ขณะที่ทางนี้กำลังสนทนากัน ทางโน้นก็กำลังเก็บข้าวของ
เหลียนเซวียนให้พวกเขาจัดการของที่ไม่จำเป็ออกมา
แต่ผลลัพธ์คือ เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นของเก่ากองใหญ่ ก็นึกเสียดายทำใจทิ้งไม่ลงสักอย่าง
โดยเฉพาะถ้วยโถโอชามที่พวกเขาเผาขึ้นมาเองกับมือยามอยู่ในป่า
เซวียเสี่ยวหรั่นมองว่าของเหล่านี้มีคุณค่าชวนให้จดจำ แม้ไม่นำมาใช้ แต่ก็ยังเก็บไว้ได้
รอยามแก่เฒ่า หยิบออกมาดู จะได้รำลึกความลำบากยากเข็ญ อันเป็ความทรงจำที่งดงามอย่างหนึ่ง
"พี่สาว ตรงนี้มีมีดไม้เล่มหนึ่งด้วย" เซวียเสี่ยวเหล่ยหยิบมีดไม้ขึ้นมา ดวงตาลุกวาว เหลาได้ดียิ่ง ปลายมีดคมกริบ
"นั่นเป็ของที่เหลียนเซวียนทำให้ข้าเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ยามอยู่ในป่า พวกเรามีมีดสั้นเพียงเล่มเดียว บางครั้งเขาก็เอาไปล่าสัตว์ ข้าไม่มีมีดใช้ ดังนั้นเขาก็เลยเหลามีดไม้ให้เล่มหนึ่ง แม้จะทำจากไม้ แต่ก็คมมาก"
"คุณชายช่างเก่งกาจยิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะทำเป็ทุกอย่างเลยนะเ้าคะ" อูหลันฮวามองมีดไม้พลางอุทานชื่นชม
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะเสียงดัง จะว่าไปเื่ที่เหลียนเซวียนรู้ก็เยอะอยู่เหมือนกัน
เขาได้ทั้งบุ๋นและบู๊ พิณหมากภาพอักษรย่อมไม่เกินความสามารถ รู้วิชาแพทย์ ทำการค้าก็เป็ ปั้นหม้อทำภาชนะเรียนรู้แค่หนเดียวก็ทำได้แล้ว เหลามีดกับอาวุธลับยิ่งเื่จิ๊บจ๊อย
คนเปรื่องปราดศึกษาสิ่งใดย่อมเรียนรู้เร็ว
"เสี่ยวเหล่ย พรุ่งนี้เ้านั่งรถม้าคันเดียวกับเหลียนเซวียน ข้าจะนั่งคันเดียวกับหลันฮวา"
"แล้วอาเหลยเล่า?" เซวียเสี่ยวเหล่ยลังเลเล็กน้อย
"ปล่อยไว้กับข้าก็ได้ ถ้ามันเดินไปเดินมาในรถเหลียนเซวียนต้องไม่ชอบแน่ๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกดูแล้ว ให้อาเหลยอยู่กับตนเองจะดีกว่า
"อ้อ ได้ขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยมักตื่นกลัวยามอยู่กับเหลียนเซวียนเพียงลำพังเสมอ แต่เขาก็พยายามปรับตัว
ขณะที่สามคนกำลังคุยกันอยู่ เหลยลี่ก็มาเคาะประตู
เหลียนเซวียนให้มาเชิญพวกเขา
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง
เห็นหญิงวัยประมาณสี่สิบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเหลียนเซวียนอย่างนอบน้อม
"นี่คือหงกู เป็หมัวมัวผู้ดูแลข้างกายข้า"
เหลียนเซวียนแนะนำให้พวกเขารู้จัก
หมัวมัวผู้ดูแล? คงจะเป็หัวหน้าแม่บ้านที่คอยดูแลจัดการเื่จิปาถะภายในเรือนของเขากระมัง เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองหงกูสองสามหน
แม้หงกูจะมีอายุหน่อยแล้ว แต่ดูจากใบหน้าและอิริยาบถการวางตัว ก็ยังคงเป็หญิงงามรูปร่างผอมบางอ่อนช้อยคนหนึ่ง
บั้นเอวตรงดั่งพู่กัน ท่ายืนเป็ระเบียบ เกล้าผมเรียบร้อยไม่มีส่วนที่ยุ่งเหยิงสักเส้น แลดูสงบเสงี่ยมเหมาะสมยิ่ง
แต่เซวียเสี่ยวหรั่นกลับรู้สึกเหมือนได้เห็นครูใหญ่
ไอ้หยา เหตุใดเธอถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแบบนี้นะ
"บ่าวหงกูคารวะคุณหนูเซวีย นายน้อยเซวีย" หงกูคำนับอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียม "ขอบคุณคุณหนูเซวียเป็อย่างมากที่ช่วยดูแลนายท่านของพวกเราตลอด่เวลาที่ผ่านมา"
"อา ไม่ต้องเกรงใจ เขาก็ดูแลข้ามากมายเหมือนกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นค้อมกายเล็กน้อย เซวียเสี่ยวเหล่ยก็เลียนแบบท่าทางของนางบ้าง
หงกูเห็นมารยาทของพี่น้องคู่นี้แล้วก็คิ้วขมวดเล็กน้อย
หญิงสาวตรงหน้าผิวพรรณขาวผ่องประดุจหยก หน้าตาจิ้มลิ้มเรือนร่างอรชร ท่าทางไม่เลวเลย แต่เื่ธรรมเนียมมารยาทกลับด้อยไปนิด
"หงกู นั่นคืออูหลันฮวา" เหลียนเซวียนไม่ลืมอูหลันฮวาที่อยู่ด้านข้าง
"ข้าชื่ออูหลันฮวา เป็สาวใช้ของคุณหนู" พอได้ยินว่าหงกูคือหมัวมัวผู้ดูแลจัดการเื่ต่างๆ อูหลันฮวาก็ตาลุกวาว หลังจากนั้นก็คอยสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายตลอดเวลา
แล้วก็ยอบกายทำความเคารพ เลียนแบบท่าทางที่หงกูทำเมื่อครู่ทันที
"แม่นางหลันฮวา" หงกูมองท่าทางงกๆ เงินๆ ของนาง ก็ตระหนักได้ในใจ
"เสี่ยวหรั่น หงกูเป็หมัวมัวผู้ดูแลคนสนิทของข้า เ้าจะให้อูหลันฮวาไปเรียนรู้ธรรมเนียมมารยาทกับนางหรือไม่"
แท้จริงแล้วเขาอยากให้เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาศึกษากฎเกณฑ์มารยาทกับหงกูทั้งคู่ แต่เมื่อครู่กลับเห็นแววระแวดระวังในดวงตาของนางอย่างแจ่มชัด
ครั้นแล้วจึงเบนทิศทางทันที
อ้างอูหลันฮวาไปก่อน บางเื่ต้องใช้แผนแบบค่อยเป็ค่อยไป ไม่อาจหุนหันพลันแล่นเกินไป
"ดีเลยๆ คุณหนู ข้าจะศึกษากับหงกูอย่างดีเลยเ้าค่ะ" ั้แ่เห็นสาวใช้ของเมิ่งหว่านเหนียงคราก่อน อูหลันฮวาก็คิดจะเรียนรู้กฎเกณฑ์มารยาทให้ดี สาบานตนว่าจะเป็สาวใช้ที่ดีให้ได้
"..."
เห็นสีหน้าเบิกบานของนางแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้แต่โบกมืออย่างจนใจ "ตามใจแล้วกัน เ้าพอใจก็ดีแล้ว"
อูหลันฮวายิ้มออกมาทันใด ฟันขาวทั้งปากแทบทำให้เหลยลี่ซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตาลาย
เขาเพิ่งเคยเห็นสาวใช้ที่ตื่นเต้นดีใจกับการเรียนธรรมเนียมมารยาทเป็ครั้งแรก
"เสี่ยวเหล่ย อยากอยากเรียนวิทยายุทธ์หรือไม่" จัดการอูหลันฮวาเรียบร้อย เหลียนเซวียนก็เบนเป้าหมายไปที่เซวียเสี่ยวเหล่ย
เด็กชายตะลึงงัน หันไปมองเซวียเสี่ยวหรั่นด้วยจิตใต้สำนึก
"เรียนวรยุทธ์? แต่เสี่ยวเหล่ยอายุเกือบสิบสองปีแล้ว ศึกษาตอนนี้ไม่สายเกินไปหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่คัดค้านหากเซวียเสี่ยวเหล่ยจะเรียนการต่อสู้ ในยุคสมัยที่มีแต่การตีรันฟันแทงเช่นนี้ มีวิชายุทธ์ป้องกันตัวได้ย่อมเป็เื่ดีแน่นอน
"ไม่มีปัญหา มิได้จะไปเป็ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้เสียหน่อย การฝึกยุทธ์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สามารถป้องกันตัวได้ เสี่ยวเหล่ยเป็เด็กมีพร์อยู่แล้ว เรียนตอนนี้ก็ไม่สาย" เหลียนเซวียนยิ้มพลางเอ่ยวาจา
"พี่สาว ข้าอยากศึกษาขอรับ"
ั์ตาของเด็กน้อยเปล่งประกายอย่างมีความหวัง เขารู้ตัวว่าตนเองทั้งตัวเล็กและอ่อนแอ จึงอยากคว้าโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้กลายเป็คนมีความรู้ความสามารถ พึ่งพาได้ ต่อไปจะได้ตอบแทนบุญคุณของพี่สาวที่ช่วยชุบเลี้ยงตนเองอย่างดี
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบหัวเขา เข้าใจเจตนาของเขาอย่างถ่องแท้
"ได้สิ เ้าอยากเรียนก็เรียนเถอะ แต่ก็อย่าฝืนเกินไปนัก พี่ไม่้าให้เ้าสร้างกฎเกณฑ์กับตนเองสูงเกินไป เพียงแค่เสี่ยวเหล่ยของพวกเราเติบโตอย่างปลอดภัยและมีความสุข พี่สาวก็พอใจแล้วล่ะ"
นางไม่คาดหวังให้น้องชายกลายเป็คนใหญ่คนโต และไม่ปรารถนาให้เขาบีบคั้นตนเองเกินไปด้วย
"อืม ข้าทราบแล้ว ขอบคุณขอรับพี่สาว" เซวียเสี่ยวเหล่ยหลุบสายตาลงซ่อนงำขอบตาที่เริ่มแดง
"เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เสี่ยวเหล่ยเรียนวรยุทธ์กับเหลยลี่ชั่วคราวไปก่อน" เหลียนเซวียนหันไปมองหัวหน้าองครักษ์คนสนิท
เหลยลี่รีบเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวทันที
"เช่นนั้นรบกวนองครักษ์เหลยด้วย" เซวียเสี่ยวหรั่นกล่าวขอบคุณแทนเซวียเสี่ยวเหล่ย
"คุณหนูเซวียเกรงใจไปแล้ว การได้สอนวิชาแก่นายน้อยเซวียถือเป็เกียรติของผู้สกุลเหลยขอรับ"
เหลยลี่ตอบกลับอย่างสุภาพนอบน้อม
แค่ดูการจากจัดการขององค์ชาย ก็มองออกแล้วว่าทรงให้ความสำคัญกับคุณหนูเซวียผู้นี้มากแค่ไหน
เหลยลี่หาใช่คนเบาปัญญา เพียงสังเกตท่าทางขององค์ชายที่มีต่อคุณหนูเซวีย เขาก็สามารถเดาความคิดของพระองค์ได้หลายส่วน
องค์ชายตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก ได้รับการดูแลจากคุณหนูเซวียมากมาย หากคิดจะทดแทนบุญคุณ การตบแต่งคุณหนูเซวียเข้าจวนย่อมเป็วิธีที่ดีที่สุด
เพียงแต่สถานะของนาง อย่าว่าแต่ชายาเอก แม้แต่ชายารองก็ยังหืดขึ้นคอ
เหลยลี่ลอบมองสีหน้าราบเรียบของเ้านายปราดหนึ่ง
ช่างเถิด องค์ชายทรงมีต้นไผ่อยู่ในอก [1] ตนเองไม่จำเป็ต้องตีตนไปก่อนไข้
...
[1] มีต้นไผ่อยู่ในอก เป็ถ้อยคำอุปมาหมายถึงคนที่มีแผนการสมบูรณ์เรียบร้อยในความคิดก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ เฉกเช่นการจะวาดต้นไผ่ ย่อมต้องมีภาพต้นไผ่ที่สมบูรณ์แล้วอยู่ในสมอง