เทศกาลเดือนห้าผ่านไปก็เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มรูปแบบ
แสงตะวันแรงกล้า อากาศร้อนราวกับเตาเผา ทุกคนในคณะเดินทางต่างเหงื่อไหลไคลย้อยท่วมศีรษะ
สายลมที่โชยมาจากหน้าต่างรถนำพาไอร้อนอบอ้าวมาด้วย
เซวียเสี่ยวหรั่นเอามือเท้าคางอย่างเกียจคร้าน มือขีดเขียนกระดาษเซวียนจื่ออย่างเหม่อลอย
ในรถกว้างขวาง แต่กลับให้เธอนั่งคนเดียว แน่นอนว่ายังมีอาเหลยกำลังเคี้ยวผลหมี่จุย [1] ตุ้ยๆ อยู่ที่มุมด้านหนึ่ง
ชุดชงชาเครื่องเคลือบศิลาดลตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยลงรักปิดทองซึ่งออกแบบมาให้มีหลุมกันลื่นและการสั่นะเืเป็พิเศษ หากเจอสภาพถนนขรุขระ ชุดน้ำชาก็จะไม่พลิกคว่ำ
เบาะกลมรองนั่งแบบธรรมดาก็เปลี่ยนมาเป็เบาะรองนั่งผ้าไหมทอแบบเค่อซือ [2] เป็ลวดลายบุปผาผลิบานสะท้อนถึงความรุ่งเรืองมั่งคั่ง
กระดาษเซวียนจื่อสีขาวราวกับหิมะมีแต่รอยขีดเขียนสีดำอมเทาเต็มไปหมด
นี่คือแท่งถ่านที่เซวียเสี่ยวหรั่นใช้ให้อูหลันฮวาไปหากิ่งหลิวเอามาเผาจนกลายเป็ถ่านสีดำ
เธอไม่ชินกับการใช้พู่กันเขียนอักษร อีกอย่างการใช้พู่กันบนรถม้า เสี่ยงกับน้ำหมึกหก เป็การสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ ใช้แท่งถ่านกิ่งหลิวเขียนอักษรสะดวกกว่า
ข้างกระดาษเซวียนจื่อมีตั๋วประทับตราสีแดงใบเล็กๆ วางอยู่ หลังหยิบขึ้นมาดูทีละฉบับ ดวงหน้าเล็กจ้อยก็ยังคล้ายมึนงงอยู่
นี่คือตั๋วเงินห้าพันตำลึงเต็มๆ
เมื่อคืนเหลียนเซวียนเรียกเธอไปหา
"นี่อะไรหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองดูตั๋วบางๆ ประทับตราสีแดงกองหนึ่งที่เขาผลักมาให้ด้วยสีหน้างุนงง
"ไม่รู้จักรึ?" เหลียนเซวียนจ้องนาง
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ หันไปมองตั๋วกองนั้น มองแล้วมองอีก ในที่สุดดวงตาก็เบิกกว้าง
"ตั๋วเงิน?"
เธอเอื้อมมือไปหยิบฉบับ้าขึ้นมา หน้าตั๋วมีเลขกำกับมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึง
เซวียเสี่ยวหรั่นเพิ่งเคยเห็นตั๋วเงินแบบนี้เป็ครั้งแรก หยิบขึ้นมาพลิกดูสองรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนวกกลับมาเื่สำคัญ
"เหตุใดถึงมอบตั๋วเงินให้ข้า"
เธอรู้ว่าเขาร่ำรวย ตระกูลใหญ่ที่สามารถเลี้ยงองครักษ์กับข้ารับใช้มากมายขนาดนี้จะยากจนได้อย่างไร
แต่เขามีเงินก็เป็เื่ของเขา จู่ๆ จะเอามาให้เธอทำไม?
"หลังเข้าเมืองหลวง มีเื่ต้องใช้จ่ายอีกมาก ตั๋วห้าพันตำลึงนี้เ้าเอาไปก่อนเถอะ"
หลายวันก่อน นางพาพวกอูหลันฮวาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ซื้อขนม ของกินเล่นราคาย่อมเยาเ่าั้มากินแทนข้าว ถึงเวลาสั่งอาหารจากโรงเตี๊ยมก็เลือกอาหารที่มีแต่ผัก เหลียนเซวียนรู้ว่านางกลัดกลุ้มเื่ปัญหาค่าใช้จ่าย
ในมือนางมีเงินเท่าไร เขารู้ได้โดยไม่ต้องคำนวณ
ห้าพันตำลึง แม่เ้าโว้ย... เยอะอะไรปานนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นมองตั๋วเงินกองนั้นอย่างตกตะลึง
"ข้าไม่เอา" หลังทอดถอนใจ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ผลักตั๋วเงินคืนกลับไปทันที "เงินข้าก็มี ไม่ต้องใช้ของท่าน"
เมื่อก่อนยามอยู่ขู่หลิ่งถุน แม้ว่าเธอใช้เงินเขาไปไม่น้อย แต่ต่อมาขายเห็ดหลิงจือได้ ก็นับว่าเขาใช้เงินของเธอเหมือนกัน
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ติดค้างกันแล้ว
เธอย่อมไม่อาจรับเงินจากเขา
เหลียนเซวียนมองนิ้วมือเรียวขาวกระจ่างที่ผลักตั๋วเงินกลับมา ดวงตาที่หลุบลงเล็กน้อยก็มีประกายผุดวาบ
ไม่ต่างจากที่คะเนไว้เลย
นี่คือการขีดเส้นแบ่งฝ่ายให้ชัดเจนระหว่างนางกับเขา
เขาทอยิ้มประดับมุมปาก มองนางด้วยแววตาล้ำลึกสุดหยั่งถึง
"เสี่ยวหรั่น เ้าลืมเื่สำคัญมากไปแล้วใช่หรือไม่"
"หืม? เื่สำคัญมาก อะไรเหรอ?"
เซวียเสี่ยวหรั่นจดจ้องเขา พลันรู้สึกว่าแผลเป็บนใบหน้าดูเหมือนจะจางลงไปบ้าง หากไม่สังเกตก็แทบมองไม่ออก เมื่อรอยแผลจางไป ความคมสันก็ยิ่งมีมิติขึ้นอย่างเด่นชัด ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากลับแฝงไปด้วยเสน่ห์แบบสบายๆ ภายใต้ความดิบเถื่อน
โดยเฉพาะยามดวงตาลุ่มลึกสีหมึกคู่นั้นจดจ้องมา เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าั์ตาเขาคล้ายมีหลุมมฤตยูขนาดใหญ่ซึ่งมีแรงดึงดูดมหาศาล แทบจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
ทำให้เธอเคลิบเคลิ้มเหม่อลอยไปชั่วขณะ
คนตรงหน้าแววตาเลื่อนลอยดั่งไอหมอกพร่ามัว ริมฝีปากแดงมันวาวเผยอน้อยๆ ด้วยความสับสน ปอยผมเล็กๆ แนบลู่ไปบนนวลเนื้อขาวละเอียดประดุจหยก ดวงเนตรวับวาวราวกับหยาดน้ำใส สตรีงดงามอรชรภายใต้แสงตะเกียงสลัวรางทำให้หัวใจของเหลียนเซวียนเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
ภายในห้องเงียบสงบ บรรยากาศหวามไหวคลุมเครือคล้ายมีคล้ายไม่มีกระเพื่อมไหวอย่างไร้สุ้มเสียง
"เอ๋?" เซวียเสี่ยวหรั่นถูกสายตาเร่าร้อนฝั่งตรงข้ามจดจ้องจนได้สติ กะพริบตาแรงๆ กระแสร้อนผ่าวไล่ลามไปบนพวงแก้ม ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีควันพวยพุ่งออกมาทางกระหม่อม
"ทะ... ท่านจะบอกอะไรอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ก็ไม่พูดเสียแล้วล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นพยายามเอาชนะความรู้สึกที่อยากยกมือกุมใบหน้า ปกปิดความจริงที่ตนเองจ้องเขาจนเคลิบเคลิ้มไปด้วยถ้อยคำดุเดือด
เหลียนเซวียนต้องเม้มริมฝีปากไว้แน่นถึงสะกดกลั้นมิให้มุมปากยกสูงขึ้น เขามองเห็นพวงแก้มของนางแดงระเรื่อ กับระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในดวงตาคู่นั้น
"อืม ข้าจะพูดว่าเ้าลืมเื่เห็ดหุยซินไปแล้ว"
น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยกลิ่นอายเอ้อระเหยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
ใบหูของเซวียเสี่ยวหรั่นเหมือนถูกไฟช็อตชาไปทั้งตัว สีแดงซึ่งย้อมอยู่บนใบหน้าเข้มขึ้นอีกหลายส่วน
"หะ... เห็ดหุยซินทำไม?"
ความจำของเธอเหมือนจะสั้นลงไปชั่วขณะ คิดความหมายที่เขา้าสื่อไม่ออก
เหลียนเซวียนยิ้มบางๆ มิอาจซ่อนงำความสุขบนมุมปากอีกต่อไป "เห็ดหุยซินเป็ของล้ำค่าหายาก ราคาสูงจนมิอาจประเมินค่าได้ เห็ดหุยซินเจ็ดดอกขายทอดตลาด ต่อให้ตั้งราคาหนึ่งแสนตำลึง ก็มีคนมากมายแย่งกันซื้อ"
เซวียเสี่ยวหรั่นใอ้าปากค้าง เห็ดสีแดงอมม่วงไม่กี่ดอกนั้นมีราคาขนาดนี้เชียว?
"ดังนั้นตั๋วเงินห้าพันตำลึงนี้เป็แค่ส่วนหนึ่ง หลังกลับไปเมืองหลวงแล้ว ข้าจะจ่ายส่วนที่เหลือให้แก่เ้า"
เหลียนเซวียนเอ่ยวาจาอย่างเอ้อระเหย
แต่คนฟังอย่างเซวียเสี่ยวหรั่นกลับตกตะลึงจนกรามแทบจะตกไปกองที่พื้น
"ทะ... ท่านพูดอะไร เหตุใดต้องให้ตั๋วเงินข้า เห็ดหุยซินไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย"
"อ้อ เ้ามิใช่คนพบเห็ดหุยซินหรอกรึ?" เหลียนเซวียนย้อนถาม
"เอ่อ ดูเหมือนจะใช่" เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหน้าผากแกรกๆ เธอพบมันตอนไล่ตามงูหลามั์ตัวนั้น
"เห็ดหุยซินไม่ใช่เ้าเป็คนเก็บ?" เหลียนเซวียนค่อยๆ โพล่งออกมาทีละประโยค
"แม้ข้าจะเป็คนเก็บ แต่ท่านเป็คนสังหารงูตัวนั้นนี่" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดงึมงำ
"หากเ้าไม่พบมัน ข้าซึ่งตอนนั้นยังตาบอดจะเห็นอะไรได้" เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว "ดังนั้นเห็ดหุยซินเหล่านี้จึงเป็ของเ้า ข้าจ่ายเงินซื้อ ไม่ถูกต้องตรงไหน"
"..."
"แต่ถ้าไม่มีท่าน ข้าก็ไม่รู้จักเห็ดหุยซินหรอกนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นยังคือเดินหน้าโต้เถียงต่อไป
"อืม ก็จริง แต่เ้าช่วยชีวิตข้าริมแม่น้ำ นี่คงเป็ชะตาฟ้าลิขิต ในป่าลึกอันไร้ขอบเขต กลับได้พานพบกันพอดิบพอดี ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป "
เหลียนเซวียนมองนางเงียบๆ แววตาทอประกายดั่งแสงอรุโณทัยยามรุ่งสาง ในความอบอุ่นอ่อนโยนเจือไปด้วยความคาดหวังอันไร้ขีดจำกัด
"..."
เซวียเสี่ยวหรั่นจำไม่ได้ว่าตนเองออกมาจากห้องของเขาได้อย่างไร
เธอกลับมาถึงห้องอย่างมึนงง จากนั้นก็หลับเป็ตาย ผลก็คือพอตื่นขึ้นมาตอนเช้ากลับพบว่าตั๋วเงินเ่าั้มาวางอยู่ข้างหัวเตียงแล้ว
หลังจากนั้น เธอนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อคืน แล้วก็ขึ้นรถม้าไปแบบมึนงงจนกระทั่งบัดนี้
...
[1] หมี่จุย เป็พืชชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Castanopsis carlesii ใบเรียวยาวขนาดเล็ก ชอบฝนและอากาศอบอุ่น ทนแดดได้ดี มีผลขนาดเล็กเท่าเปลือกมีหนามหุ้มอยู่ ต้องแกะเปลือกด้านนอกออกแล้วกะเทาะเปลือกแข็งด้านในจะพบเนื้อสีขาวอมเหลือง กินเป็อาหารได้
[2] เค่อซือ เป็เทคนิคการทอผ้าจากซูโจว ซึ่งทำให้ลวดลายแลดูมีมิติและมองเห็นทั้งสองด้าน ไร้ปมหรือปลายด้าย