แม่ชีไท่เฉินเหลือบมองเหอตังกุย ท่าทางของนังหนูนี่ดูจะสนิทกับคนเหล่านี้พอสมควร ลองสืบความจากปากของนางสักหน่อยน่าจะดี เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของแม่ชีไท่เฉินก็ปรากฏรอยยิ้มผูกมิตรขึ้น น้ำเสียงใหญ่ ๆ ของนางกลับกลายเป็น้ำเสียงอ่อนโยน “เมื่อก่อนตอนคุณหนูเหออยู่ที่จวนใช้ยากระไรรักษาโรคหรือ? ข้าจะได้กลับไปเตรียมยาแล้วส่งไปให้”
เมื่อเหอตังกุยได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มพลางตอบว่า “ไม่รบกวนท่านอาจารย์ไท่เฉินหรอกเ้าค่ะ ภายในพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ยาของข้าก็จะมาถึงแล้ว”
แม้แม่ชีไท่เฉินจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของนางนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจู้จี้อะไรอีก เหอตังกุยปฏิเสธก็ดีแล้ว เพราะถ้อยคำเมื่อครู่เป็เพียงการถามตามมารยาทเท่านั้น หากเหอตังกุย้ายานั่นนี่ขึ้นมา นางก็คงจะให้ได้เพียงลมปาก ไม่สามารถนำยาจริง ๆ มาให้แก่เหอตังกุยได้ แม่ชีไท่เฉินถามลองเชิงขึ้นอีกครั้ง “พวกเขาสองคนเร่งรีบเดินเช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะไปทำอันใดกัน?”
เหอตังกุยแสร้งทำท่าทางครุ่นคิดพลางพูดติด ๆ ขัด ๆ “ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด...ราวกับพวกเขาพูดว่า ‘ลาดตระเวนตรวจตราบนูเา’ ทำนองนั้นเ้าค่ะ บางทีข้าอาจจะได้ยินมาผิดก็ได้... ที่เมืองหลวงขาดยาดีบางอย่าง พวกเขาจึงมาหายาสมุนไพรที่นี่” นางพูดจบก็รีบยกมือขึ้นปิดปากฉับในทันที ก่อนจะมองไปยังแม่ชีไท่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้า...ข้าเพียงแต่รำพึงรำพันกับตัวเองเท่านั้น ท่านอาจารย์ไท่เฉินคิดเสียว่าไม่เคยได้ยินก็แล้วกันนะเ้าคะ!”
แม้แม่ชีไท่เฉินจะพยายามปกปิดความตื่นเต้นไว้สักเท่าใด ทว่าใบหน้าของนางยังคงแสดงความประหม่าให้เห็นอยู่ นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น...ที่แขกเรียกให้เ้าไปพบเมื่อวานนี้ พวกเขาได้พูดถึงอาชีพของตนเองหรือไม่ว่าแต่ละคนนั้นทำกระไรกัน?”
เหอตังกุยส่ายหน้าปฏิเสธ “แขกบางท่านเพียงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเื่มหัศจรรย์ของข้า ถามคำถามเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเ้าค่ะ พวกเขาไม่ได้พูดถึงตนเองเลยแม้แต่คำเดียว ตอนนั้นท่านอาจารย์ไท่ซั่นก็อยู่ด้วย แต่ว่า...”
“แต่ว่ากระไร?” แม่ชีไท่เฉินถามขึ้นด้วยอาการกระวนกระวาย
เหอตังกุยก้มหน้าลงพลางขมวดคิ้วคิดหนัก ดวงตาคู่งามกะพริบปริบ ๆ พลางพูดอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ข้าได้ยินขาด ๆ หาย ๆ เพียงไม่กี่คำ ไม่กล้าพูดซี้ซั้วหรอกเ้าค่ะ แต่ว่า...ตอนที่ข้ากับท่านอาจารย์ไท่ซั่นเดินออกมาจากห้อง ข้าได้ยินคำว่า ‘ยากำหนัด’ เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจึงไม่กล้ารับยาที่คุณชายต้วนมอบให้”
ดวงตาทั้งสองของแม่ชีไท่เฉินทอประกายวาววับด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเดินวนไปวนมาก่อนจะกล่าวขึ้น “คุณหนูเหอนั่งพักต่อเถอะ ข้ามีเื่สำคัญที่เรือนหลังวัด คงต้องขอตัวก่อน วันหลังข้าจะเตรียมยาไปให้”
เหอตังกุยมองไปที่นางเป็ครั้งสุดท้ายแล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านอาจารย์ไท่เฉินรักษาตัวด้วย”
นางมองดูแผ่นหลังของแม่ชีไท่เฉินจนหายลับไปพลางกระตุกยิ้มมุมปาก การที่ฉลาดเกินไปจึงเสียรู้คงเป็เช่นแม่ชีไท่เฉินเช่นนี้สินะ
เหอตังกุยมองไปยังรูปปั้นคณะเทพซันซิงอย่างรอบคอบอยู่แวบหนึ่งพลางผุดรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อครู่ แม่ชีไท่เฉินอาจจะตื่นเต้นเกินไปจนลืมหยิบอาหาร ทว่านับั้แ่วันนี้ นางคงไม่มีเวลาว่างมาหยิบอาหารห่อนี้อีกแล้ว เพื่อไม่ให้เสียของ...หยิบไปฝากเจินจิ้งเสียหน่อยดีกว่า
…...
อากาศปลอดโปร่งโล่งสบายในฤดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์ยามบ่ายค่อย ๆ ร้อนผะผ่าว
“เจินเหวย มานี่ซิ!” แม่ชีไท่เฉินกวักมือเรียกเจินเหวยจากในเรือน ทันใดนั้นก็มีแม่ชีน้อยรูปร่างสูงผอม อายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหานางพลางถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้แม่นางเหลยมาถึงแล้ว พวกเราได้ฝากนางซื้อเหล้ากับเนื้อหรือไม่เ้าคะ?”
แม่ชีไท่เฉินโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด “พอเถอะ เื่บ้าบอเช่นนี้อย่าได้มาถามข้า มีกระไรก็เอาแต่ถามข้า ไม่เห็นหรือว่าลูกศิษย์แม่ชีไท่ซั่นทำงานคล่องแคล่วเพียงใด หัดเอาเป็เยี่ยงอย่างเสียบ้าง!”
เจินเหวยทำท่าทีฟึดฟัดแต่ก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา แม่ชีไท่เฉินหยิบเงินหนึ่งก้อนเล็กออกมาจากอก ก่อนจะลองชั่งน้ำหนักในมือดู นางใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบเงินออกมาเพิ่มอีกหนึ่งอีแปะ แล้วจ้องไปยังเจินเหวย “ข้ามีเื่จะให้เ้าทำ หากเ้าทำได้เสร็จสิ้น ข้าจะยอมรับว่าเ้าแกร่งกว่าเจินจู จากนี้หากมีเื่อันใดก็จะให้เ้าเป็คนจัดการ” เจินเหวยมองเงินในมือของแม่ชีไท่เฉินด้วยความตื่นเต้นพลางพยักหน้าอย่างแรง “ท่านอาจารย์สั่งมาได้เลยเ้าค่ะ ศิษย์อยากแสดงความสามารถของตัวเองตั้งนานแล้ว”
แม่ชีไท่เฉินเงยหน้ากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใครจึงกระซิบว่า “ฟังให้ดี... ไปหาแม่ชีที่ตัดฟืนอยู่ในวัด แบ่งเงินจำนวนนี้ให้พวกนางแล้วถามพวกนางว่า ไม่กี่วันมานี้เห็นแขกที่พักห้องปีกตะวันตกในูเาบ้างหรือไม่ หากแม่ชีเห็นแขกเหล่านี้ในูเาตลอด เ้าจงไปที่ห้องครัวและมอบเงินนี้ให้แก่พ่อครัวที่จ้างมาใหม่คนนั้น ให้เขาทำอาหารจัดเลี้ยงแขก เอาให้ดีกว่าที่แม่ชีไท่ซั่นเคยให้ทำ ฟังเข้าใจหรือไม่?”
เจินเหวยพยักหน้าอย่างลังเล เห็น ๆ อยู่ว่านางจำไม่ได้แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม แม่ชีไท่เฉินโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ด่านางอยู่หลายคำก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง นางให้เจินเหวยทบทวนให้ฟังอีกหนึ่งรอบถึงจะพยักหน้าให้นางไปจัดการได้
พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจกลับได้มาโดยง่าย แม่ชีไท่เฉินยืนอยู่ในเรือนเพียงลำพัง ในใจยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้นพลางหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของกำแพงที่เฉียงออกไปนั้น ในอ้อมแขนของเหอตังกุยซ่อนห่อกระดาษน้ำมันเอาไว้พลางแย้มยิ้ม นางเดินมุ่งหน้าไปทางห้องปีกตะวันออก ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าไปในประตูเรือนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับได้ยินเสียงผู้ชายดังออกมาจากข้างในเสียก่อนแล้ว คล้ายจะเป็เสียงของพวกต้วนเสี่ยวโหลว เหอตังกุยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางชะลอการเดินให้ช้าลง นางเห็นเจินจู เจินจิ้ง ต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง เหมือนว่ากำลังพูดเื่สนุกสนานบางอย่างอยู่ เพราะบนใบหน้าของทุกคนนั้นประดับประดาไปด้วยรอยยิ้ม
เลี่ยวจือหย่วนนั้นอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงิน ส่วนต้วนเสี่ยวโหลวอยู่ในชุดคลุมสีแดง ทักษะการฟังของทั้งสองคนดีจนน่าใ แม้ว่าพวกเขาจะหันหลังให้กับประตูเรือน ทว่าในขณะที่เหอตังกุยกำลังเดินย่องเข้ามานั้น ทั้งสองคนก็รับรู้ได้ทันทีพลางหันหน้ากลับมามองนางพร้อมกัน
เลี่ยวจือหย่วนยิ้มพลางกล่าวทักทาย “คุณหนูเหอสบายดีหรือไม่ เหตุใดจึงเดินช้าเยี่ยงนี้ ข้าและคุณชายต้วนเดินไปกลับได้ยี่สิบรอบแล้วกระมัง” ต้วนเสี่ยวโหลวยืนขำอยู่ข้าง ๆ เหอตังกุยยิ้มจาง ๆ พลางตอบ “ตอนเที่ยงก็เจอพวกท่าน ตอนบ่ายก็ยังเจอพวกท่านอีก เจอกันบ่อยมากเลยนะเ้าคะ”
เลี่ยวจือหย่วนพาดมือไปที่ไหล่ของต้วนเสี่ยวโหลวพลางกล่าวทอดถอนใจ “น้องชายผู้โง่เขลาของข้าไม่รู้ว่าไปทำอันใดให้แม่นางขุ่นเคือง เมื่อครู่พวกข้ากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน แต่เขากลับเหม่อลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โบราณท่านว่าไว้ ‘ใครเป็คนผูกก็ต้องให้คนนั้นแก้’ ข้าจึงพาเขามาชดใช้โทษให้แก่แม่นาง” ต้วนเสี่ยวโหลวได้ยินดังนั้นจึงทุบเขาไปหนึ่งหมัดด้วยความขุ่นเคือง “เ้าพูดบ้ากระไร เ้าบอกว่าจะมาปีกตะวันออกเพื่อหาเบาะแส จึงให้ข้ามาเป็เพื่อนเ้า...”
เจินจูมองไปที่ทั้งสองด้วยความรู้สึกขบขัน ก่อนจะหันหน้ากลับมาพูดกับเหอตังกุย “น้องหญิง ตอนนี้มีเื่สำคัญบางอย่าง ข้าจึงอยากจะขอให้คนไปช่วยจัดการให้ เพียงแต่ว่าไม่มีใครที่เหมาะสมเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าคุณชายทั้งสองจะเป็คนที่มีจิตใจดีและมีน้ำใจเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าเพียงพูดออกไปเฉย ๆ แต่พวกเขาก็เต็มอกเต็มใจจะช่วย เป็เื่ที่หาได้ยากยิ่งนัก!”
เจินจูเห็นว่าเหอตังกุยยังมีท่าทีสงสัยอยู่ จึงอธิบายเพิ่ม “มีเื่ดี ๆ เกิดขึ้นกับเ้า คนที่ดีใจที่สุดหาใช่คนอื่นคนไกลไม่ แต่เป็ท่านแม่ของเ้า แม้ว่าจวนหลัวจะรู้ข่าวเื่นี้และต้องนำไปบอกท่านแม่ของเ้าอยู่แล้ว แต่ข้าว่าหากเ้าส่งจดหมายที่เ้าเขียนเื่นี้ด้วยตนเองไปให้ท่านล่วงหน้าคงจะดีกว่า”
ท่านแม่? ในใจของเหอตังกุยเกิดคลื่นแห่งความเ็ปขึ้นมา หากจะบอกว่านางไม่ได้อยากเจอท่านแม่ไว ๆ คงจะเป็เื่โกหก เพราะั้แ่ตอนที่ตื่นขึ้นมาในคืนแรก คนที่นางคิดถึงมากที่สุดก็คือท่านแม่ แต่หากนางยังไม่สามารถยืนหยัดอยู่ที่จวนหลัวได้อย่างมั่นคง แล้วให้ท่านแม่กลับมาจากวัดซันซิงเสียก่อน ก็มีแต่จะทำให้นางได้รับผลกระทบจากการขัดแข้งขัดขาคนอื่นไปด้วย หากสามารถพูดคุยเื่ในใจกับท่านแม่ผ่านจดหมายได้แล้วจึงค่อยนัดกันใหม่...
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเหอตังกุยคลอไปด้วยน้ำตา นางเงยหน้ามองต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนพลางถามอย่างเร่งรีบ “ูเาอวี่หลงไกลจากที่นี่ถึงหกร้อยหลี่ ท่านยินดีจะช่วยข้าจริงหรือเ้าคะ?” เมื่อเห็นใบหน้าน้อย ๆ ที่มีหยาดน้ำตานั้น อย่าว่าแต่ต้วนเสี่ยวโหลวเลย แม้แต่เลี่ยวจือหย่วนเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับปากซ้ำ ๆ “เื่นี้ปล่อยให้เป็หน้าที่พวกเราเถอะ ที่ตีนเขามี ‘เฟยเหมาถุ่ย’ คนส่งสารของพวกเราอยู่ คาดว่าช้าที่สุดในคืนนี้ก็น่าจะส่งถึง” เฟยเหมาถุ่ยเป็ชื่อเรียกร่วมของคนและม้า หากใช้ม้าวิ่งส่งสารระยะทางแปดร้อยหลี่ต่อหนึ่งวัน ใช้คนวิ่งส่งสารระยะทางสองร้อยหลี่ต่อหนึ่งวัน เขาเป็ผู้ส่งสารฝีมือดี เนื่องจากเป็ทหารวิ่งผลัดแปดร้อยหลี่ของราชสำนัก ไม่ว่าจะทางน้ำ ทางูเาหรือจะเป็ปากเหวสูง หุบเขาลึก ไม่มีที่ใดที่เฟยเหมาถุ่ยจะส่งไปไม่ถึง
เหอตังกุยไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นในใจไว้ได้ นางพูดทิ้งท้ายเพียงว่า “ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าจะไปเขียนจดหมายบัดเดี๋ยวนี้” นางกล่าวพลางก้าวขาวิ่งเข้าไปในห้อง ลืมแม้กระทั่งต้องกล่าวขอบคุณ นิสัยที่เป็เด็กผู้หญิงเช่นนี้น่ารักกว่าท่าทางก่อนหน้าที่อ่อนโยนแต่ห่างเหินไม่รู้ตั้งกี่เท่า ดังนั้นต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนจึงไม่ได้รู้สึกว่านางเสียมารยาท ตรงกันข้ามพวกเขาทั้งสองคนกลับยิ้มขำพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจินจูเห็นฉากนี้ก็ยิ้มน้อย ๆ เช่นกัน นางหันกลับไปยกตะกร้าผลไม้ซานจาและลูกแพร์สีเขียวพลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีชาดี ๆ ไว้รับรองท่านทั้งสอง แต่ผลไม้เหล่านี้นั้นยังสดใหม่ ทั้งสองท่านกินไปรอไปนะเ้าคะ” ต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนไม่ได้ปฏิเสธ พลางสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินไปนั่งที่ขั้นบันไดหินหน้าห้อง พวกเขารับผลไม้พร้อมกล่าวขอบคุณก่อนจะนำผลไม้เข้าปากทันที
เจินจิ้งวิ่งตามเหอตังกุยเข้าไปในห้องพลางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็คนดีเช่นนี้ ไม่เหมือนขุนนางที่เคยเห็นในกาลก่อนเลย วันนั้น...” เจินจิ้งอดที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เห็นพวกเขาครั้งแรกบนูเาไม่ได้ เหอตังกุยรีบตะปบปากของนางไว้ ด้วยกลัวว่านางจะพูดเกี่ยวกับ ‘นักโทษหลบหนี’ ออกมา ต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนล้วนเป็ยอดฝีมือ สามารถใช้กำลังภายในเพิ่มการรับรู้ของประสาทััทั้งหกได้ การลอบฟังคนอื่นคุยกันถือเป็เื่ปกติที่ทำเป็ประจำ เมื่อเจินจิ้งรู้ตัวก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไปพลางหดคอลงค้ำอยู่บนโต๊ะแล้วมองดูเหอตังกุยเขียนจดหมาย
พู่กัน กระดาษ หมึก แท่นฝนหมึกและซองจดหมายล้วนเป็สิ่งของที่เจินจูนำมาให้เมื่อตอนเช้ามืดทั้งหมด เหอตังกุยรู้สึกซาบซึ้งต่อเจินจูอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ท่านคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ ไตร่ตรองทุกอย่างแทนข้า หญิงที่ดีถึงเพียงนี้ หากอยู่ในวัดไปตลอดชีวิตคงน่าเสียดายแย่ แม้ว่านางไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานใหม่ แต่นางก็น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้แน่ ในขณะที่นางกำลังคิด กระดาษสองหน้าก็เขียนเสร็จสิ้นแล้ว เหอตังกุยครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงวาดสัญลักษณ์เล็ก ๆ เพิ่มลงไป
“นี่มัน...หมูน้อย?” เจินจิ้งเอียงหัวไปมาด้วยความสงสัย “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้จักตัวอักษร แต่ข้าดูภาพวาดออกนะ เหตุใดท่านจึงวาดหมูน้อยให้ท่านแม่ล่ะ แม้ว่ามันจะน่ารักมาก...”
เหอตังกุยทำหน้าทะเล้น “นี่เป็ปีนักษัตรของข้า” เจินจิ้งได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจในทันที
หลังจากเป่าหมึกจนแห้งดีแล้วก็นำจดหมายใส่ไว้ในซอง เหอตังกุยเดินไปที่ประตูก่อนจะกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเ้าค่ะ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก” เฟยเหมาถุ่ยนั้นใช่ว่าคนทั่วไปจ่ายเงินแล้วจะจ้างไปส่งจดหมายได้ นอกจากส่วนราชการแล้ว มีเพียงจวนขุนนางตระกูลใหญ่ ๆ เท่านั้นที่มีเฟยเหมาถุ่ย เดิมทีเหอตังกุยวางแผนจะลงเขาไปหาเงินด้วยตัวเอง แล้วค่อยจ้างคนไปส่งจดหมายที่เขาอวี่หลง ทว่าทุกอย่างเร็วกว่าที่วางแผนไว้ตั้งสิบวัน นางจะไม่ดีอกดีใจได้อย่างไร
ต้วนเสี่ยวโหลวนำจดหมายมาเก็บไว้ในอกพลางยิ้ม “ง่ายเหมือนดังพลิกฝ่ามือเท่านั้น ข้าจะลงเขาไปส่งจดหมายให้เฟยเหมาถุ่ยเดี๋ยวนี้ ขอตัว!” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ถีบตัวเหาะขึ้นกลางอากาศก่อนจะเหยียบที่หลังคาแล้วพุ่งตัวลอยออกไป
ในเวลานี้ไม่ได้มีเพียงพวกเหอตังกุยเท่านั้นที่ใ แม้แต่เลี่ยวจือหย่วนก็ใถึงขั้นแกนของลูกแพร์ติดคอเลยทีเดียว “แค่ก ๆ ๆ รอก่อน แค่ก รอข้าด้วย!” เขาทุบไปที่หน้าอกอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเลี่ยวจือหย่วนก็กลืนแกนลูกแพร์ลงไปได้ พลางส่งยิ้มฝืด ๆ ให้เหอตังกุย “ข้าทำงานกับเขามาหลายปี แม้แต่เื่แสนคับขันที่ทางราชการให้ไปทำ ก็ยังไม่เคยเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้เลย คุณหนูเหอ ข้าล่ะนับถือเ้าจริง ๆ ”
เหอตังกุยยิ้ม “ครั้งนี้ข้าติดหนี้บุญคุณพวกท่านครั้งใหญ่ บุญคุณต้องตอบแทน ข้าจดจำไว้ในใจอย่างดีแล้วเ้าค่ะ”
เลี่ยวจือหย่วนโบกมือปฏิเสธพลางะโ “ข้าไปล่ะ” ในแขนเสื้อชุดคลุมสีฟ้าของเขาสาดแสงสีเงินออกมา ทุกคนเห็นเพียงเขาพุ่งออกไปตามแสงสีเงินนั้นก่อนจะเหยียบลงที่กำแพงเรือน พริบตาเดียวก็หายไปจากกำแพงนั้นเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีเสมือนว่าเขาหายไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น
เหอตังกุยเห็นว่าเจินจิ้งและเจินจูทำหน้าตาเหลือเชื่อ นางจึงอธิบายให้ฟัง “เขาคงจะเอาลวดด้านหนึ่งมารัดข้อมือไว้ ลวดอีกด้านก็ใช้มัดอาวุธลับ เวลาจะใช้ก็ยิงอาวุธลับไปที่กำแพงอีกด้านแล้วยืมแรงลวดเหาะออกไปน่ะ”
เจินจิ้งและเจินจูเข้าใจในทันทีพลางพยักหน้ารับรู้ เจินจูประหลาดใจเป็อย่างมาก “เ้าอายุเพียงแค่นี้แต่กลับมีความรู้กว้างขวาง ข้าอายุปูนนี้เพิ่งจะเคยเห็นยอดฝีมือเช่นนี้เป็คราแรก”
เหอตังกุยหลุดขำเสียงดังลั่น “ท่านพี่อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น เหตุใดจึงพูดจาเหมือนยายเฒ่าในจวนของข้าเช่นนั้นเล่า จะว่าไปแล้ว หากพวกเขาลงเขาไปทางประตูหน้าวัดยังจะเร็วกว่าเสียอีก จะเหาะวิ่งไปตามหลังคาแล้วะโข้ามกำแพงออกไปด้วยเหตุใดกัน”
เจินจิ้งเหลือบตามองบน “เพื่อที่จะทำเท่ให้ท่านดูอย่างไรเล่า แม้แต่คนโง่ยังดูออกเลย”
เจินเหวยวิ่งมาถึงเรือนฝูเหมียนเพื่อมาหาแม่ชีไท่เฉิน นางหอบหายใจพลางบอกออกไปว่า “ตามคำสั่งของท่านอาจารย์ ข้าไปถามไหวถูและคนอื่น ๆ ที่ตัดฟืนบนูเามาแล้ว พวกนางบอกว่าเห็นแขกเ่าั้เดินไปเดินมาอยู่บนูเาหลายต่อหลายครั้ง เหมือนกำลังหาของบางอย่างอยู่เ้าค่ะ จากนั้นข้าจึงไปถามพ่อครัวหลิวเหลาจิ่วที่เพิ่งมาใหม่ ข้าให้เงินเขาไปห้าตำลึง บอกให้เขาทำอาหารดี ๆ ขึ้นโต๊ะให้พวกเรา เขาบอกว่าอาหารดี ๆ น่ะมีเ้าค่ะ แต่จะจัดโต๊ะเลี้ยงที่สมบูรณ์ด้วยเงินห้าตำลึงนั้นเป็ไปไม่ได้ ต่อให้ใช้เงินทั้งหมดก็คงทำได้เพียงโต๊ะเลี้ยงครบครันแบบเงินสามตำลึงเท่านั้น เขาให้ข้ามาถามอาจารย์ว่าเช่นนั้นได้หรือไม่เ้าคะ”
แม่ชีไท่เฉินจ้องเขม็งไปที่หน้าของเจินเหวยก่อนจะพูดอย่างเคร่งเครียด “เ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ ไหวถูบอกว่าอย่างไร คิดให้ดี ๆ อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”
เจินเหวยตอบอย่างรอบคอบ “พวกนางบอกว่าเห็นพวกแขกวิ่งวุ่นอยู่ในูเาหลายต่อหลายครั้งเหมือนกำลังหาสิ่งใดอยู่ พวกนางเคยเดินเข้าไปถามแขกด้วยนะเ้าคะว่าหลงทางหรือเปล่า ให้พวกนางนำทางหรือไม่ แต่แขกบอกว่าไม่ต้อง พวกเขาแค่มาเดินเล่นเท่านั้นเ้าค่ะ”
แม่ชีไท่เฉินคิดพลางดีอกดีใจไปด้วย จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนกำชับออกไปว่า “เ้าไปที่ห้องครัวอีกครั้ง นำเงินนี้ไปให้หลิวเหลาจิ่ว บอกเขาไปว่าข้าให้อีกสองตำลึง ให้เขาจัดเตรียมโต๊ะเลี้ยงครบครันให้ข้าสองโต๊ะ เงินที่เกินไปหนึ่งตำลึงก็ถือเสียว่าเป็ค่าแรงงาน กำชับให้เขาทำอย่างดีที่สุด!” เจินเหวยรับเงินมาแล้วจากไป
ไม่นาน แม่ชีไท่เฉินก็แผดเสียงะโเรียกไปในเรือน “เจินกง มานี่!”
เจินกงที่กำลังตากสมุนไพรอยู่หน้าเรือนขานรับและรีบวิ่งเข้ามาพลางเอ่ยถามอย่างแจ่มใส “ท่านอาจารย์มีเื่จะสั่งหรือเ้าคะ?” นางเห็นเจินเหวยวิ่งเข้าวิ่งออก ทั้งยังได้ทำ ‘เื่สำคัญ’ จึงเกิดความรู้สึกอิจฉาตาร้อน
แม่ชีไท่เฉินมองนางั้แ่หัวจรดเท้า “เ้าไปเปลี่ยนเป็ชุดที่สะอาดสะอ้านเสีย แล้วไปยืนที่ประตูหน้า เมื่อแขกเ่าั้กลับมาก็บอกพวกเขาว่าข้าจะจัดงานเลี้ยงที่เรือนฝูเหมียน ขอเชิญพวกเขามาร่วมงานด้วย” เมื่อเห็นใบหน้าตื่นเต้นของเจินกง นางก็ขมวดคิ้วพลางพูดย้ำ “เ้าควบคุมตัวเองเสีย ต้องมีท่าทีเกรงอกเกรงใจเข้าไว้ หากเชิญแขกมาไม่ได้ ข้าจะถลกหนังเ้า!” เจินกงรับปากแล้วรีบลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
แม่ชีไท่เฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเรียกให้เจินผิงและเจินเจวี๋ยที่อยู่ในเรือนออกมา สั่งให้พวกนางทำความสะอาดห้องและทุกซอกทุกมุมในเรือน จุดกำยานที่แพงที่สุดไว้ในเตา อีกทั้งนำเครื่องประดับตกแต่งทั้งหมดออกมาโชว์ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ ทุกอย่างได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้น ทำเอาคนในวัดถึงกับใไปตาม ๆ กัน
แม่ชีไท่เฉินเป็คนที่มีชื่อเสียงด้านความงกเสียยิ่งกว่าใคร ปกติแล้ว หากแม่ชีที่าุโน้อยกว่าป่วยแล้วไปเบิกยา ไม่เพียงแต่จะต้องจ่ายค่าบูชาเทพเ้าจำนวนเก้าสลึงเท่านั้น นางยังอ้างอีกว่าหากไม่บูชาเทพเ้า กินยาไปก็รักษาไม่หาย และทุกครั้งที่ไปเบิกยาก็เบิกได้เพียงปริมาณพอใช้สามวันเท่านั้น สามวันผ่านไป หากยังไม่หายก็ต้องไปเบิกใหม่ และต้องจ่ายค่าบูชาเทพเ้าอีกเก้าสลึงตามระเบียบ ทั้ง ๆ ที่โรงยาแห่งนี้เป็ของส่วนรวม ทว่าเมื่อตกอยู่ในมือของแม่ชีไท่เฉินก็กลับกลายเป็เครื่องมือในการหาเงินโดยมิชอบของนางไปโดยปริยาย