หลังจากที่หมั้นกับสกุลหลี่แล้ว ทั้งสองครอบครัวก็ถือว่าเป็การพบปะญาติอย่างเป็ทางการ
สวี่ตี้ได้ของอะไรดีๆ มา เดิมทีจะให้แค่น้องสาวของตนเอง แต่ตอนนี้ก็รู้จักแบ่งออกมาให้ว่าที่ภรรยาตัวน้อยของตนเองแล้ว ส่วนว่าที่ภรรยาตัวน้อยของสวี่ตี้ก็มักจะทำรองเท้า ทำชุดให้กับสวี่ตี้ พูดกันตามเหตุผลแล้วทั้งสองคนยังไม่สามารถเจอกันได้ แต่ว่าครอบครัวสวี่ไม่ใช่ครอบครัวปกติ สกุลหลี่ก็ไม่ใช่คนที่ทำตามขนบประเพณีอย่างเคร่งครัด ทั้งสองคนมักจะหาเวลาเอาของมาให้กัน หรือพูดคุยเื่ที่น่าสนใจ
สวี่ตี้กำชับหลี่เยว่ซีว่าจะต้องเรียนหนังสืออยู่หลายรอบ ซึ่งเดิมทีหลี่เยว่ซีก็เรียนตัวอักษรกับบิดาตนเองอยู่แล้ว ไม่ถึงกับเป็คนที่ไม่รู้เื่อะไรเลย หลังจากที่สวี่ตี้บอกให้ตนเองเรียนหนังสือ หลี่เยว่ซีก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จึงไปถามมารดาของตนเอง ฮูหยินหลี่ก็เป็คนที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ รู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว อีกทั้งยังมาเรียนรู้ตอนที่แต่งงานกับใต้เท้าหลี่แล้ว ฮูหยินหลี่รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงรู้จักตัวหนังสือนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว แต่ลูกเขยในอนาคตบอกให้ลูกสาวของตนเองเรียนหนังสือ ฮูหยินหลี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม สตรีก็ไม่จำเป็ต้องสอบขุนนาง เรียนมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์
หลี่เยว่ซีรู้ว่าสวี่ตี้ให้ตนเองเรียนหนังสือจะต้องมีเหตุผลของเขา ถามท่านแม่แล้วไม่เข้าใจ นางจึงไปถามท่านพ่อของตนเอง
พอเห็นใต้เท้าหลี่เลิกงานแล้ว หลี่เยว่ซีก็ยกถ้วยน้ำแกงไปที่ห้องของบิดา
รอจนกระทั่งใต้เท้าหลี่ฟังข้อสงสัยของหลี่เยว่ซีจบ เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “เรียนหนังสือทำให้คนฉลาด ทั้งยังสามารถทำให้เปิดโลกได้กว้างขึ้น ซีเอ๋อร์ ในเมื่อสวี่ตี้ให้เ้าเรียนหนังสือมากๆ เช่นนั้นต่อไปเ้าก็เรียนหนังสือให้มากหน่อย ตอนนี้เขายังยุ่งอยู่กับการปลูกผัก เ้าก็อ่านเองไปก่อน ตรงไหนไม่เข้าใจ เ้าก็รอมาถามข้าตอนเลิกงาน สกุลสวี่ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่เชื่อคำพูดของสตรีที่ไม่มีความสามารถไม่ฉลาดมาพูดจาเลอะเทอะ เ้าจงตั้งใจเรียน ให้หัวสมองของเ้ามีสิ่งที่มีประโยชน์อยู่ในนั้น”
หลังจากตอนนั้นหลี่เยว่ซีนอกจากช่วยท่านแม่ดูแลเรือน ทำงานเย็บปัก เวลาที่เหลือก็เริ่มอ่านหนังสือ ยิ่งอ่านหนังสือหลี่เยว่ซีก็ยิ่งคิดว่าตนเองนั้นรู้น้อยเกินไป ยิ่งอยากจะอ่านหนังสือมากขึ้นไปอีกเพื่อเติมเต็มตัวเอง
ภรรยาตัวน้อยของสวี่ตี้ก็เริ่มที่จะเติมความสามารถให้กับสมองของตัวเอง ทางด้านของจางจ้าวฉือเองตอนนี้นางก็ตั้งครรภ์แล้วจริงๆ
หลังจากจางจ้าวฉือหยุดกินยาคุมกำเนิดไปสองเดือน ก็เริ่มเบื่ออาหาร ตัวนางก็เป็หมอ เพราะว่าเวลายังน้อย จึงยังคลำไม่เจอ เบื่ออาหารมาหลายวันถึงได้คลำเส้นชีพจรจนเจอ
คำนวณวันแล้วก็คงจะคลอดลูกเดือนหนึ่งปีหน้า แล้วก็เพราะว่าเด็กอายุยังไม่ถึงสามเดือน จางจ้าวฉือจึงพูดแค่กับคนในครอบครัว ไม่ได้บอกกับคนนอก
สวี่จือรู้ว่าท่านแม่ของตนเองกำลังจะมีน้องอีกคนก็ดีใจมาก ลากแม่นมลู่มาถาม “แม่นม ท่านว่าครั้งนี้ท่านแม่จะมีน้องชายให้ข้าได้หรือไม่ หรือว่าเป็น้องสาว ตอนนี้ข้าจะต้องเริ่มทำชุดเด็กให้กับน้องชายน้องสาวใช่หรือไม่เ้าคะ”
แม่นมลู่ยิ้มแล้วเอ่ย “เื่นี้หรือ ยังต้องรอผ่านไปสักพักถึงจะรู้ จิ่วเอ๋อร์อยากจะได้น้องสาวหรือว่าอยากได้น้องชายหรือ?”
สวี่จือพูดอย่างวุ่นวายใจ “ข้าคิดว่าดีทั้งหมดเลยเ้าค่ะ แม่นม ข้าอยากได้ทั้งสองเลยเ้าค่ะ”
แม่นมได้ยินก็หัวเราะลั่น ก่อนจะเอ่ย “จิ่วเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่เื่ง่ายๆ นะ ฝาแฝดชายหญิงนั้นเป็เื่ที่หายากมากๆ เมืองหลวงของพวกเราที่คลอดลูกเป็ฝาแฝดก็มี แต่เป็แฝดชายหญิงนั้น ในครอบครัวชนชั้นสูงเ่าั้ก็ยังไม่มีเลยจริงๆ”
สวี่จือว่า “ที่พวกเขาไม่มีก็เพราะว่าพวกเขาทำไม่ได้ แต่ท่านแม่ของข้าทำได้ จะต้องคลอดออกมาได้แน่เ้าค่ะ”
แม่นมลู่เองก็ไม่รู้ว่าสวี่จือไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้คิดว่าท่านแม่ของตนเองจะสามารถคลอดน้องชายกับน้องสาวออกมาได้ หรือมีทั้งสอง แม้แต่จางจ้าวฉือที่ฟังก็ยังรู้สึกว่ายาก ตนเองอายุมากแล้ว จะตั้งท้องสักคนก็ยังยาก หากท้องเดียวได้สองคน แม้แต่ระดับการรักษาในยุคปัจจุบันก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ ตอนที่คลอดก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าตัวเองจะปลอดภัยแน่นอน
ใกล้จะถึง่เก็บเกี่ยวข้าวสาลีอีกครั้ง จางจ้าวฉือที่ตั้งท้องได้สามเดือนกว่าดูแล้วไม่ค่อยสดชื่นสักเท่าไหร่ สวี่ตี้จึงตัดสินใจพาจางจ้าวฉือกับสวี่จือมาที่ไร่ จางจ้าวฉือคิดถึงผักสดๆ ในไร่พวกนั้น ทั้งในไร่อากาศยังเย็นกว่าที่เรือน จึงตัดสินใจตามสวี่ตี้ไป
หลายวันก่อนลูกสะใภ้สกุลหลี่ได้คลอดลูกออกมาแล้ว เป็เด็กชาย ตอนนี้ฮูหยินหลี่จึงช่วยลูกสะใภ้ของตนเองอยู่ไฟ ดูแลหลาน ทุกวันจึงยุ่งมาก ตอนที่สวี่ตี้เอาของไปให้ที่บ้านสกุลหลี่คราวที่แล้ว ก็เห็นเท้าของฮูหยินหลี่เดินไม่ติดดิน แต่ใบหน้ากลับดูสดใสมาก
จางจ้าวฉือนอนอยู่บนตั่งอย่างอ่อนเพลีย มองชิงเหมี่ยวกับชิงซุยเก็บของให้นาง ก่อนที่สวี่ตี้จะมาถึงแล้วบอกว่า “ท่านแม่ นอนที่นั่นตอนกลางคืนจะหนาวเล็กน้อย ท่านเอาผ้าห่มที่หนาสักหน่อยไปด้วยนะขอรับ”
ตอนนี้ในเรือนตอนกลางคืนห่มผ้าห่มผืนบางกันอยู่ ชิงเหมี่ยวได้ยินก็รีบเปิดหีบหาผ้าห่มที่หนาหน่อยออกมา จางจ้าวฉือโบกมือ “ตอนนี้ตอนกลางคืนข้ามักจะรู้สึกร้อนอยู่ตลอด เช่นนั้นก็เอาผ้าห่มที่บางๆ ไปสักผืนเถิด”
สวี่ตี้ช่วยเอาผ้าห่มยัดลงไปในห่อผ้า “อย่างไรก็ไม่ใช่ท่านที่เป็คนขนเอง เอาไปเผื่อก็ได้ขอรับ หากห่มแล้วรู้สึกว่าร้อนก็ใช้ผืนบาง แต่พวกเราก็ไม่มีทางไม่ห่มไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว เื่ที่ท่านตั้งครรภ์ได้เขียนจดหมายบอกที่จวนใหญ่หรือไม่ขอรับ?”
จางจ้าวฉือตอบ “ไม่ได้เขียน เช่นนั้นตอนที่เ้าจะเขียนจดหมายหาฮูหยินผู้เฒ่าเ้าก็บอกสักหน่อยเถิด”
สวี่ตี้เอ่ย “ให้ท่านพ่อเขียนจดหมายไปบอกกับโหวเย่แล้วกันนะขอรับ เช่นนี้จะค่อนข้างเป็ทางการกว่า ดูว่าที่จวนจะส่งของมาให้พวกเราหรือไม่”
สกุลจางรู้เื่ที่จางจ้าวฉือตั้งครรภ์แล้ว ผ่านไปอีกสักหน่อยจางจ้าวจื่อก็จะมากับขบวนพ่อค้า
จางจ้าวฉือเอ่ย “ข้ายังรู้สึกว่าข้าท้องตอนอายุเท่านี้ยังรู้สึกเขินหน่อยๆ อย่าทำให้มันเอิกเกริกจนคนอื่นเขาเอาไปพูดหัวเราะเยาะเอา”
สวี่ตี้หัวเราะแล้วเอ่ย “ท่านดูท่านสิ กังวลมากเกินไปแล้ว ท่านอายุเท่านี้สามารถมีลูกได้อีกนะขอรับ นั่นก็เพราะว่าร่างกายของท่านกับท่านพ่อดีทั้งคู่ ใครไม่อยากจะมีร่างกายที่ดีบ้าง พูดออกไปก็ทำได้แค่ให้คนอื่นอิจฉาริษยา ผู้ใดจะหัวเราะเยาะท่าน ใครอิจฉาคนนั้นก็โหดร้ายเกิดไปแล้ว”
ชิงเหมี่ยวหัวเราะแล้วเอ่ย “คุณชายใหญ่ของพวกเรานี่ปลอบคนเป็จริงๆ นะเ้าคะ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เ้าไม่ได้ถามแม่นางสองคนของสกุลหลี่หรือว่าอยากจะไปไร่กับพวกเราด้วยหรือไม่?”
สวี่ตี้เอ่ยตอบ “ท่านป้าสกุลหลี่จะต้องอยู่ช่วยดูแลลูกสะใภ้ของพวกเขา นางไม่ไปพวกเราจะพาน้องสาวสองคนไปด้วยก็ไม่ดี ครั้งนี้ช่างมันเถิด รอจนถึง่เกี่ยวข้าวฤดูใบไม้ร่วงค่อยไปถามอีกครั้งนะขอรับ”
จางจ้าวฉือเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ปีก่อนสวี่จือตามไปเกี่ยวข้าวสาลีด้วย ครั้งนี้เพราะว่าท่านแม่ตั้งครรภ์จึงจำเป็ต้องดูแลนาง สวี่จือคอยดูแลมารดาของตนเองจึงไม่ได้ไปที่ไร่ แต่ว่าก็ยังช่วยต้มน้ำทำอาหารอยู่ในเรือน
ปีก่อนหมู่บ้านสกุลจางก็ร่วมปลูกข้าวสาลีด้วย ปีนี้ได้ผลผลิตดี ข้าวสาลีในดินเติบโตได้ดี จะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแล้ว ทุกคนจึงเอาเคียวและของต่างๆ ที่จำเป็ต้องใช้เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย หวังว่าวันมะรืนที่ลงมือเก็บเกี่ยวฟ้าฝนจะเป็ใจ ภาวนาขอให้ฝนอย่าตกลงมาทำให้เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
ก่อนเก็บเกี่ยว ในหมู่บ้านก็มีกิจกรรมบวงสรวง หัวหน้าหมู่บ้านพาคนในหมู่บ้านมาตั้งโต๊ะบวงสรวงในหอบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ตั้งสัตว์เดรัจฉานสามอย่าง อธิษฐานให้์บันดาลให้ฟ้าฝนเป็ใจ หลังจากกิจกรรมบวงสรวงจบลง หัวหน้าหมู่บ้านก็ออกคำสั่งให้บุรุษทั้งหลายเปลือยท่อนบนถือเคียวเริ่มต้นเกี่ยวข้าวสาลี
เก็บเกี่ยวฤดูร้อนจะต้องรีบเก็บเกี่ยว ในเวลานี้มักจะมีฝนตกหรือฟ้าหม่นอยู่บ่อยครั้ง อากาศไม่ดีจะส่งผลต่อการตากข้าวสาลี จึงอาศัยใน่ที่แดดดีรีบเก็บเกี่ยวข้าวสาลีมาตาก จากนั้นก็เก็บเอาไว้ในยุ้ง
ครั้งนี้สวี่ตี้จ้างคนมาจากด้านนอกเพื่อมาเกี่ยวข้าวสาลี เงินให้เพียงพอ อาหารหนึ่งวันสามมื้อก็ทำได้ครบครัน ทั้งยังมีหัวหน้าผู้ดูแลสวนสกุลจ้าวกับพวกลุงๆ ทั้งห้าในไร่คอยดูแล เพิ่งจะผ่านไปสามวัน ข้าวสาลีร้อยกว่าไร่ก็ต่างถูกเก็บเกี่ยวมาตากเอาไว้ตรงลานหน้าประตูไร่
ชาวเกษตรน้อยมากที่จะมีเดือนที่ว่าง พอเดือนห้าคนก็ยิ่งยุ่งมากกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ในไร่ที่ยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี สวี่เหราเองก็พาคนในสำนักงานว่าการเขตไปตรวจสอบการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในไร่ ทั้งเขตเมืองเหอซีทุกที่ต่างอยู่ในสถานการณ์เก็บเกี่ยวข้าวสาลีกันอย่างครึกครื้น
ถึงแม้จางจ้าวฉือจะไม่มีอาการแพ้ท้อง แต่ก็รู้สึกว่าทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่กระดูกก็อ่อนไปหมด นอนอยู่ในเรือนก็กึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินสวี่จือกับแม่นมลู่และป้าเหอในเรือนกำลังพิจารณาว่าอาหารกลางวันทำอาหารอะไรดี
ป้าเหอยังคงตามมาทำอาหารให้ที่ไร่ แม้แต่ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยเองก็ถูกจัดให้ไปส่งน้ำถั่วเขียวที่ไร่ สามคนต่างปรึกษากันไม่ได้ว่าจะทำอะไรกินกันดี ขณะที่ชิงเหมี่ยวชิงซุยถือกระบอกหลายใบเข้ามา
ทั้งสองคนสองวันนี้ถูกแดดเผามาไม่น้อย แต่ว่าก็ยังยอมออกไปด้านนอก แม่นมลู่ให้พวกนางใส่หมวก ซึ่งทั้งสองคนยังบอกว่าใส่หมวกไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่นี่ มองสตรีน้อยใหญ่ในหมู่บ้านพวกนั้น ทุกคนต่างถือเคียวไปเกี่ยวข้าวสาลีในที่นา หากตัวเองใส่หมวกนั้นไปที่ไร่ ไม่ถูกคนหัวเราะเยาะตายหรือ
ชิงเหมี่ยววางกระบอกลงแล้วพูดกับแม่นมลู่ “แม่นม เมื่อครู่ตอนนี้พวกเรากลับมา เห็นมีคนกำลังขายเต้าหู้อยู่ในหมู่บ้าน พวกเราไม่ได้กินเต้าหู้กันมานานมากแล้ว เช่นนั้นพวกเราซื้อเต้าหู้กลับมาทำกินกันดีหรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่ได้ยินแล้วก็ตอบ “เอาสิ ข้าจะไปซื้อ”
ชิงเหมี่ยวหัวเราะแล้วเอ่ย “แม่นม ท่านจะซื้อจำเป็ต้องไปด้วยตัวเองหรือ? ท่านรอที่นี่ ข้าจะไปเรียกคนมาให้เ้าค่ะ”
คนที่ขายเต้าหู้เป็บุรุษอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี ตนเองแนะนำว่าอยู่ในหมู่บ้านข้างๆ ในครอบครัวไม่ว่ากี่รุ่นก็ต่างทำเต้าหู้ ได้ยินมาว่าที่นี่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี จึงทำเต้าหู้มาขายที่นี่
แม่นมลู่ซื้อมาหนึ่งแผ่น ทั้งยังบอกให้คนขายเต้าหู้เอามาส่งที่นี่ตอนเช้าทุกวันจนกว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จ ตอนเอาเต้าหู้มาส่งก็ให้เอาน้ำเต้าหู้มาด้วยหนึ่งหม้อ เอาแบบข้นๆ ได้ยิ่งดี
แน่นอนว่าคนขายเต้าหู้นั้นขอบคุณอย่างสุดซึ้งก่อนจะเดินทางไป จางจ้าวฉือได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก จึงเดินออกมาจากด้านในห้อง ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วยกมือพยุงตัวจับขอบประตูเอาไว้ สวี่จือเห็นก็รีบเข้ามาพยุง “ท่านแม่ เหตุใดไม่นอนให้มากกว่านี้อีกหน่อยเ้าคะ นี่ยังไม่ถึงเวลาทานข้าวเลย”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนั้นข้าเองก็จะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากนอนกับกินน่ะสิ ข้าได้ยินพวกเ้าอยู่ด้านนอกครึกครื้นกันมากจึงออกมาดู นี่ซื้อเต้าหู้กันมาหรือ? พวกเราสามารถทำเต้าหู้ให้บางๆ จากนั้นก็เอามาตุ๋นกินกับผักได้”
แม่นมลู่เอ่ย “ยังสามารถทำเป็ลูกชิ้นเต้าหู้ได้ด้วย นั่นก็อร่อย ข้าให้เขาเอาเต้าหู้และน้ำเต้าหู้มาส่งให้หนึ่งหม้อในตอนเช้า พวกเราตอนเช้าสามารถทอดปาท่องโก๋ กินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ในตอนเช้า แม้น้ำมันจะเยอะไปเสียหน่อย ก็ยังมีน้ำให้ดื่ม กินแล้วทำงานจะได้มีเรี่ยวแรง”
พวกคนงานที่สวี่ตี้หามาก็พักอาศัยอยู่ในเรือนด้านหน้าไร่ อาหารสามมื้อต่อหนึ่งวันสกุลสวี่จะต้องเอากับข้าวไปให้ จากนั้นก็ต้องให้ค่าแรงทุกวัน
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็หัวเราะแล้วเอ่ย “ได้สิ ข้าก็ไม่ได้กินปาท่องโก๋มานานมากแล้วเช่นกันเ้าค่ะ”
ในเมื่อซื้อเต้าหู้มาแล้ว เช่นนั้นอาหารกลางวันก็เอาเต้าหู้มาทำ ผักปวยเล้งที่ปลูกในสวนผักก็ดึงมาใช้เสียหน่อย หลังจากเอาไปล้างน้ำแล้วก็หั่นเป็ท่อน เต้าหู้หั่นเป็แผ่นก่อนจะเอาไปทอดในน้ำมัน จากนั้นก็ตั้งไฟรอให้มันร้อน หลังจากผัดผักปวยเล้งเสร็จก็ใส่เต้าหู้แล้วเริ่มตุ๋น
คนที่ต้องกินข้าวมีจำนวนเยอะขึ้น จึงทำอาหารออกมาหม้อใหญ่ ทั้งยังนึ่งซาลาเปามังสวิรัติไส้เต้าหู้กับกุยช่าย ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยเอาเต้าหู้ตุ๋นปวยเล้งตักใส่หม้อขนาดใหญ่ ก่อนจะใช้ตะกร้าใบใหญ่มาใส่ข้าวห่อให้เรียบร้อย แล้วใช้รถเข็นเล็กหนึ่งล้อบรรทุกไปส่งให้ที่ไร่
ข้าวมื้อนี้ทุกคนต่างพอใจ สวี่ตี้รีบกินก่อนที่คนอื่นจะกิน ซาลาเปาไส้มังสวิรัติกินกันไม่พอ จึงบอกกับชิงเหมี่ยวชิงซุยว่าหลังจากกลับไปแล้วก็ให้เหลือเอาไว้ให้ตัวเองสองสามชิ้น เก็บเอาไว้ตอนกลางคืนค่อยกิน
ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยหัวเราะเหอะๆ รับคำ เห็นทุกคนต่างกินกันเสร็จแล้ว ก็เก็บถ้วยชามตะเกียบเรียบร้อยจากนั้นก็เข็นกลับบ้านสวน
กินอาหารกลางวันเสร็จแล้วก็พักผ่อนกันสักครู่ ก่อนจะคิดว่าตอนเย็นจะกินอะไร
จางจ้าวฉือรำคาญที่สุดก็คือการทำอาหาร เห็นแม่นมลู่กับป้าเหอกำลังปรึกษากันก็เอ่ย “แม่นม ทำอาหารยังต้องคิดอะไรมากมายด้วยหรือ?”
แม่นมลู่ตอบ “แน่นอนสิ ทุกคนต่างมาช่วยพวกเราทำงาน พวกเขาจะต้องกินอิ่มกินให้ดี พอกินดี กินอิ่ม มันก็เป็ปลาตัวใหญ่มีเนื้อเยอะไม่ใช่หรือ จะอะไรก็ต้องคิดถึงต้นทุนไม่ใช่หรือ? พวกเราจะต้องคำนวณให้ทุกคนสามารถกินได้ดี แล้วก็ไม่เสียเงินเยอะ เ้าดูสิ ตอนกลางวันพวกเราทำผักปวยเล้งตุ๋นเต้าหู้ ปวยเล้งก็มาจากในสวนผัก เต้าหู้ก็ซื้อมาจากด้านนอก แต่ว่าพรุ่งนี้จะยังทำอาหารชนิดนี้ได้อีกหรือ? แน่นอนว่าไม่”
แม่นมลู่ยุ่งกับงานในมือไป ปากก็บ่นจางจ้าวฉือไป ซึ่งนางก็ชอบที่จะฟังแม่นมลู่พูดเื่พวกนี้กับตนเอง นางรู้ว่าตนเองไม่ใช่คนที่จะมาเป็นายหญิงคุมเรือน ฟังไปแล้วในใจก็พลันคิดมาได้ จูงมือแม่นมลู่มาแล้วเอ่ย “แม่นม ท่านดูสิข้าก็อายุเท่านี้แล้ว จะไปเรียนวิธีการเป็นายหญิงคุมเรือนนั้นก็ไม่เหมาะสม ต่อไปพวกเราก็ให้ภรรยาของสวี่ตี้มาดูแล ตอนนี้แม่นางหลี่ยังเด็กอยู่ เช่นนั้นข้าขอให้ท่านช่วยชี้แนะนางเสียหน่อย ท่านเห็นว่าอย่างไรเ้าคะ?”
แม่นมลู่มองมือที่จูงตัวเองอย่างยากที่จะพูด มองจางจ้าวฉือที่มีสีหน้าจริงจังพลางถอนหายใจ “ฮูหยินสาม เ้าผลักภาระเช่นนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ?”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วตอบ “มีอะไรไม่ดีกันเ้าคะ ปณิธานของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ความสามารถในตัวก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถูกเื่เช่นนี้ทำให้เสียเปล่าไป รอพวกเรากลับไปในเมืองแล้ว ข้าจะปรึกษากับคุณชายสามกับสวี่ตี้ หากได้ก็ให้สกุลหลี่ส่งลูกสาวมาไว้ที่เรือนของพวกเรา ท่านสอนจือเอ๋อร์คนหนึ่งแล้ว เพิ่มหลี่เยว่ซีอีกคนก็คงไม่เป็ไรกระมัง ท่านว่าใช่หรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่ถอนหายใจ “ฮูหยินของข้า ั้แ่ข้าติดตามพวกเ้ามาที่เหอซี ข้าก็ใช้การถอนหายใจอีกครึ่งชีวิตไปจนหมดแล้ว เ้าพูดสิ ไอ๊หยา ปกติเ้าเรียนมานิดๆ หน่อยๆ ก็ใช้ได้แล้ว เื่ที่ต้องดูแลในครอบครัวเทียบกับวิชาแพทย์แล้วง่ายกว่ากันเยอะมากเลย”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ก็เพราะว่าข้าไม่สนใจจริงๆ ไม่ใช่หรือ ตอนนี้คนของพวกเราน้อย รอต่อไปคนเยอะแล้วหรือกลับไปที่เมืองหลวง ในเรือนก็ต้องมีคนหนึ่งที่สามารถรับมือได้ ข้าเห็นภรรยาของสวี่ตี้เก่งพอตัว ได้เรียนกับท่านเรียบร้อยแล้ว ต่อไปแต่งงานมาใครจะกล้าดูถูกกันล่ะเ้าคะ”