หลังเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จแล้ว สวี่ตี้ก็บรรยายให้ทุกคนฟังว่าข้าวโพดที่โตขึ้นสูงแล้วจะต้องเลี้ยงดูอย่างไร รอจนกระทั่งเื่ราวทุกอย่างจัดการเสร็จสิ้น ถึงได้พากันกลับไปที่เรือนในเมือง
เก็บเกี่ยวข้าวสาลีในครั้งนี้ นอกจากจางจ้าวฉือที่วันๆ ไม่นอนหลับก็นั่งหลบแดดอยู่ในเรือนจึงไม่ได้ถูกแดดเผาจนดำ คนในเรือนก็ล้วนโดนแดดเผาจนสีผิวดำขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะสวี่เหรา หลังจากจางจ้าวฉือกลับมาแล้วก็ในึกว่าเขาเพิ่งกลับมาจากแอฟริกา
หลังจากที่จางจ้าวฉือพูดความคิดของตนเองกับสวี่เหราและสวี่ตี้ ก็ได้รับการสนับสนุนจากสองพ่อลูก
สวี่ตี้เอ่ยว่า “เหอซีของพวกเราไม่ค่อยจะเคร่งครัดเื่พวกนี้มากนัก พวกเรารับลูกสาวคนเล็กของสกุลหลี่มาคนเดียวจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าว่าก็รับทั้งคนโตคนเล็กมาด้วยเลย ลำบากแม่นมแล้วนะขอรับ”
แม่นมลู่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “อย่างที่ฮูหยินสามว่า จะต้องอบรมเลี้ยงดูให้ดี สามคนข้าก็พอไหว ไม่เป็อะไร แค่ไม่รู้ว่าต่อไปคุณหนูใหญ่ของสกุลหลี่จะแต่งกับผู้ใดน่ะสิ เื่ที่ข้าจะสอนก็ต้องเฉพาะเจาะจง”
สวี่เหราเอ่ย “เหมือนว่าจะเป็ครอบครัวหนึ่งทางด้านก่านโจว ทั้งสองครอบครัวยังแค่คิดๆ กันอยู่ แต่ยังไม่ได้ตกลงกัน”
แม่นมลู่พยักหน้า “คุณหนูใหญ่ของสกุลหลี่ตอนนี้อายุสิบสี่แล้วใช่หรือไม่”
จางจ้าวฉือตอบ “ข้าจำได้ว่าปีเดียวกับตี้เกอ แต่ว่าเกิดช้ากว่าหน่อย”
แม่นมลู่ตอบ “หากพวกนางมาแล้วตี้เกอของพวกเราก็อย่าเอาแต่ไปเรือนหลังนะ จะได้ไม่ทำให้คนเขาเอามาพูดจาไม่ดี”
จางจ้าวฉือพูดอย่างจริงจัง “เื่นี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นให้ตี้เกอไปอยู่ที่เรือนหน้าก็พอ อย่างไรตอนนี้ในเรือนเพาะชำก็ไม่มีอะไรให้ทำ เ้าก็พาเด็กหญิงสามคนไปอยู่ที่เรือนหน้าเถิด”
หลังจากจางจ้าวฉือเอาความคิดของตนเองไปพูดกับฮูหยินหลี่ นางก็ดีใจมากและตอบตกลง ฮูหยินหลี่รู้ว่าตอนนั้นแม่นมลู่คอยติดตามดูแลไทเฮาพระองค์ก่อน ไม่เพียงแต่จะมีความรู้ ที่สำคัญที่สุดความสัมพันธ์ในครอบครัวชนชั้นสูงนั้นยุ่งเหยิง ยังไม่พูดถึงบุตรสาวคนโต ต่อไปบุตรสาวคนเล็กจะต้องแต่งงานไปอยู่ที่จวนโหว หากสามารถเรียนรู้ก่อนล่วงหน้า รู้ถึงกฎเกณฑ์พวกนั้น จะอย่างไรก็เป็เื่ที่ดี
ที่เหอซีไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการห้ามบุรุษสตรีใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ฮูหยินหลี่จึงไม่ได้คิดไปในทางนั้น ใต้เท้าหลี่เองก็เช่นกัน ขอแค่เป็เื่ที่ดีต่อบุตรสาว เหตุใดจะต้องไปคิดให้มันยุ่งยาก?
หลี่เยว่หลินกับหลินเยว่ซีสองคนจึงถูกส่งไปที่เรือนสกุลสวี่ เพื่อการมาถึงของสองพี่น้อง จางจ้าวฉือได้รื้อห้องของสวี่ตี้ออก ให้คุณหนูทั้งสองเข้าไปพัก สวี่ตี้กลับถูกให้ไปอยู่ในเรือนของทางเข้าที่สาม ทางด้านเรือนหลักถึงแม้จะถูกสวี่ตี้ทำเป็เรือนเพาะชำไปแล้ว แต่ว่าก็ยังมีห้องฝั่งตะวันออกอยู่ ห้องทางฝั่งตะวันตกทำเป็ห้องเก็บของ ด้านในมีตั่งมีเครื่องใช้ สามารถให้สวี่ตี้เข้าไปพักในเรือนนี้ได้พอดี
รอจนกระทั่งจัดการเื่ราวได้อย่างดีแล้ว เวลาก็มาถึงเดือนหก ถึงแม้เหอซีจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ยังทำให้คนรู้สึกร้อนอบอ้าวอยู่หลายที่
ท้องของจางจ้าวฉือนูนออกมามากแล้ว อากาศร้อนเมื่อเดินนิดๆ หน่อยๆ เหงื่อก็ออกไปทั้งตัว จางจ้าวฉือไม่อยากจะขยับตัวเลยจริงๆ แต่จะไม่ขยับตัวเลยก็ไม่ดีกับเด็กในท้องของตัวเอง ทุกวันตอนเช้ากับเย็นจางจ้าวฉือก็จะเดินอยู่ในเรือน
เรือนเล็กของสกุลสวี่เงียบสงบดี ถ้าหากไม่ได้อยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน ที่ไม่ว่าเวลาไหนก็ต้องป้องกันการรุกรานจากเป่ยตี้อยู่ตลอด จางจ้าวฉือรู้สึกว่าการมาใช้ชีวิตยามแก่ที่นี่ก็ดีมาก หนึ่งปีแบ่งออกเป็สี่ฤดูอย่างชัดเจน ท้องฟ้าสูงเมฆน้อย มองแล้วทำให้รู้สึกสดใส
ตอนนี้สวี่ตี้เอางานที่ตนเองทำยกไปให้ลูกน้องทำ วันๆ เขาก็จะมานั่งอ่านหนังสืออยู่ในเรือน คนที่หมั้นเอาไว้แล้ว ไม่มีผลงานสักหน่อยไปแต่งงานก็รู้สึกแต่งด้วยความไม่ความมั่นใจ อย่างช้าที่สุดก็ปีหน้าหรือปีถัดไป ถึงตอนนั้นสวี่ตี้ก็จะอายุสิบหกปี จะต้องกลับไปเข้าร่วมการสอบขุนนางในเมืองหลวง สอบให้ติดซิ่วไฉแล้วก็ไปสอบเซียงซื่อ ทุกปีจะมีคนเป็พันเป็หมื่นไปสอบ คนที่จะสอบติดก็มีอยู่น้อยนิด ความจริงแล้วความกดดันในการต่อสู้เยอะมาก สวี่ตี้ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความได้เปรียบอะไร นอกจากตั้งใจอ่านหนังสือ
สวี่เหราไม่ได้กลับมาที่เรือนติดต่อกันหลายวัน สายสืบทางด้านเป่ยตี้ได้ส่งข่าวมา บอกว่าทางด้านเป่ยตี้่นี้รูปการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ตอนนี้เว่ยหลางไม่เพียงจะต้องคอยคุ้มกันด่านเยี่ยนเหมิน แม้แต่ช่องทางทั้งสองข้างของด่านเยี่ยนเหมินก็ต้องคอยดูแล เพราะว่าการลอบเข้ามาในฤดูหนาวปีที่แล้ว ป้อมป้องกันริมแม่น้ำถูกคนเป่ยตี้สังหาร ทหารที่ก่านโจวก็มอบเส้นทางการป้องกันให้กับเว่ยหลางดูแล
ครึ่งปีนี้ รายได้ของคลังการเงินของสำนักงานว่าการเขตเหอซีค่อนข้างจะเปลี่ยนจากปีที่แล้วไปค่อนข้างมาก ในมือมีเงินแล้ว ความกล้าก็มีเพิ่มมากขึ้น เงินพวกนั้นเก็บเอาไว้ในส่วนเล็กๆ ส่วนที่เหลือทั้งหมดถูกสวี่เหราเอามาใช้เพิ่มความมั่นคงให้กับกำแพง ด้านในใส่สิ่งของที่เอาไว้ใช้ปกป้องเมืองเอาไว้เต็มขนัด อย่างลูกธนู ไม้ จนถึงกับทำที่จุดไฟ ความจริงแล้วก็เป็น้ำมัน นี่คือสิ่งที่สวี่เหราได้มาจากที่ไกลมากๆ แห่งหนึ่ง ที่นั่นอยู่ข้างๆ กับเมืองเหอซี ได้ยินคนเฒ่าคนแก่ของเหอซีพูดว่าที่นั่นมีของดำๆ ไหลออกมา สวี่เหราพาสวี่ตี้ไปดูมาแล้ว ที่แท้ก็เป็น้ำมันดิบ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ไหลออกมาเอง นี่มันของดีเชียวนะ สวี่เหราจึงคิดหาวิธีนำมันออกมาให้มากที่สุด ใช้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สุดมาเก็บเอาไว้ในเรือนตรงปากประตูเมือง แล้วเน้นย้ำว่าจะต้องมั่นใจว่าปลอดภัย
สวี่ตี้หลังจากฟังสวี่เหราพูดถึงเื่ของเป่ยตี้ จึงเริ่มสร้างอาวุธลับของตนเองขึ้นมา ก็มีขี้เถ้าแล้วก็ผงพริกที่ป่นให้เป็ผงเล็กๆ ใช้กระดาษมันห่อขึ้นมา หากมีคนมาโจมตีเมือง ก็จะโยนพวกมันไปอีกหลายชิ้น คงจะสามารถป้องกันตัวได้
สวี่เหราเคยคิดว่าจะส่งจางจ้าวฉือแล้วก็เด็กๆ ในเรือนกลับไป ตอนนี้จางจ้าวฉือตั้งครรภ์อยู่ หากคนเป่ยตี้มาโจมตีจริงๆ สกุลสวี่ก็จะมีอันตรายมาก
จางจ้าวฉือไม่เห็นด้วย ความเห็นของนางก็คือ สวี่เหราอยู่ที่ไหนครอบครัวพวกเขาก็จะอยู่ที่นั่น นางเป็ฮูหยินของสวี่เหรา ไม่สามารถพาตัวเองและลูกไปหลบอยู่ในที่ไกลๆ ในตอนที่สวี่เหราคุ้มครองเมืองยามมีอันตรายได้ เช่นนี้จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนในเมืองเหอซี ขอแค่ครอบครัวสวี่ที่เป็ธงใหญ่ตั้งตรงอยู่ที่เหอซีไม่ล้มลง ประชาชนของเหอซีถึงได้ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับงานป้องกันเหอซีของสวี่เหรา
ในเมื่อจางจ้าวฉือไม่ยอมไป เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ต่อ แต่จะอยู่ต่อก็ต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดด้วย
ตอนนี้สวี่ตี้ยังคงจ้างคนมาขุดทางใต้ดิน ใต้ดินของเรือนตัวเองได้ชุดเอาไว้สี่ทางเข้าแปดทางออก แล้วยังคงดำเนินการไปยังเรือนที่อยู่ใกล้ๆ ต่อไป ครอบครัวหลายคนในเมืองเองก็กำลังทำสิ่งนี้เช่นกัน นี่คือสวี่เหราเป็คนริเริ่มความคิด ทั้งยังสามารถพึ่งเส้นทางในอุโมงค์เอาไว้หลบหนีพวกเป่ยตี้ ไม่เคยเห็นชาวจี้จงใช้เส้นทางใต้ดินจัดการกับผู้บุกรุกที่มีปืนอาวุธครบมือหรือ?
ทุกคนต่างเตรียมตัวกับาที่จะมาถึงหรืออาจจะมาไม่ถึง
เรือนของสกุลสวี่ยังคงเงียบสงบ จางจ้าวฉือได้ตรวจร่างกายให้ตัวเอง เด็กในท้องเป็เด็กชาย คงจะร่าเริงพอตัว ปกติแล้วเด็กขยับตัวค่อนข้างแรง โดยเฉพาะก่อนทานข้าว จางจ้าวฉือถึงขั้นสามารถเห็นรูปรอยเท้าเล็กๆ บนท้องตัวเอง
สวี่ตี้มองท้องของมารดาตัวเองเดี๋ยวขยับซ้าย เดี๋ยวขยับขวาด้วยความใ ขยับไปขยับมาเหมือนกับในท้องใส่น้ำเอาไว้มากอย่างไรอย่างนั้น
สวี่ตี้ถาม “ท่านแม่ ดูแล้วน่ากลัวมากเลยนะขอรับ ตอนที่ท่านท้องข้าก็เป็เช่นนี้หรือ?”
จางจ้าวฉือตอบ “เ้าไม่ได้เป็เช่นนี้ เ้าอยู่ในท้องเป็เด็กดี ตอนที่ข้าท้องเ้ายังสามารถยืนอยู่หน้าแท่นผ่าตัดได้ ข้าเหนื่อยแล้วเ้าเองก็จะเชื่อฟังลดปัญหาให้ข้าได้เยอะ”
สวี่ตี้เอ่ย “เช่นนั้นเ้านี่เป็อย่างไร ท่านดู ขยับไปขยับมาไม่มีเวลาไหนว่างเลย”
จางจ้าวฉือตอบ “เด็กคนอื่นๆ ก็มีเหตุผลของตัวเอง น้องชายของเ้าคนนี้เป็เด็กที่ร่าเริง ต่อไปในอนาคตเ้าจะต้องดูแลเขาดีๆ สิถึงจะถูก”
สวี่ตี้ถอนหายใจ “เหตุใดถึงเป็น้องชายล่ะ หากเป็น้องสาวก็คงจะดีมากเลย เด็กผู้ชายที่ไหนจะเลี้ยงได้ดีเหมือนเด็กผู้หญิงกัน เจอเด็กดื้อ น่าโมโหจะตายไป”
จางจ้าวฉือตอบ “เด็กทุกคนต่างเป็นางฟ้า เ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้นะ เด็กผู้ชายซนหน่อยถึงจะดี มา เ้ามาลูบเขาสิ ต่อไปอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องพูดจาดีๆ เ้าอย่าคิดว่าเขาฟังไม่รู้เื่นะ เขาฟังรู้เื่”
สวี่ตี้ฟังแล้วก็กลั้วหัวเราะ “ท่านแม่ ดูท่านพูดสิ ตอนนี้เขายังอยู่ในท้องของท่านนะ จะมาฟังรู้เื่ได้อย่างไร?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีการสอนั้แ่อยู่ในท้องหรือ เ้าฟังคำข้าก็พอ ต่อไปมาถึงแล้วก็เล่าเื่ อ่านกลอนให้เขาฟัง ไม่ก็พูดว่าวันนี้เ้าทำอะไรมาบ้าง หากเขาฟังคำพูดของเ้ามากเข้า รอเขาออกมาแล้วก็จะจำเ้าได้”
สวี่ตี้เอ่ย “เื่พวกนี้ควรจะให้ท่านพ่อมาทำสิขอรับ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เพราะงานของพ่อเ้าเยอะไม่ใช่หรือ เ้าดูสิว่าเขาไม่ได้กลับมานานเท่าไหร่แล้ว พวกเราก็เข้าใจเขาหน่อย เื่ในเรือนไม่เอาไปรบกวนเขาได้ก็ไม่ต้องไป มา หนังสือเล่มนี้ให้เ้า เ้าก็อ่านหนังสือเล่มนี้ให้ข้าฟังเสียหน่อยเถิด”
สวี่ตี้มอง นั่นเป็คัมภีร์หลุนอวี่ [1] ที่ตนกำลังอ่านอยู่ คัมภีร์เล่มนั้นสวี่เหราเคยอ่านมาก่อน ้าเขียนอธิบายเอาไว้เยอะมาก มีบางอันก็เป็สวี่เหราเขียน บางอันก็เป็สวี่ตี้เขียนเอาไว้เอง
สวี่ตี้พลิกหน้าคัมภีร์ไปก็พูดไป “ของพวกนี้ข้าที่เป็คนอ่านก็ยังอ่านไม่คล่องปาก จะให้อ่านให้น้องชายในท้องของท่านฟังน่ะหรือ? ท่านแม่ เช่นนั้นพวกเรามาเขียนนิทานเด็กออกมาเถิด ทำออกมาเล่มเล็กๆ เขียนเองก็ได้ คิดไปถึงนิทานพวกนั้นในอดีตก็ได้ ต่อไปหากข้ามีลูกแล้วก็ยังเอามาใช้ได้”
จางจ้าวฉือตอบ “ก็ดีนะ แต่ว่าข้าจำนิทานตอนเ้ายังเด็กพวกนั้นไม่ได้แล้ว”
สวี่ตี้เอ่ย “ตอนข้าเด็กๆ ท่านอ่านให้ข้าฟังไม่เยอะนี่ ข้าจำได้ว่าข้าใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของปู่ ปู่บอกกับข้าว่าตอนข้าอายุสองสามขวบก็ถูกเขาพาไปที่กรมทหาร ข้าจำได้ว่าครอบครัวพวกเรายังมีรูปภาพตอนเด็กที่ข้าอยู่ในกรมทหารด้วย”
จางจ้าวฉือเอ่ย “ความจริงแล้วข้ากับพ่อเ้าเองก็รู้สึกผิดกับเ้า ั้แ่เด็กก็ไม่ค่อยได้ดูแลเ้า เ้าเองก็ยังเต็มที่ขนาดนี้ ตลอดมาก็เป็ต้นแบบของลูกบ้านอื่น พวกเราถูกเพื่อนร่วมงานอิจฉามาตลอดเพราะเ้าทั้งนั้น”
สวี่ตี้เอ่ย “ข้ารู้สึกว่าข้าตอบแทนบุญคุณท่านกับท่านพ่อ ไม่เช่นนั้นจะสามารถทำให้พวกท่านเลี้ยงข้าจนโตได้อย่างราบรื่นขนาดนี้หรือ ไม่รู้ว่าในท้องของท่านจะมาแก้แค้นหรือมาตอบแทนบุญคุณกันแน่”
จางจ้าวฉือตบท้องของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “ไม่ว่าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือว่ามาแก้แค้น ก็ล้วนมาที่ครอบครัวเราแล้ว ต่อไปเขาก็จะเป็ที่รักของครอบครัวเรา”
ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง สวี่ตี้ยังคงยุ่งอยู่กับการเก็บพืชพันธุ์ในไร่ ทุกปีพริกในสวนจะสุกสองฤดู สวี่ตี้รีบจัดการกับพริกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ห่อไปให้คนที่พี่สาวของเว่ยหลางส่งมา พออากาศหนาวร้านหม้อไฟก็จะเริ่มขายดีมากขึ้น
พี่สาวของเว่ยหลางไม่ได้ขายอาหารอื่นๆ ในร้านหม้อไฟ แต่เริ่มเปิดร้านอาหารหนึ่งที่ สิ่งที่ขายหลักๆ คืออาหารต่างๆ ที่ใช้พริกทำออกมา พ่อครัวก็ยังเป็พ่อครัวที่เกิดในจวนสกุลเว่ย เพราะว่าชอบทำอาหารจึงถูกสกุลเว่ยส่งให้ไปเรียนทำอาหารต่างๆ ต่อมาเรียนได้แล้วก็กลับไปที่เรือนสกุลเว่ย แล้วทำงานเป็พ่อครัวมาตลอด คุณหนูใหญ่ของสกุลเว่ย้าพ่อครัวที่ทำอาหารเป็ไปคิดค้นอาหารใหม่ๆ จึงคิดถึงพ่อครัวคนนี้แล้วจ้างเขามา
คนที่เกิดในครอบครัวเช่นนี้ ความซื่อสัตย์นั้นไม่ต้องพูดถึง บวกกับฝีมือที่ดีจริงๆ หลังจากคิดค้นอาหารมากมายมาครึ่งปีกว่า ก็ได้ประสบความสำเร็จในวงการอาหารอย่างมาก พี่สาวสกุลเว่ยจึงเปิดร้านอาหารที่ชื่อว่า “หมู่บ้านพริก” ในที่ที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง ได้ยินว่าเพิ่งจะเปิดกิจการลูกค้าก็แห่กันมามากมาย
ตอนนี้สิ่งที่สวี่ตี้จะทำก็คือเก็บเกี่ยวพริก จากนั้นก็เอาเมล็ดพริกไปจัดการ หรือเอาไปทำพริกแห้งแล้วส่งออกไป หรือทำเป็น้ำพริกเนื้อวัวส่งออกไป ถึงแม้จะขาดเมล็ดพริกไป และกลิ่นหอมของพริกจะขาดไปสักหน่อย แต่ว่าตอนนี้ก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ ถ้าหากคนได้เมล็ดพริกไป พริกทางด้านตนจะมีหรือไม่มีก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ฤดูใบไม้ร่วงเป็ฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว พืชพันธุ์ต่างๆ เติบโตได้ดีมาก หัวหน้าหมู่บ้านสกุลจางพูดกับสวี่ตี้ ั้แ่ไร่นี้ถูกครอบครัวสวี่ตี้ซื้อมา หลายปีนี้์ก็ได้มอบรางวัลให้ทุกคนได้มีข้าวกิน ฟ้าฝนถึงได้เป็ใจมาโดยตลอด
ในหมู่บ้านปลูกข้าวโพดเป็ครั้งแรก หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดกับสวี่ตี้ เขาก็เริ่มสอนทุกคนว่าจะกินข้าวโพดอย่างไร
บดข้าวโพดตุ๋นเป็โจ๊ก เอาไปผสมกับแป้งแล้วเอามานึ่งเป็หมั่นโถว ก่อนหน้านี้ก็ใช้แป้งข้าวโพดที่หมักแล้วเอามาทำขนมแผ่นแป้ง สวี่ตี้ยังสอนทำแป้งทอด แป้งทอดนั้นไม่เพียงแป้งข้าวโพด ยังเติมแป้งสาลี แป้งถั่ว แป้งมันแกว แป้งที่ทอดออกมารับประทานแล้วอร่อยมาก ทั้งยังแก้หิวได้ดี ที่สำคัญที่สุดคือสามารถประหยัดธัญพืช ทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน
เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ในไร่จนหมดแล้ว ก็ปลูกผักในเรือนเพาะชำบนูเาให้เรียบร้อย หลังจากผักในเรือนเพาะชำโตขึ้นมาแล้ว ก็จะส่งไปที่ร้านอาหารโรงเตี๊ยมที่ก่านโจว ทุกปีสามารถหาเงินมาได้ไม่น้อย ยามฤดูหนาวมาเยือนผู้ใดบ้างไม่อยากกินผักสดใหม่และกินของที่หายาก
พี่สาวคนโตของเว่ยหลางมีไร่เล็กๆ สิบกว่าไร่ด้านนอกเมือง เพื่อผักในร้านหม้อไฟ ปีที่แล้วสวี่ตี้จึงได้ส่งคนไปช่วยสร้างเรือนเพาะชำเอาไว้หลายหลัง ตอนหน้าวหนาวก็ปลูกผักกาดในนั้น ผัดกาดเขียวที่ปลูกออกมาก็จะส่งไปที่ร้านหม้อไฟ ผักกาดเขียวหนึ่งจานราคาแพงกว่าเนื้อวัวเนื้อแกะที่หั่นบางๆ เสียอีก เพราะว่าเื่นี้ ทุกปีพี่สาวของเว่ยหลางถึงหาเงินมาได้จำนวนไม่น้อย ในใจของนางรู้สึกซึ้งใจกับการช่วยเหลือของสวี่ตี้ที่มีต่อนาง พอได้ยินว่าสวี่ตี้อยากจะซื้อบ้านสวนบ่อน้ำร้อนใกล้ๆ กับนอกเมืองหลวงให้กับมารดาของตนเอง นางจึงไปสอบถามและจ่ายเงินไปห้าพันตำลึงเพื่อซื้อเรือนหลังเล็กมีสามทางเข้า ทั้งยังมีสวนเล็กๆ สิบกว่าไร่ใกล้ๆ กับบ้านสวนของตน สัญญาที่ดินก็ให้แม่นมของสกุลเว่ยที่มาส่งพริกให้ในครั้งนี้เอาไปส่งให้
หลังจากจัดการเื่ราวในไร่เสร็จ สวี่ตี้ก็รีบกลับเรือนในเมือง แม่นมของพี่สาวเว่ยหลางลากของตรงจากไร่กลับไปที่เมืองหลวง สัญญาที่ดินฉบับนั้นสวี่ตี้ยังไม่ทันได้ส่งกลับไป เขารับปากมารดาเอาไว้แล้วว่าจะซื้อที่ดินบ้านสวนบ่อน้ำร้อนให้นาง ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ความหวังของตนเองสำเร็จเป็ที่เรียบร้อย มีใครบ้างจะไม่ดีใจ?
เชิงอรรถ
[1] คัมภีร์หลุนอวี่ (论语 Lúnyǔ) เป็คัมภีร์พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาปรัชญาสำนักขงจื๊อ ซึ่งภายในคัมภีร์หลุนอวี่นั้น ได้บรรจุคำสอนของขงจื๊อ โดยเหล่าลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับขงจื๊อเป็ผู้รวบรวมและบันทึกคำสอน หลังจากที่ขงจื๊อถึงแก่อนิจกรรม