ในความจริงตอนเช้าทุกคนต่างพากันเข้าไปดูและมาประมูลหินก้อนใหญ่กันในตอนบ่าย
ตอนอาหารกลางวันก็ทานกันในบ้านสวนแห่งนั้นทุกคนต่างพากันนั่งเต็มโต๊ะ มองดูแล้วราวกับงานเลี้ยงงานหนึ่ง ดูคึกคักทุกคนพากันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เดิมทีชาวไทก็เป็คนมีน้ำใจมากอยู่แล้วชายหม่าผู้นั้นเองก็ดีมากเช่นกัน และยิ่งอย่าได้พูดถึงนักธุรกิจขายหยกที่ต้องติดต่อกับคนอยู่ทุกวันดังนั้นทุกคนจึงพากันสนุกไปกับการทานอาหาร
ชนกลุ่มคนไทไม่กินข้าวที่ทิ้งไว้ข้ามคืนข้าวสวยและข้าวเหนียวที่เป็อาหารหลักจะใช้วิธีการหุงสดๆเมื่อทำเสร็จแล้วก็จะใช้มือในการกินเพราะคิดว่าการทำแบบนี้จะไม่ทำให้สูญเสียััรสชาติของอาหาร
ผู้คนที่นี่ต่างเติบโตมากับธรรมชาติหลินลั่วหรานไม่ได้คิดว่า การกินอาหารแบบนี้ดูไม่ดีแต่อย่างใดแต่กลับมีความรู้สึกที่แปลกไป และรู้สึกมีความสุขไปกับมัน
ยิ่งเมื่อใช้ข้าวเหนียวจิ้มลงไปกับน้ำจิ้มมันปูก็ยิ่งได้รับรสชาติของกลุ่มชนชาติไทมากขึ้น
นอกจากไก่ย่าง และพวกปลาผัดแล้วกับข้าวแทบทุกอย่าง รวมไปถึงของกินเล่นต่างก็มีรสชาติเปรี้ยวเป็หลักอย่างเช่นหน่อไม้ดอง ถั่วดอง เนื้อหรือแม้แต่ผลไม้รสชาติเปรี้ยวที่เติบโตมาตามธรรมชาติทั้งหมดนี้หลินลั่วหรานต่างรับมันได้ แม้แต่เหล้าของชาวไท เพราะเป็เหล้าที่หมักเองดังนั้นอัตราแอลกอฮอล์จึงไม่ได้สูงมาก รสชาติก็ติดหวานหลินลั่วหรานจึงดื่มเข้าไปกว่าสองถ้วยใหญ่
สิ่งเดียวที่เธอไม่อาจจะทนรับได้ก็คือถาดที่เต็มไปด้วย “ของกินเล่นพื้นบ้าน” อย่างจักจั่น หนอนไม้ไผ่ แมลงดา แมงมุมหรือไข่มดแดง ที่ทำเอาหลินลั่วหรานรู้สึกกลัวขึ้นมา แม้ว่าจะเป็ผู้ฝึกศาสตร์แต่เธอก็ยังเป็ผู้หญิงคนหนึ่ง ความกลัวที่ติดตัวมาทั้งแต่เกิดนั้นยากที่จะลบล้างได้ แล้วจะให้เธอกินพวกมันเข้าไปได้อย่างไร?
หลินลั่วหรานจึงอ้างว่าดื่มเข้าไปเยอะแล้วอยากจะออกไปรับลมเสียหน่อย ชาวไทเองเมื่อเห็นใบหน้าสวยงามและพวงแก้มที่ขึ้นเป็สีแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แถมตอนดื่มยังใช้ถ้วยใบใหญ่เพื่อให้เกียรติพวกเขา จึงยอมให้เธอออกไปจากงานก่อน
หลินลั่วหรานชอบที่ในที่แห่งนี้ไม่มีที่ไหนที่ไร้ต้นกล้วย ใบใหญ่ที่แตกออกมานั้น ทำให้คนรู้สึกสบายใจขึ้นจึงยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นกล้วย ผ่านไปสักพักหนึ่งแก้มของเธอก็เห่อร้อนขึ้นมาก่อนที่จะรู้สึกเหมือนว่าเหล้าที่เพิ่งดื่มเข้าไปนั้นจะขึ้นมาถึงใบหน้าแล้วในระหว่างที่กำลังคิดจะจัดการใช้พลังในร่างกำจัดความเมาให้หายไปนั้นเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ลั่วหราน ่นี้ยังดีอยู่ใช่ไหม? ฉันรู้สึกว่าเธอผอมลงนะ...”
หลินลั่วหรานรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาบนหัวของเธอเขียนขึ้นมาเป็คำว่า “น่ารังเกียจ” เมื่อหมุนตัวกลับไปก็เห็นว่าเป็หลี่อันผิงที่คิดว่าตัวเองหล่อเหลาเกินกว่าใครนั่นเอง เขายืนพิงอยู่ที่ต้นกล้วยต้นหนึ่งราวกับนักกวีหนุ่มที่อยู่ในห้วงแห่งความรัก
สิ่งนี้มัน...เมื่อก่อนก็หลอกกันด้วยท่าทางแบบนี้เหรอ? ทำไมตอนนี้มองดูแล้วถึงได้รู้สึกรังเกียจขนาดนี้นะ? หลินลั่วหรานรู้สึกสงสัยในสายตาของตัวเองขึ้นมา แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้หลี่อันผิงยิ่งคิดว่าตัวเองดูดีขึ้น
“ลั่วหรานเธอก็รู้สถานการณ์ของบ้านฉันนี่นา...ความจริงฉันก็แค่เล่นๆ กับไอลี่เฉยๆ เองตอนนั้นฉันคิดว่ามันจะเป็โอกาสในการเลื่อนขั้นแล้วพวกเราก็จะได้แต่งงานกันเร็วขึ้น ถึงได้ทำตัวดีๆ กับไอลี่มากหน่อยแต่ใครจะรู้ว่าเธอจะเข้าใจว่าฉันกำลังสนใจเธออยู่จนฉันปฏิเสธไม่ได้...เพราะถ้าปฏิเสธไปก็อาจจะกระทบกับงาน ฉันถึงได้ทำลงไปแบบนั้นลั่วหราน ความจริงคนที่ฉันรักมาตลอดก็มีแค่เธอนะ!”
การแสดงความรักครั้งยิ่งใหญ่ของหลี่อันผิงทำเอาคนฟังรู้สึกขนลุกขึ้นมา หลินลั่วหรานรู้สึกสงสัยเป็อย่างมากว่าเขากลายเป็คนสมองพิการไปแล้วหรืออย่างไรทำไมถึงได้พูดคำพูดน่ารังเกียจแบบนั้นออกมาได้?
“แล้วคิดว่าจะทำยังไงล่ะ?” เมื่อเห็นว่าซ้ายขวาไม่ได้มีใคร หลินลั่วหรานก็เกิดความคิดร้ายๆขึ้นมาในหัว เธอกำลังคิดว่าควรจะทำให้หลี่อันผิงได้เจออะไรลำบากๆ บ้างดีไหมต่อจากนี้ไปจะได้ไม่มาทำตัวน่ารังเกียจกับเธออีก
หึ...หลี่อันผิงเค้นหัวเราะออกมาหากเป็หลินลั่วหรานคนก่อน เวลาแบบนี้ก็คงรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาแล้วแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ดูสงบนิ่งอย่างนี้นะ?
เมื่อถึงตอนที่หลินลั่วหรานยืนเคียงข้างกันกับหลิ่วเจิงหลี่อันผิงก็ได้แต่ด่าขึ้นมาในใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ลั่วหรานฉันคิดเอาไว้แบบนี้นะ ถ้าหลังจากนี้เราจะแต่งงานกัน ก็ต้องมีเงินเก็บใช่ไหมล่ะ? ถ้ามีแค่เงินเดือนของเธอกับฉันเพียงอย่างเดียวมันก็คงไม่พอแล้วเงินหกล้านของเธอ ในสถานที่อย่างเมือง R แบบนั้นก็คงไม่ได้ใช้อะไร...ถ้าเราเอามาลงทุนร่วมกันแล้วก็จะได้สุขสบายไปทั้งชีวิตแบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ?”
แม้ว่าหลินลั่วหรานในตอนนี้จะต่างจากวันวานจนเทียบกันไม่ได้แล้วแต่ก็ยังคงถูกคำพูดของหลี่อันผิงทำเอาอ้าปากค้าง!
มันจะต้องมีความคิดแบบไหนถึงจะได้กล้ามาช่วยคิดวางแผนเงินหกล้านที่เธอได้มา หลังจากที่เพิ่งจะนอกใจเธอไปได้? ถึงแม้ว่าคนสมองพิการจะสามารถคิดอะไรได้อย่างไรขอบเขตแต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคนสมองพิการคนนี้ คือคนที่เมื่อก่อนตัวเองเคยยอมทำทุกอย่างให้ความโมโหเ่าั้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็ความอาย
“ตั้งใจว่าจะใช้เงินนี่ทำอะไรเหรอ?”
แววตาของหลี่อันผิงเป็ประกายขึ้นมาที่แท้ในใจของหลินลั่วหรานก็ยังคงมีเขาอยู่ เขารู้สึกลังเลขึ้นมาหากหลินลั่วหรานมีความสามารถที่สามารถชี้หินให้กลายเป็หยกจริงจะจับเธอไว้ในมือของตัวเอง หรือจะไปตกลงกับไอลี่ไว้ดี?
เมื่อคิดไปคิดมาแล้วเขาก็เสียเวลาไปมากแล้วกับไอลี่ หากจะให้เขามาละทิ้งไปตอนนี้ เขาก็คงจะทำไม่ได้และอีกอย่าง เมื่อมองดูท่าทีของหลินลั่วหรานในตอนนี้ ถ้ามีปัญหาอะไรกับไอลี่ขึ้นมาเขาก็ยังมีทางให้เดินกลับนี่!
คิดมาถึงตรงนี้ หลี่อันผิงก็รวบรวมสมาธิและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“คือแบบนี้นะลั่วหราน่นี้เธอดวงดีมากเลย แต่ไม่ว่าจะดวงดีแค่ไหนก็ไม่มีทุนมากพอที่จะไปซื้อหินแร่ก้อนใหญ่นั่นใช่ไหมล่ะ?”
หลินลั่วหรานหรี่ตาลง ก่อนจะพยักหน้า “แน่นอนว่าไม่พอหรอก” ในใจของเธอได้แต่คิดว่าต่อให้มีเงิน เธอก็คงไม่เอาเงินที่มีไปซื้อหินแร่ก้อนนั้นหรอก
หลี่อันผิงได้รับกำลังใจขึ้นมาเขาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ลั่วหราน เธอคิดว่าหินแร่ก้อนนั้นจะมีหยกไหม? น่าพนันหรือเปล่า?”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ถ้าหลินลั่วหรานยังไม่รู้จุดประสงค์ของหลี่อันผิงเธอก็คงจะต้องไปซื้อเต้าหู้มาโขกหัวให้ตาย
คิดได้ดังนั้น เธอก็แสดงท่าทีโมโหออกไป “หลี่อันผิงจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดจะพูดหลอกฉันอย่างนั้นเหรอ? อยากจะได้ข่าวไปบอกไอลี่ล่ะสิฝันไปเถอะ! หินแร่ก้อนนั้น ต่อให้เธอ้าแค่ไหนก็อย่าคิดจะแย่งมันไปจากหลิ่วชื่อเลย!”
ดวงตาของหลี่อันผิงประกายขึ้น “ลั่วหราน อย่าเข้าใจผิดสิที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อให้พวกเราสบายนะ...หินแร่ก้อนนั้น น่าสนใจจริงๆ ใช่ไหม?”
น้ำตาของหลินลั่วหรานไหลพรากลงมา “ออกไปเลยนะฉันไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว!”
เมื่อได้รับข่าวมาแล้วแม้ว่าในใจจะรู้สึกหลงใหลในความงดงามของเธอ แต่ด้วยประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาก็บอกให้เขารู้ว่า ความสวยงามนั้น เทียบค่าอะไรกับเม็ดเงินไม่ได้เลย
หลี่อันผิงแสดงท่าทีทำเป็ต้องยอมเดินห่างออกมาอย่างช่วยไม่ได้หลินลั่วหรานยังคงอยู่ที่เดิม สายตาของเธอเ็าจนราวกับจะมีน้ำแข็งไหลลงมา
ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากกอกล้วยลึกเมื่อฟังดูก็รู้ว่าเป็เสียงหัวเราะของผู้ชาย
ในใจของหลินลั่วหรานได้แต่คิดว่าโชคดีที่เขาทนอยู่ได้ แต่ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยความสงสัย “ใครอยู่ตรงนั้น?”
“ทีกับฉันล่ะทำตัวแข็งกระด้างเชียวนะ ที่แต่ต่อหน้าคนอื่น เธอก็เป็แบบนี้นี่เอง!” น้ำเสียงกวนประสาท ประกอบกับร่างสูงที่ต้องก้มหัวเพื่อที่จะเดินออกมาถ้าไม่ใช่คุณชายมู่แล้ว จะเป็ใครได้อีก?
ท่าทางเต็มไปด้วยน้ำตาของหลินลั่วหรานหายไปแล้วเธอเลิกคิ้วขึ้นถาม “ทำไมคนอย่างคุณถึงได้มาแอบฟังคนอื่นคุยกันแบบนี้ล่ะคะ? น่าขายหน้าเกินไปหรือเปล่าคะ”
มู่เทียนหนานยกรอยยิ้มขึ้น “ฉันมาเดินย่อยอาหารใครจะไปอยากฟังการโต้เถียงที่ฟังน่าขนลุกแบบนั้นของเธอกัน...แต่ว่านิสัยแบบนี้ของเธอมองไม่ออกเลยนะเนี่ย!” เมื่อพูดจบเขาก็ขยิบตาส่งมาให้ท่าทางของเขาชวนให้หลินลั่วหรานรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
หลินลั่วหรานเค้นเสียง “ดูแลเื่ของตัวเองให้ดีเถอะ!” ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกมา
หากไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้เื่พลังของตัวเองหลุดออกไปก็คงรู้ว่ามีคนซ่อนอยู่ด้านใน แถมยังให้เขานั่งดูอะไรอยู่อีก!
มู่เทียนหนานลูบจมูกของตัวเอง ก่อนจะบ่นออกมา “เป็หญิงสาวที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเสียจริงแถมยังไม่น่ารักอีก” แม้ว่าจะบอกว่าหลินลั่วหรานเล่ห์เหลี่ยมมากแต่เมื่อนึกถึงอาการเสียใจลึกๆ ของเธอแล้วก็คงไม่ใช่ว่าเป็การแสดงไปเสียทั้งหมดหรอกมั้ง?
มู่เทียนหนานวางท่าราวกับสาวน้อยน่ารักน่าสงสารนิสัยที่ไม่ชอบเห็นหญิงสาวเสียใจของเขาในตอนนี้เขาได้จัดการตัดความเสียใจของเหล่าผู้หญิงทิ้งไปโดยอัตโนมัติ เมื่อนึกถึง“โครงเื่” น่าตลกของหลินลั่วหรานขึ้นมา ก็ได้แต่ลูบจมูกไปมา
“เขียนสัจธรรมอะไรสักอย่างติดเอาไว้บนหน้าแต่ก็อยากจะไปสร้างปัญหาให้คนอื่น ช่างเถอะ ฉันถือว่าตัวเองเป็คนดีในทุกๆวันก็แล้วกัน”