!
นางรับรองกับลูกพี่ลูกน้องว่าจะให้หลานชายได้ตบแต่งกับบุตรีของภรรยาเอกแห่งจวนแม่ทัพ สกุลลู่ถึงได้ยอมปล่อยตัวเขามาที่นี่ ทว่าตอนนี้...
‘เพียะ!’
ฝ่ามือกระทบกับใบหน้าของลู่เป๋าเหยาอย่างแรงจนทำให้นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
“ท่านย่า ท่านตบอี๋เหนียงทำไมกันเ้าคะ!” ไป๋หว่านหนิงหวาดกลัวจนร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่
ไป๋เหล่าฮูหยินมองหลานสาวที่ตนเองรักและเอ็นดูด้วยความเ็ปที่บีบรัดในใจ “หนิงเอ๋อร์ บอกย่ามาว่าเ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเื่นี้ด้วย!”
“ท่านแม่ ท่านกำลังพูดอะไร? ท่านกำลังสงสัยข้าอยู่หรือเ้าคะ?”
ถึงแม้จะโมโห ทว่าลู่เป๋าเหยาที่เริ่มตั้งสติได้แล้วก็รู้สึกหนาวเหน็บในใจขึ้นมา ไป๋เหล่าฮูหยินเคยประสบกับคลื่นลมมามากมาย พบเห็นกลอุบายเล็กน้อยนี้มานับไม่ถ้วน นอกจากนี้ นางยังไม่คาดคิดมาก่อนว่าแผนการจะล้มเหลว
นางคิดว่าแผนการจะดำเนินไปอย่างราบรื่น จากนั้นนางก็จะให้ไป๋เซี่ยเหอตบแต่งกับหลานชายของตนเอง
นางไม่เคยคาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาย่ำแย่เช่นนี้!
ลู่เป๋าเหยารู้ดีว่าไป๋เหล่าฮูหยินให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของจวนแม่ทัพมากกว่าอะไรทั้งหมด ทว่าบรรดาบุตรีที่มาร่วมงานเลี้ยงกลับเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋เหล่าฮูหยินย่อมไม่มีทางที่จะไม่โกรธเคือง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลู่เป๋าเหยาก็คิดแผนการบางอย่างได้ นางผลักไป๋หว่านหนิงที่อยู่ข้างกายออกไปให้พ้นทาง
“ขออภัยเ้าค่ะท่านแม่ ลูกสะใภ้หน้ามืดตามัวเอง ทั้งหมดนี้ลูกสะใภ้เป็คนทำแต่เพียงผู้เดียว หนิงเอ๋อร์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเ้าค่ะ”
เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องรักษาไว้หนึ่งคน
แน่นอนว่าไป๋หว่านหนิงย่อมตระหนักถึงแผนการของมารดาเช่นเดียวกัน นางจึงแสร้งเช็ดน้ำตาทันที “อี๋เหนียง ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงได้ทำเื่เช่นนี้เ้าคะ!”
ไป๋เหล่าฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น หากบอกว่าไป๋หว่านหนิงไม่รู้เื่เลยแม้แต่น้อยนางย่อมไม่เชื่อ ทว่าในเวลานี้หัวใจของนางยังคงเอนเอียงเข้าข้างไป๋หว่านหนิง
“หนิงเอ๋อร์ เ้าไปยืนอยู่ด้านข้างเสีย!”
ไป๋หว่านหนิงรีบเดินไปยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้าง หัวใจที่เต้นระรัวของนางเริ่มสงบลง
แววตาของไป๋เซี่ยเหอฉายแววเหยียดหยาม นางก้าวออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ไป๋เหล่าฮูหยิน ได้โปรดคืนความยุติธรรมให้เหอเอ๋อร์ด้วยเ้าค่ะ!”
ก็แค่การแสดงเท่านั้น ใครทำไม่ได้บ้างเล่า?
สถานการณ์นี้ถือว่าเลวร้ายอย่างแท้จริง ไป๋เหล่าฮูหยินเหลือบมองลู่เป๋าเหยาก่อนจะกล่าวว่า
“ไหนลองพูดมาสิ”
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้