คำพูดเ่าั้หมายความว่าอย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นใช้แท่งถ่านต่างดินสอจิ้มไปบนกระดาษเซวียนจื่อ
อะไรคือชะตาฟ้าลิขิต อะไรคือไม่ช้าไป ไม่เร็วไป พานพบกันพอดิบพอดี ถ้อยคำเกี้ยวพาราสีพรรค์นี้ เขาเอามาใช้กับหญิงสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร ไม่รู้หรือว่านี่เป็การแสดงความรับผิดชอบ?
เซวียเสี่ยวหรั่นกัดริมฝีปากล่าง ขีดเขียนต่อไปด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยกินผลหมี่จุยหมด ก็เดินเข้ามาซบข้างกายเธอ
"อาเหลย มันร้อน เ้าอย่ามานั่งเสียชิดขนาดนั้น" เซวียเสี่ยวหรั่นเก็บตั๋วเงินบนโต๊ะใส่ถุงผ้า ถึงจะหงุดหงิดอย่างไรก็มิอาจทิ้งขว้างเงินทอง
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยโผเข้าหาป้านชา มันกินผลหมี่จุยจนคอแห้งแล้ว
"จะดื่มน้ำหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบไปรื้อถ้วยเล็กของมันออกมา แล้วรินน้ำชาให้ "ถือไว้ อย่าทำหกล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นมันดื่มน้ำเสร็จ ก็เก็บถ้วยเล็กอย่างดี
เธอเอามือเท้าคางข้างหนึ่ง พลางลูบขนของอาเหลยไปเรื่อยๆ
"อาเหลย เ้าว่าทำไมชีวิตมนุษย์ถึงได้ซับซ้อนขนาดนั้น" เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจ
เธอกับเหลียนเซวียนไม่เพียงแต่ต่างกันคนละโลก ชนชั้นฐานะก็ไม่ใช่ระดับเดียวกัน
ยามนี้เธอเป็เพียงหญิงสาวอ่อนแอไร้ที่พึ่งพิง น้องชายเพียงคนเดียวก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสองเดือน
ตระกูลใหญ่ฐานะมั่งคั่งของเหลียนเซวียนไม่น่าจะยอมรับสตรีที่มีสถานะเช่นเธอ
ใช่ว่าเธอประเมินตนเองต่ำไป แต่จำเป็ต้องมีสติตื่นรู้อยู่เสมอกับความเป็จริง
หลังจากได้ฟังถ้อยคำคล้ายเป็การสารภาพรักของเหลียนเซวียนเมื่อคืน เธอไม่ปฏิเสธว่าตนเองก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
เขากับเธออยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานานเท่าไรแล้ว? เซวียเสี่ยวหรั่นยกนิ้วขึ้นมานับ น่าจะเกินครึ่งปีแล้วกระมัง
พอเธอตกลงมาในห้วงเวลาที่ไม่รู้จัก ก็ได้พบกับเขา
เหมือนดังที่เขากล่าวไว้ ในป่าลึกอันไร้ขอบเขต กลับได้พานพบกันพอดิบพอดี ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป
ก็เป็บุพเพสันนิวาสอย่างหนึ่งจริงๆ เขาคือคนที่เธอไว้ใจและพึ่งพาได้ที่สุดในโลกใบนี้ เธอรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจเสมอเมื่ออยู่ข้างกายเขา
เธอไม่รู้หรอกว่านี่เรียกว่าความรักหรือเปล่า รู้แต่มีเขาอยู่เธอก็หมดความกังวลใจ
ในป่าดงดิบแสนจะมีอิสรเสรี ไร้ซึ่งสิ่งผูกมัด ไม่ต้องครั่นคร้ามสิ่งใด แต่ตอนนี้ความเป็จริงที่น่าวิตกกลับมีมากมายเหลือเกิน
"เฮ่อ..." เซวียเสี่ยวหรั่นถอนใจยาว หลังจากนั้นก็เอนกายไปด้านหลัง
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยนึกว่าเธอจะนอน ก็ขดตัวอยู่ข้างๆ
เดิมทีเซวียเสี่ยวหรั่นยังอารมณ์อ่อนไหวจมดิ่งอยู่ในความหดหู่ พอเห็นท่าทางของมันก็ช่วยคลายความเศร้าลงไปได้มาก
"คิดมากไปทำไม ใครจะไปรู้ เขาอาจแค่ปากหวานจีบคนเล่นไปอย่างนั้นเองก็ได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นเอาความผิดทั้งหมดไปโยนใส่เหลียนเซวียนคนเดียว
เธอครุ่นคิดแล้วก็ผุดลุกขึ้น รื้อตั๋วเงินจากในถุงผ้าออกมาดูอยู่เป็นานสองนาน
ดูเหมือนว่าเห็ดหุยซินจะล้ำค่ามากจริงๆ เช่นนั้นเธอก็สามารถรับเงินเหล่านี้ได้อย่างสบายใจและสมเหตุสมผล
เพียงแต่...
เหลียนเซวียนคงไม่ได้จะให้เงินเธอแสนตำลึงจริงๆ หรอกมั้ง?
เซวียเสี่ยวหรั่นกลืนน้ำลาย
ควรรู้ว่าเงินของที่นี่มีค่ามาก เงินแสนตำลึงหากแลกเป็เงินหยวนก็น่าจะสิบล้านหยวนเห็นจะได้
นั่นเป็เงินมากมายมหาศาลเลยเชียว
ไม่ได้ ต้องไปถามให้รู้เื่ แม้ว่าเห็ดหุยซินจะหากยาก แต่ผลงานก็เป็ของเขาครึ่งหนึ่งเหมือนกัน เธอจะรับเงินเยอะขนาดนั้นมาเปล่าๆ ไม่ได้
เงินใครก็ไม่ใช่สายลมพัดมา
ยามเที่ยง อุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ รถม้าหยุดอยู่ที่เมืองเล็กแห่งหนึ่ง
อูหลันฮวาลงมาจากรถม้าคันหลัง วิ่งมากข้างรถม้าของเซวียเสี่ยวหรั่นยื่นมือมาให้อย่างนอบน้อม
"คุณหนู ข้าจะประคองท่านลงจากรถเ้าค่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นกะพริบตาถี่ๆ มองนางอย่างไม่ค่อยอยากให้ความร่วมมือสักเท่าไร "หลันฮวา เ้าเล่นอะไรเนี่ย?"
แม้แต่คำว่า "ท่าน" ก็ยังเอามาใช้
"หงกูบอกว่า นี่คือมารยาทขั้นพื้นฐานของคนเป็สาวใช้" อูหลันฮวาเหยียดหลังตรง เอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างเป็ธรรมชาติ
"..."
เซวียเสี่ยวหรั่นปวดศีรษะ เ้าไม้ซักผ้าผู้นี้อยู่ดีไม่ว่าดี เพียรต้องแล่นไปขอเรียนกฎเกณฑ์มารยาทกับหงกูให้ได้
"หลันฮวา พวกเราเป็แค่สามัญชนธรรมดา ไม่ต้องสนใจธรรมเนียมมากมายเ่าั้หรอก"
"ไม่ได้นะเ้าคะคุณหนู พวกเรากำลังจะไปเมืองหลวง นั่นคือใต้เบื้องบาทโอรส์ หากไม่รู้กฎเกณฑ์มารยาทสักนิดอาจถูกผู้อื่นดูแคลนเอาได้" อูหลันฮวาทำสีหน้าจริงจัง
"หงกูบอกหรือ?" เซวียเสี่ยวหรั่นเชื่อว่านางคงถูกหงกูล้างสมองเกือบหมดแล้ว
"เ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าหงกูพูดถูก คุณหนูของพวกเราแสนดีเพียงนั้น จะให้ผู้คนดูิ่เหยียดหยันได้อย่างไร ดังนั้นข้าจะเรียนรู้จากหงกูอย่างดี ไม่ทำให้คุณหนูอับอายขายหน้า" อูหลันฮวาให้คำมั่นสัญญาหนักแน่น
"..."
เอาเถอะ หนทางยังอีกยาวไกล อูหลันฮวาเรียนรู้เื่ราวต่างๆ จากหงกูก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่รู้สึกอุดอู้ ต้องมาตัดเย็บอาภรณ์ ไม่ก็หยอกล้อกับอาเหลยเหมือนอย่างเธอ
เซวียเสี่ยวเหล่ยวิ่งมาอุ้มอาเหลยลงจากรถ อาเหลยปีนขึ้นไปเกาะไหล่เขาตามความเคยชิน
เหลียนเซวียนยืนเอามือไพล่หลังรอพวกเขาอยู่ที่หน้าเหลาสุรา
เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินแขนเสื้อหลวมกว้างเอวสอบ ขับเสริมให้เรือนกายแลดูผึ่งผายดุจต้นสน
ชุดหรูซานตัวนั้นมีลวดลายซ่อนอยู่ในเนื้อผ้า ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา
เหลยลี่กับหงกูยืนอยู่ข้างกายเขา ยิ่งขับเสริมให้เขาดูมีอำนาจบารมีเหนือสามัญ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาแวบหนึ่งก่อนหลุบตาลง บดฝ่าเท้าอยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยเยื้องย่างเข้าไปหา
เหลียนเซวียนไม่เร่งร้อน เห็นศีรษะน้อยๆ เอาแต่ก้มหน้างุด มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
ยามอู่ได้เวลามื้อกลางวันพอดี เมื่อคณะคนของพวกเขามาถึง ก็ดึงดูดสายตาของคนทั้งห้องโถงใหญ่ โดยเฉพาะอาเหลยซึ่งซบอยู่บนไหล่ของเซวียเสี่ยวเหล่ย
ในเมืองไม่ค่อยมีลิงให้พบเห็น
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคิดสั้นกล้าแล่นเข้าไปหาเื่ องครักษ์กลุ่มใหญ่ด้านนอกคงไม่ใช่พวกถือศีลกินผัก
ชั้นสองเปิดเป็ห้องพิเศษ พวกเขาเดินตามลูกจ้างร้านขึ้นไปข้างบน
หลังนั่งลงแล้ว หงกูยืนที่ด้านหลังเหลียนเซวียน อูหลันฮวาก็เลียนแบบด้วยการไปยืนด้านหลังเซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นตะลึงงัน มองหงกู ก่อนหันไปมองอูหลันฮวา พวกนางคิดจะยืนดูพวกเธอกินข้าวหรือ?
เหลียนเซวียนมองออกว่านางไม่สบายใจ จึงส่งสายตาบอกให้หงกูพาอูหลันฮวาออกไปกินข้าว
หงกูกล่าวอำลาอย่างนอบน้อม ขณะหยัดกายตรงก็ปราดมองเซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งอยู่นั่งในท่วงท่าสบายๆ โดยไม่กระโตกกระตาก หลังจากนั้นก็ออกไปจากห้องพิเศษพร้อมอูหลันฮวา
เซวียเสี่ยวหรั่นนิ่งงัน ่เวลาสั้นๆ เพียงสองวัน เธอััได้ถึงความเข้มงวดระหว่างนายบ่าวของยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อก่อนยามมีกันแค่ไม่กี่คน อูหลันฮวาก็กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขามาโดยตลอด ทว่าั้แ่หงกูมาถึง แม้แต่อิสระที่จะกินข้าวบนโต๊ะอาหารอูหลันฮวาก็ยังไม่มี
เธอไม่เคยชินกับกฎเกณฑ์ที่แบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจนเช่นนี้เลย
"เสี่ยวหรั่น เมื่อเช้าเมารถหรือไม่" เห็นนางไม่พูดไม่จา เหลียนเซวียนก็รู้ว่านางหงุดหงิด
"ไม่เลย รถม้าค่อนข้างมั่นคงดี" เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหารถม้ามาจากไหน กว้างขวางไม่ว่า ภายในยังหรูหรามาก รถม้าที่เคยนั่งก่อนหน้ายังไม่สบายเท่านี้เลย
นึกถึงตอนนั่งรถม้าครั้งแรก ะเืตลอดทางจนแก้มก้นแทบจะแยกออกเป็สี่ส่วน เมื่อมาเทียบกับรถม้าที่นั่งวันนี้ ข้อแตกต่างราวกับจักรยานกับรถยนต์
ที่แท้ เมื่อมีเงินย่อมต่างกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบตั๋วเงินในอกเสื้อ ค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย
มีเงินสามารถบันดาลได้ทุกอย่าง ไร้เงินก็ไร้ซึ่งทุกความสามารถ ต่อไปเธอจะหาเงินให้ได้มากๆ แต่จะไม่ให้ตนเองตกอยู่ใต้อำนาจของมัน