เวลาผ่านไปนานมากแต่อันเจิงก็ยังไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ดังนั้นสมุนไพรที่กองอยู่ข้าง ๆ จึงยังกองอยู่อย่างนั้น ไม่ได้นำมารักษาอาการาเ็เสียที
อันเจิงพยายามลองอีกสองสามครั้ง แต่ก็ยังไร้ผล
แขนของเขาเหมือนกับถูกฉาบด้วยตะกั่วแล้วก็ถูกถ่วงด้วยเหล็กหนักอีกทีมันทั้งหนักและลำบากมากที่จะยกขึ้น
แต่เดิมอันเจิงคิดว่าหลังจากหลอมสมุนไพรรักษาอาการาเ็และพักฟื้นสักระยะหนึ่งแล้วอาการาเ็ของเขาจะค่อย ๆ ดีขึ้น จากนั้นพละกำลังของเขาก็จะกลับคืนมาแต่เห็นทีคงไม่เป็แบบนั้นเสียแล้ว
“เสี่ยวช่าน”
อันเจิงเลียริมฝีปากแห้งผาก “ไปเสียไปจากที่นี่ อยู่ต่อก็มีแต่เอาชีวิตมาทิ้งเท่านั้น”
เ้าแมวร้องออกมาครั้งหนึ่งมันเข้าไปหมอบอยู่ข้าง ๆ อันเจิง แสดงออกชัดเจนว่าไม่จากไป
อันเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ลงไปไม่ได้หรือ?อย่าลืมสิว่าเ้าเป็แมว ไม่มีทางลงไปไม่ได้ เอาละกลับไปที่นิกายเบิก์เสียอย่าได้เอาแต่ขลุกอยู่ที่นี่เลย กับสถานที่ที่เรียกฟ้า...ฟ้าไม่ขานรับ เรียกดิน...ดินไม่ตอบสนองอย่างที่นี่เ้าอย่าได้อยู่นาน เห็นทีเทือกเขาชางหมานคงไม่ใช่ที่ที่ดีสำหรับข้าเท่าไหร่ครั้งที่สองแล้วที่ข้าต้องมายอมจำนนให้กับที่แห่งนี้”
ทันใดนั้นเ้าแมวก็ลุกขึ้นยืนมันร้องเหมียว ๆ หลายครั้ง ก่อนจะะโลงหน้าผาไป
อันเจิงพยายามมองตามไปแต่ติดว่าร่างกายของเขายามนี้ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย แขนขาทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้
เสี่ยวช่านจากไปแล้วตอนนี้เหลือเขาอยู่เพียงลำพัง อันเจิงคล้ายกับจะมองเห็นเทพแห่งความตายขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะ
ท้องฟ้าผันเปลี่ยนจากกลางคืนมาเป็กลางวัน และจากกลางวันกลับไปเป็กลางคืนอีกครั้ง
และเมื่อดวงอาทิตย์ของอีกวันขึ้นแตะขอบฟ้า ดวงตาของอันเจิงไม่มีแรงลืมขึ้นอีกต่อไปสติของเขาเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ แขนขายิ่งนานก็ยิ่งเย็นเฉียบ
อันเจิงนึกเยาะเย้ยให้กับโชคชะตาและตัวของเขาเองทั้งที่มีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงไว้ในทั้งที่กุมตราประทับท้าทาย์ไว้...แต่กลับไม่สามารถใช้ช่วยตัวเองได้เลย!
แม้ลูกประคำโลหิตจะสามารถแบ่งเบาความเ็ปของผู้ที่สวมใส่มันได้ราวหนึ่งส่วนแต่กับความเสียหายของร่างกายอันเจิงในปัจจุบัน มันก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แค่ช่วยยืดชีวิตของเขาให้ยาวนานไปอีกเล็กน้อย
อันเจิงยิ้มขมขื่น เวลาแบบนี้ยังจะมาคิดเื่ไร้สาระอีก
มองย้อนไปยัง่เวลาเก่า ๆตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่ว่าจะในฐานะอันเจิงหรือในฐานะฟางเจิงอันเจิงรู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว เพราะอย่างน้อยก่อนตายเขาก็ได้ทำตามปณิธานได้กำจัดคนเลว ล้างแผ่นดินนี้ให้สะอาดขึ้น
อย่างไรก็ตามความตายครั้งนี้กับครั้งที่แล้วมีจุดต่างที่ใหญ่หลวงอยู่จุดหนึ่งนั่นคือร่างเก่าของเขา หรือก็คือร่างของฟางเจิง แข็งแกร่งกว่าร่างกายในตอนนี้มากระดับการบ่มเพาะก็สูงส่งกว่าไม่รู้กี่เท่าดังนั้นยามที่เขาตายร่างกายจึงช่วยปกป้องจิติญญาเอาไว้ เขาจึงได้มาเกิดใหม่ในร่างอันเจิงอย่างที่เห็น
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันครั้งนี้เขาไม่มีร่างกายที่แข็งแรงคอยปกป้องจิติญญาดังนั้นหากเขาตายครั้งนี้มันจะเป็ความตายที่แท้จริง!
ขณะที่อันเจิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อยและสงสัยว่าทำไมท้องฟ้าวันนี้ถึงได้มืดเร็วนักจู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง เขาทอดสายตามองออกไปทันทีแม้สติจะรางเลือน แต่เขาก็ยังแยกแยะได้ว่าผู้มาเป็ใคร ตู้โซ่วโซ่วเวลานี้อยู่ในสภาพเหงื่อโชกหายใจหอบ ใบหน้าแดงก่ำเพราะความเหนื่อยล้าและวิตกกังวล
ลูกแมวสีขาวราวหิมะซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าะโเข้าหาอันเจิงทันทีก่อนจะร้องเสียงหลงขึ้น มันซบหน้าลงกับอกอันเจิง ครางเบาๆ เหมือนกับกำลังร้องไห้อยู่
อันเจิงเคยช่วยชีวิตมันไว้ ดังนั้นตอนนี้ก็ถึงคราวมันช่วยชีวิตเขาบ้าง
ไม่รู้ว่าสหายน้อยตัวนี้ของเขาผ่านป่าอันตรายกลับไปยังโลกมายาได้อย่างไร!?
“อันเจิงเอ๊ย ตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ว่าแต่เ้าตายหรือยัง?” ตู้โซ่วโซ่วถามด้วยสภาพเหนื่อยหอบ
อันเจิงหรี่ตาลงอาจเพราะตอนนี้เขามีความหวังแล้ว ดังนั้นสายตาจึงกลับมามีประสิทธิภาพดังเดิมเขาสามารถมองเห็นสภาพแปลกประหลาดของตู้โซ่วโซ่วได้อย่างชัดเจน
เรียกว่าเป็อะไรที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับเขาเพราะแขนของตู้โซ่วโซ่วบัดนี้สวมใส่อุปกรณ์พิเศษชนิดหนึ่งอยู่มันมีคุณสมบัติช่วยยึดกระดูกไม่ให้เคลื่อนที่ของสิ่งนี้บอกได้เลยว่าทำออกมาได้ประณีตมาก ๆ
“ถ้าตายแล้วข้าจะได้รีบกลับไปรายงานทุกคนยุบนิกายเบิก์ทิ้งเสีย สมบัติแบ่งให้เท่า ๆ กันแล้วกระจายแจกจ่ายให้ครบจากนั้นบ้านใครบ้านมัน กลับไปหาบิดามารดาตัวเอง”
ตู้โซ่วโซ่วโกยลมหายใจเข้าปอดสาปแช่งไปด้วยผูกร่างอันเจิงให้ติดกับหลังของตัวเองไปด้วย “อยู่ดีไม่ว่าดีวิ่งมาหาที่ตายแต่จากที่เห็นเ้าตอนนี้ ดูเหมือนเ้าจะใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลยนี่ได้แช่น้ำท่ามกลางธรรมชาติบนยอดเขาสูง มีแสงจันทร์และแสงอาทิตย์เคียงข้างปลอบโยนบอกเลยว่านับแต่โบราณกาลมา เ้าเป็คนแรกที่ได้ััประสบการณ์เช่นนี้”
อันเจิงยกยิ้มโง่งมฟังคำเสียดสีของตู้โซ่วโซ่วด้วยหัวใจเปี่ยมสุข
แขนของตู้โซ่วโซ่วถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องแม้ภายนอกเขาจะสวมอุปกรณ์พิเศษสำหรับป้องกันการเคลื่อนตัวของกระดูกแต่อาการาเ็ของเขาเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันและยังไม่หายดี ดังนั้น การเคลื่อนไหวที่มากเกินไปอย่างเช่นตอนนี้จึงทำให้เขาเจ็บกระดูกมาก
เหงื่อไม่น้อยไหลลงมาจากหน้าผากของเขาส่วนหนึ่งมาจากความเหนื่อยล้า แต่มากกว่าครึ่งล้วนมาจากอาการเ็ป
อย่างไรก็ตาม ตู้โซ่วโซ่วทำเพียงกัดฟันแน่นไม่พูดหรือบ่นอะไรออกมาสักคำ
ผูกร่างอันเจิงไว้บนแผ่นหลังเสร็จเขาก็ผูกปลายเชือกด้านหนึ่งกับต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาแล้วค่อย ๆ ไต่หน้าผาลงมา
อันเจิงมองลงไปเห็นชวีหลิวเอ๋อกับผู้เฒ่าฮั่วยืนรออยู่ด้านล่างของหน้าผา
“แขนเ้า...” อันเจิงพูดด้วยน้ำเสียงเบา
ตู้โซ่วโซ่วกลับแค่นเสียงใส่ด้วยความเ็า“ดีกว่าเ้าเยอะ อย่างมากก็เจ็บแค่ที่แขนไม่เหมือนเ้าที่ไก่ตัวหนึ่งตอนนี้ยังไม่มีปัญญาฆ่าด้วยซ้ำ”
อันเจิงหัวเราะแหะ ๆ “เ้า...รู้ได้อย่างไร?”
“ข้ามีตาทิพย์กระมัง!...มารดามันเถอะไอ้หนูของเ้าบวมเสียขนาดนั้นไม่เจ็บได้หรือ?”
“เ้า...ช่วยสังเกตจุดอื่นแทนได้หรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วคร้านจะสนใจเขาอีกแค่ใช้สมาธิในการปีนหน้าผาลงมาก็ลำบากจะแย่ยังต้องมาหัวเสียกับไอ้สหายบ้าที่ผูกอยู่ด้านหลังอีกทันทีที่ลงมาถึงพื้นความเ็ปก็แล่นไปทั่วร่างตู้โซ่วโซ่วทันที
ผู้เฒ่าฮั่วยื่นมือออกไปช่วยพริบตาที่ได้เห็นสภาพของอันเจิง ชายชราก็อดไม่ได้ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ถ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหลายชั่วโมงเกรงว่าแม้แต่เทพเซียนบน์ก็คงช่วยเ้าไม่ได้แล้ว”
“เทพเซียนบอกข้าว่า ข้ามีสหายดีคอยช่วยเหลือดังนั้นไม่จำเป็ต้องร้องขอความเมตตาจากเขา” อันเจิงกล่าว
ชวีหลิวเอ๋อดวงตาแดงก่ำมองดูอันเจิงในสภาพไร้เรี่ยวแรง ในที่สุดก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
นางรีบควานหายารักษาที่นางและตู้โซ่วโซ่วนำติดตัวมาด้วยหลังจากหาพบแล้วก็รีบใช้มันกับอันเจิงทันที ไม่สนเลยว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า
ผู้เฒ่าฮั่วสร้างแคร่เล็ก ๆ อันหนึ่งขึ้นให้อันเจิงนั่งโดยมีตู้โซ่วโซ่วช่วยแบก ตลอดเส้นทางผู้เฒ่าฮั่วถอนหายใจไม่หยุดเอาแต่ตัดพ้อตัวเองว่า หากเขาไม่พิการเช่นนี้คงได้ช่วยตู้โซ่วโซ่วแบกไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เด็กอย่างเขาต้องมารับภาระเช่นนี้ตามลำพังแน่
อย่างไรก็ตาม ตู้โซ่วโซ่วมิได้ติดใจถึงเพียงนั้นเขาทำเพียงส่ายหัวพลางพูด “ท่านก็อย่าได้คิดมากไปเลยที่เขาเป็แบบนี้ก็เพราะเข้ามาหายารักษาข้า ดังนั้นข้าไม่ลำบากหรอกขอรับ”
“ถูกต้อง ๆเ้าไม่ลำบากหรอกเพราะเ้าไม่เคยต้องใช้ขี้ทาตัวเหมือนข้า” อันเจิงกล่าว
ตู้โซ่วโซ่วฟังแล้วหมั่นไส้ไม่น้อย พูดว่าตราบใดที่เ้าไม่ตายกลับไปข้าจะใช้ขี้อาบน้ำให้ดู
ต้องบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของชวีหลิวเอ๋อนั้นดีจริง ๆ ยาที่เอามาสามารถใช้รักษาอาการาเ็ของอันเจิงได้ชะงัดนักหลังจากผ่านไปสองวัน อาการาเ็ของอันเจิงไม่มีวี่แววเลวร้ายลงในทางตรงกันข้ามกลับดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย รอจนกระทั่งกลับไปถึงโลกมายาอย่างน้อยที่สุดอันเจิงก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูดแล้ว อย่างไรก็ตาม สีหน้าเขายังคงดูซีดเซียวมากในเวลาเพียงไม่กี่วันน้ำหนักของเขาก็ลดลงไปหลายกิโลกรัม น่าแปลก...ทั้งที่ตู้โซ่วโซ่วก็าเ็หนักเหมือนกันแต่น้ำหนักของเขาดูไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
เมื่อกลับมาถึงนิกายเบิก์ก็เป็เวลาสายมากแล้ว
เสี่ยวชีเต้าเห็นอันเจิงกลับมาเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับร้องไห้โฮ “พี่ชายอันเจิง ท่านเจ็บมากหรือไม่?”
อันเจิงพูดปลอบ “พี่ชายไม่เจ็บพี่ชายแค่เหนื่อยเท่านั้น”
หลังจากเข้าไปในห้องอันเจิงก็หยิบสมุนไพรออกมามากมาย จากนั้นก็อธิบายถึงสถานการณ์ที่เขาได้ไปประสบพบเจอมาแบบย่อๆ
ผู้เฒ่าฮั่วจ้องไปที่สร้อยลูกประคำบนข้อมืออันเจิงตาไม่กะพริบ สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
อันเจิงรู้ว่าผู้เฒ่าฮั่วต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่ ๆเพียงแต่ตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าทุกคน ดังนั้นเขาจึงไม่สะดวกใจที่จะพูดมันออกมา
ด้วยจำนวนของสมุนไพรที่เพียงพอไม่นานชวีเฟิงจื่อและชวีหลิวเอ๋อทั้งคู่ก็เริ่มยุ่งขึ้นมา การรักษาาแสำหรับพวกเขาไม่ใช่งานยากอีกต่อไป
ตู้โซ่วโซ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกอันเจิงนอนอยู่บนเตียง ทั้งคู่ทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าแต่ก็ยังมิวายมองหน้ากันแล้วพากันยิ้มโง่ ๆ
“หยุดยิ้มได้หรือไม่ รอยยิ้มเ้าน่าเกลียดเสียจริง”อันเจิงพูด
ตู้โซ่วโซ่วเบะปาก “คิดว่าเ้าในตอนนี้หล่อเหลานักหรือ?บัดซบเอ๊ย หากไม่ใช่เพราะหัวเราะแล้วมันจะทำให้ข้าเจ็บ ข้าคงหัวเราะไปนานแล้วไม่มาฝืนอยู่แบบนี้หรอก”
ชวีหลิวเอ๋ออดไม่ได้กลอกตามองทั้งคู่ “สภาพแบบนี้แล้วพวกเ้ายังจะมีอารมณ์มาตลกอยู่อีก”
ตู้โซ่วโซ่วตอบกลับ “หลิวเอ๋อน้อยนี่เรียกว่าวิถีชีวิตเข้าใจหรือไม่? ในเมื่อหัวเราะก็วันหนึ่งร้องไห้ก็วันหนึ่งไยไม่ให้ศัตรูร้องไห้ส่วนพวกเราหัวเราะเล่า? อ๊ะ ๆดูสิคำพูดของข้าช่างเป็ปรัชญาเสียจริง ได้โปรดอย่าได้คลั่งไคล้ข้ามากแล้วก็อย่ามาหลงใหลข้า เพราะข้าไม่สนใจสาวน้อยหุ่นแบนแบบนี้...ข้าสนเพียงแต่พี่สาวผิวขาวหุ่นอวบอึ๋มเท่านั้นเป็อันว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ”
ชวีหลิวเอ๋อมองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่าจงใจออกแรงขณะพันแผลให้มากขึ้น ตู้โซ่วโซ่วเจ็บมากจนต้องร้องออกมาดัง ๆ “เ้ากำลังแก้แค้นข้าอยู่สินะ?”
“ไม่ใช่เสียหน่อย กระดูกเ้าแหลกหมดแล้วข้าเลยต้องเชื่อมมันให้ใหม่”
ตู้โซ่วโซ่วชะงักค้าง “เ้าเห็นแขนข้าเป็ยางหรืออย่างไรถึงได้อยากบีบก็บีบอยากขยำก็ขยำแบบนี้?”
ชวีหลิวเอ๋อตอกกลับเสียงแข็ง “หรือจะให้ข้าทิ้งไว้ไม่ต้องบีบแล้วจากนั้นปล่อยให้มันห้อยโตงเตงบิดงอเป็ขาแมงมุม จะเอาแบบนั้นหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วเม้มปากแน่น คิดอยู่ครู่หนึ่งแขนของเขาตอนนี้สภาพน่าเกลียดมากจริง ๆ ไม่มีทางเลือกคงได้แต่ต้องทนเจ็บแล้ว
ชวีหลิวเอ๋อช่วยยึดแขนให้ตู้โซ่วโซ่วเสร็จ ก็หันไปเปลี่ยนยาให้อันเจิงต่อ
แม้นางจะยังเด็กอีกทั้งยังต้องสวมชุดผู้ชายปิดบังเพศสภาพอยู่เสมอแต่ใบหน้าของนางเนียนละเอียดยิ่งนัก ยิ่งมองผ่านแสงไฟใบหน้าหวานนี้ก็ยิ่งน่ามองมากขึ้น
อันเจิงคิดในใจหากชวีหลิวเอ๋อเปลี่ยนมาใส่ชุดผู้หญิงนางจะต้องงดงามมากแน่
“อันเจิง ผู้เฒ่าฮั่วสุดยอดมากจริง ๆ”
ตู้โซ่วโซ่วคิดอยากยกนิ้วหัวแม่โป้งให้แต่ก็ล้มเหลว“แกล้งทำเป็อ่อนแอ แต่ที่แท้วรยุทธ์ของเขานั้นสุดยอดไปเลยตอนที่เห็นเสี่ยวช่านกลับมาพวกเราก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเื่ขึ้นกับเ้าแน่ ๆอันที่จริงก่อนหน้านี้ชวีหลิวเอ๋อกับชวีเฟิงจื่อได้ออกไปค้นหาเ้าแถว ๆรอบเมืองก่อนแล้ว ติดตรงที่หาอย่างไรก็หาไม่พบ ผ่านไปสามวันพวกเราเลยเดากันว่าเ้าต้องเข้าไปในส่วนลึกของป่าแน่ ๆแต่เนื่องจากพวกเราไม่มีเบาะแสของเ้าเลย ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าจะไปตามเ้าที่ไหน”
“ในตอนนั้นแหละที่เสี่ยวช่านกลับมาพอดีพวกเรารู้เลยว่าต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นกับเ้า แต่เ้าก็รู้ว่าในนิกายแห่งนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีเพียงข้าเท่านั้น ตอนนั้นเองที่จู่ ๆผู้เฒ่าฮั่วก็เดินออกไปแล้วหยิบของบางอย่างกลับมา ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำเขาก็สร้างอุปกรณ์ยึดกระดูกขึ้นมาจนเสร็จ”
อันเจิงแอบกล่าวกับตัวเองในใจผู้เฒ่าฮั่วเป็ถึงปรมาจารย์นักหลอมอาวุธจากหอสถิตดารา ฝีมือสูงส่งเลิศล้ำกะอีแค่หลอมอุปกรณ์ยึดกระดูกแค่นี้ไม่คณามือเขาแน่ แต่ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าฮั่วไม่ได้เล่าประวัติของตัวเองให้กับพวกตู้โซ่วโซ่วฟังจากปากดังนั้นอันเจิงจึงไม่กล้าเปิดเผยให้พวกเขาได้รู้บางครั้งบางทีการเก็บเื่บางอย่างไว้เป็ความลับก็ไม่ใช่เื่ง่ายโดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าสหายสนิท ยิ่งเป็อะไรที่ลำบากพอควรเพราะเขาอาจเผลอพูดมันออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
ความลับของผู้อื่นเป็อะไรที่รั่วไหลออกไปได้ง่ายเสมอยามเผลอไผล แต่อันเจิงไม่ใช่คนแบบนั้นเขามีคุณธรรมพอ
ชวีหลิวเอ๋อหลังจากใส่ยาและทำแผลให้อันเจิงเรียบร้อยแล้วนางก็เดินไปค้นเสื้อผ้ามาให้อันเจิงใส่ ตู้โซ่วโซ่วที่อยู่ด้านข้างได้ทีออกปากแซวยกใหญ่“สาวน้อยคนหนึ่งอุตส่าห์ทำเพื่อเ้ามากขนาดนี้เห็นทีอีกหน่อยคงแต่งให้ใครไม่ได้อีก อันเจิง พวกเราต้องทำตัวให้สมกับเป็สุภาพบุรุษอย่าได้เล่นแง่ ดังนั้นชวีหลิวเอ๋ออีกหน่อยก็เป็ผู้หญิงของเ้าแล้วเ้าต้องดูแลปกป้องนางให้ดี อย่าได้รังแกนาง หากเ้ารังแกนางข้าจะอัดเ้าซะ”
อันเจิงยิ้มขื่น ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเขาเองก็รู้สึกว่าชวีหลิวเอ๋อน่ารักมาก แต่อายุของเขากับนางจะห่างกันเกินไปหน่อยหรือไม่...อย่างไรก็ตามจุดนี้อันเจิงถามออกไปไม่ได้จริงๆ
ชวีหลิวเอ๋อหน้าแดงก่ำหลังจากสวมเสื้อผ้าให้อันเจิงเสร็จนางก็ลุกขึ้นแล้วเตะใส่ตู้โซ่วโซ่วแรง ๆ หนึ่งครั้งจากนั้นแค่นเสียงแล้ววิ่งออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว
“เมียเ้าเตะข้า!” ตู้โซ่วโซ่วฟ้อง
อันเจิงถลึงตาจ้องเขานิ่ง “หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้วชวีหลิวเอ๋อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เ้าล้อนางแรงแบบนี้นางจะทนไหวได้อย่างไร เ้ากับข้าต่างเป็ผู้ชายเื่แบบนี้จึงนำมาล้อเล่นได้ไม่เป็ปัญหา แต่นางเป็ผู้หญิงจิตใจของผู้หญิงบอบบางและละเอียดอ่อนนัก ไม่แน่คำพูดเล่น ๆ คำหนึ่งของเ้า อาจทำให้นางมีแผลในใจติดตัวไปตลอดชีวิตก็เป็ได้”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้ารัว “ได้ ๆ ๆข้าจำใส่ใจไว้แล้ว แต่ว่าเ้ากับนางเหมาะสมกันมากจริง ๆ นะ ล้วนหุ่นดี...จริงสิอันเจิงจะว่าไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเ้าระหว่างที่อยู่ในเทือกเขาชางหมานกันแน่ ไยเ้าถึงาเ็สาหัสเพียงนี้”
อันเจิงบอกเล่าเื่ราวทั้งหมดคร่าว ๆอีกครั้ง แต่จงใจละเว้นเื่ซากศพในหุบเขาสมุนไพรเอาไว้ เขาพูดเพียงแต่ว่า ตัวเองบังเอิญไปเจอสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่งและเก็บสมบัติวิเศษได้จากที่นั่นจากนั้นจึงใช้มันบรรจุสมุนไพรทั้งหมดแล้วนำออกมา ตอนออกมาจากถ้ำ เขาก็ดันไปเจอเข้ากับอินทรีลมกรดโดยบังเอิญแล้วถูกมันไล่ฆ่านั่นจึงเป็ที่มาของาแทั้งหมดบนตัว
ไม่ใช่ว่าอันเจิงไม่เชื่อใจตู้โซ่วโซ่วและคนอื่นๆ แต่เขาได้ให้สัญญากับผู้าุโท่านนั้นเอาไว้แล้วว่า จะไม่บอกใครและจะไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของเขายังมีโลงแก้วเจียระไน อาวุธและสมบัติวิเศษระดับสีม่วงบนซากศพทั้งเจ็ดหากเื่นี้แพร่งพรายออกไปถึงหูคนภายนอก จะต้องนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่พวกเขาแน่เผลอ ๆ อาจได้ตายแบบไม่เหลือศพให้ฝังด้วยซ้ำ
ตู้โซ่วโซ่วแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็คนปากไวใจเร็วสักวันคงได้หลุดปากพูดออกไป และเมื่อใดก็ตามที่เื่นี้หลุดออกไป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงได้เกิดเื่เลวร้ายตามมาแน่
แม้อันตรายทั้งหลายจะถูกบอกเล่าราวกับเป็เพียงเื่เล็ก ๆ ที่ผ่านพ้นไปแต่ตู้โซ่วโซ่วฟังแล้วก็ยังอดหน้าถอดสีไม่ได้ “บัดซบ...นั่นมันสัตว์อสูรระดับกลางเลยนะถ้าเทียบกับคนอย่างต่ำก็มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าขอบเขตสุมารุไปมากเจอตัวแบบนั้นไล่ฆ่า แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในโลกมายาแห่งนี้ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเอามันอยู่”
อันเจิงส่ายหน้า “อย่าได้ดูถูกโลกมายามากเกินไปที่นี่มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย แค่พวกเขาไม่แสดงตัวออกมาให้ใครเห็นก็เท่านั้น”
ที่อันเจิงคาดการณ์แบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากเหตุการณ์คลื่นั์ถล่มในเทือกเขาชางหมานเมื่อไม่กี่วันก่อนในเทือกเขาชางหมานวันนั้นประหนึ่งอสุรกายถล่มก็มิปาน แต่โลกมายาแห่งนี้กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ปกติเอามาก ๆ
หากมีคนมาพูดกับเขาว่า ไม่มีผู้ใดออกไปหยุดยั้งมันไว้ทั้งนั้นอันเจิงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
ในเวลานี้เอง จู่ ๆผู้เฒ่าฮั่วก็เดินเข้ามาจากทางด้านนอก เขามองสร้อยลูกประคำบนข้อมืออันเจิงหนึ่งครั้งก่อนจะหันไปหาตู้โซ่วโซ่วแล้วไล่เขาออกไป “เ้าอ้วน เ้าออกไปก่อนข้ามีธุระต้องคุยกับอันเจิงตามลำพัง”
ตู้โซ่วโซ่วลุกขึ้นยืน “รับบัญชาขอรับท่านผู้เฒ่าท่านสั่งสอนเขาให้มาก ๆ ให้รู้เสียบ้างว่าอีกหน่อยจะทำอะไรก็ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดีอย่าได้บุ่มบ่ามมุทะลุแบบนี้อีก เป็ถึงท่านผู้นำนิกาย แต่กลับแอบหนีออกจากนิกายตัวเองไปโดยไม่บอกกล่าวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน และหากเขายังไม่สำนึกอีก ข้าแนะนำให้ท่านตอนเขาทิ้งได้เลย”
อันเจิงสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินคำว่าตอนจากปากตู้โซ่วโซ่ว “ั้แ่กลับมาเ้าก็เอาแต่คิดจะตอนข้าเพราะเหตุใดกัน!”
ตู้โซ่วโซ่วเงียบกริบใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นในพริบตา กัดฟันตอบไปด้วยอารมณ์ยากจะบรรยาย “เพราะของเ้ามันใหญ่กว่าข้า”
ดวงตาอันเจิงเลื่อนลอยไปชั่วขณะก่อนจะพูดด้วยท่าทีจริงจังอย่างถึงที่สุด “ข้าช่วยทำให้มันบวมดีหรือไม่?”
“ไสหัวไปซะ!” พูดจบ ตู้โซ่วโซ่วก็เดินออกนอกห้องไป