หลังจากผู้เฒ่าฮั่วเดินเข้ามาก็มีทีท่าลังเลอย่างเห็นได้ชัดคล้ายกับกำลังคิดหนักว่าจะเอ่ยถามอย่างไรดี หลังจากที่ช่วยอันเจิงออกมาจากเทือกเขาชางหมานได้แล้วเขาก็เป็แบบนี้ตลอด เหมือนกับมีเื่ทุกข์ในใจ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนลังเล
“ผู้าุโ มีเื่อะไรท่านก็ถามมาตรง ๆเถิด”
อันเจิงพยายามหยัดตัวขึ้นนั่ง “ข้ารอฟังอยู่”
ผู้เฒ่าฮั่วมองอันเจิงสลับกับมองสร้อยลูกประคำบนข้อมือของเขาหลายครั้ง
“อันเจิง...รู้หรือไม่ว่าที่ใส่อยู่บนข้อมือเ้านั้นคือสิ่งใด?”
อันเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง “ข้าได้มาโดยบังเอิญขอรับลูกประคำพวกนี้คล้ายกับมีจิติญญาเป็ของพวกมันเองมันสามารถบอกกับเ้าของผู้สวมใส่ได้ว่า ตัวมันมีคุณสมบัติอย่างไรข้าถึงได้รู้ว่ามันมีชื่อเรียกว่าสร้อยลูกประคําโลหิตเป็สมบัติวิเศษระดับสีม่วงขั้นสูง ผู้าุโท่านก็รู้จักของสิ่งนี้เช่นกันหรือ?”
ผู้เฒ่าฮั่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับอันเจิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่มันจริง ๆ ด้วย เป็สร้อยลูกประคําโลหิตจริงๆ ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงมันมาก่อนแต่ไม่เคยเห็นกับตา ถ้าหากเ้าไม่ว่าอะไรบอกรายละเอียดของมันให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้าอยากให้เ้าเชื่อใจข้า เพราะเื่นี้เกี่ยวพันถึงความเป็ความตายของเ้าด้วย”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าที่ผู้เฒ่าฮั่วแสดงออกมาเลวร้ายเพียงใดในใจของอันเจิงก็เต็มไปด้วยความหดหู่ อย่างไรก็ตาม เขายังคงละเื่ซากศพพวกนั้นไว้ไม่ได้เล่าออกไปทั้งหมดอันเจิงพูดเพียงแต่ว่า เขาได้เข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่งภายในหุบเขาแห่งนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่ามากมาย กลางสวนมีกระท่อมมุงจากเล็ก ๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ เขาเดินเข้าไปในกระท่อมแล้วก็พบสร้อยลูกประคําโลหิตที่นั่นรู้สึกว่ามันสวยดีจึงได้ลองหยิบขึ้นมาสวมดูแต่พอสวมเข้าไปมันก็รับเขาเป็เ้านายทันที อยากจะถอดก็ถอดไม่ออกแล้ว
ผู้เฒ่าฮั่วฟังจบสีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาหน่อย“แค่เ้าเก็บได้เอง ไม่ใช่ผู้อื่นมอบให้ก็ดีมากแล้ว”
อันเจิงฟังแล้วก็หัวใจสั่นสะท้านกระนั้นใบหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม “หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
ผู้เฒ่าฮั่วเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่างนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบกลับมา “เกี่ยวกับสร้อยลูกประคําโลหิต จริง ๆแล้วยังมีเื่เล่าถึงความโหดร้ายของมันอยู่ ตามตำนานว่ากันว่า มันไม่ใช่สิ่งของบนโลกมนุษย์แต่มาจากนรก ตอนที่ข้ายังอยู่ที่หอสถิตดาราเคยอ่านบันทึกโบราณเกี่ยวกับศาสตราวุธยุคามามากมาย หนึ่งในนั้นกล่าวถึงที่มาของสร้อยลูกประคําโลหิตไว้ว่าสร้อยลูกประคําโลหิตคือสมบัติวิเศษที่มีต้นกำเนิดมาจากต้นผูถีต้นหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่ท่ามกลางแอ่งโลหิตในนรกที่หลอมรวมหยาดโลหิตจำนวนมาก”
“วันหนึ่งมีผู้ฝึกตนตบะแกร่งกล้าผู้หนึ่งเผลอหลุดเข้าไปในแดนนรกทันทีที่เขาเห็นต้นผูถีและััได้ว่ามันน่าอัศจรรย์เพียงใดเขาก็เด็ดกิ่งมันออกมาแล้วนำมาหลอมเป็อาวุธวิเศษทันทีบังเกิดเป็สร้อยลูกประคำโลหิตอานุภาพสะท้านฟ้า”
“แต่หลังจากผู้ฝึกตนผู้นี้กลับขึ้นมายังโลกมนุษย์เื่ร้ายก็พลันเกิด เขาถูกตามล่าสังหารโดยศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่นานก็ถูกปลิดชีพลงภายหลังลูกหลานของเขาเป็ผู้สืบทอดมรดกชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครที่ได้ถือครองสร้อยลูกประคำโลหิตล้วนไม่ตายดีทั้งสิ้นตระกูลของเขาทั้งตระกูลก็จบสิ้นลงด้วยประการฉะนี้”
“เพราะเหตุใดกัน?” อันเจิงถาม
“ตามบันทึกโบราณว่ากันว่าสร้อยลูกประคำโลหิตเส้นนี้ชั่วร้ายเป็อย่างมากเพราะมันถูกหล่อเลี้ยงขึ้นมาจากเื ดังนั้นหากมันเลือกเ้านายเ้านายของมันจะถูกบังคับมอบเืให้แก่มันไปโดยปริยาย เ้าบอกว่าหลังจากเ้าสวมมันมันก็ดูดเืเ้าไปทันที...เห็นทีตำนานนี้คงจะเป็จริงแน่แล้ว”
“เนื่องจากสร้อยลูกประคำโลหิตเป็ของวิเศษที่จำต้องได้รับเืเพื่อหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่องดังนั้นผู้ที่สวมใส่มันก็จะถูกสูบพลังออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกันหากสุดท้ายผู้สวมใส่ไม่สามารถรักษาพละกำลังความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ได้ก็จะถูกมันสูบเืสูบเนื้อไปจนหมด กลายเป็เพียงซากศพแห้ง ๆ ศพหนึ่ง”
ฟังถึงตรงนี้หัวใจของอันเจิงก็พลันหนักอึ้ง อดไม่ได้นึกถึงสภาพศพของผู้าุโท่านนั้น
ผู้เฒ่าฮั่วกล่าวต่อ “นี่ก็แค่กรณีที่เ้าได้มาเองโดยไม่มีผู้ใดมอบให้ซึ่งนับว่าดีไม่น้อยแล้ว แต่หากเ้ารับมันมาจากผู้อื่น นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าหายนะอย่างแท้จริงเพราะผู้ถือครองคนก่อนจะลงคำสาปไว้ก่อนที่เขาจะตาย ทันทีที่ผู้ถือครองคนใหม่สวมใส่และให้เืแก่มันคำสาปทั้งหมดจะเริ่มต้นทันที ตอนนี้ไม่เพียงต้องใช้เืของตัวเองเพื่อหล่อเลี้ยงลูกประคำโลหิตเท่านั้นแต่ยังต้องใช้เืหล่อเลี้ยงผู้ถือครองคนก่อนด้วย หรือก็คือต้องใช้เืตนเองหล่อเลี้ยงศพแห้งนั่นเอง”
“เมื่อผู้ถือครองคนก่อนได้รับพลังมากพอเขาจะค่อย ๆ ฟื้นคืนขึ้นมาจากความตาย นี่คือคำสาปอันตรายที่ติดตัวมาของสร้อยลูกประคำโลหิตบันทึกโบราณกล่าวเอาไว้ว่า คำสาปนี้เป็ศาสตร์ต้องห้ามที่คิดค้นขึ้นมาโดยท่านผู้เป็ราชันแห่งแดนนรกไม่ว่าผู้ใดก็ตาม หากสวมใส่มันก็ต้องใช้เืของตัวเองเลี้ยงมันด้วย”
หัวใจของอันเจิงตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีเขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองถูกซากศพนั่นวางแผนใส่ถึงแม้จะรู้สึกว่าศพนั้นแปลกอยู่ไม่น้อย แต่บางทีอาจจะเป็อย่างที่ผู้เฒ่าฮั่วว่า ซากศพแห้งๆ นั่นคง้าอาศัยเขาเพื่อคืนชีพ
อย่างไรก็ตามอันเจิงยังอดคิดในแง่ดีไม่ได้ตอนที่เขาพบศพนั้นสร้อยเส้นนี้ไม่ได้อยู่บนตัวศพ อีกทั้งสภาพของสร้อยแตกต่างจากสร้อยลูกประคำโลหิตตอนนี้อย่างสิ้นเชิงตอนนั้นมันเป็เพียงสร้อยคอเส้นยาวคล้ายเครื่องประดับทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่ใช่สร้อยข้อมือแบบนี้แน่ๆ น่าจะเป็ความบังเอิญมากกว่า?
อันเจิงพยายามปลอบใจตัวเองแต่กลับพบว่าทำไม่ได้ เื่นี้มีจุดบังเอิญหลายจุดมากจนเกินไป ผู้เฒ่าฮั่วไม่รู้ว่าเขาได้เจอกับซากศพมาก่อนดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็ที่จะต้องสร้างเื่โกหกแบบนี้ขึ้นมาหลอกเขา
ชาติภพก่อนอันเจิงเคยดำรงตำแหน่งเป็ถึงผู้าุโสูงสุดของกรมตุลาการแน่นอนย่อมต้องเคยพบเจอเื่อัศจรรย์ต่าง ๆ มามาก กับเื่อาวุธวิเศษ เขาค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าตนเองมีความรู้มากในด้านนี้ทว่าเท่าที่เห็นในวันนี้ ชัดเจนแล้วว่าตัวเขาด้อยกว่าคนของหอสถิตดาราอย่างผู้เฒ่าฮั่วมากยิ่งหากพูดถึงความเชี่ยวชาญในด้านงานหลอม ตัวเขายิ่งไม่มีทางสู้ได้เหมือนกับเขาในสมัยก่อนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดและเป็ผู้มากฝีมือในด้านการต่อสู้ผู้เฒ่าฮั่วเองก็เป็บุคคลทรงคุณค่าในด้านอาวุธวิเศษเหมือนกันความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่ออาวุธวิเศษ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะมาเทียบเคียงได้เลย
“ต่อไปเ้าก็ระวังให้มากหน่อย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งผู้เฒ่าฮั่วก็พูดขึ้น “ถ้าหาก...ถ้าหากวันหนึ่งเ้าเกิดรู้สึกว่าเืในกายของเ้าอยู่ในสภาวะขาดแคลนร่างกายอ่อนล้าอยู่เสมอ เ้าต้องรีบเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเพราะลูกประคำโลหิตจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อระดับการบ่มเพาะของผู้สวมใส่เพิ่มมากขึ้นแน่นอนว่าปริมาณเืที่มันสูบไปก็จะมากขึ้นด้วย ยิ่งถ้ามีคำสาปของผู้ถือครองคนก่อนติดมาอัตราการสูญเสียเืก็จะยิ่งมากขึ้นเป็เท่าทวี”
อันเจิงพยายามถามอย่างใจเย็นที่สุด “มีวิธีแก้หรือไม่ขอรับ?”
ผู้เฒ่าฮั่วมองที่อันเจิงพลางพูด “ไม่มี ต่อให้เ้าตัดแขนแล้วโยนสร้อยลูกประคำโลหิตไปยังอีกฟากหนึ่งของโลกมันก็จะยังดูดเืของเ้าได้ทุกเวลาทุกขณะอยู่ดีไม่เกี่ยวว่าสร้อยลูกประคำเส้นนี้จะสวมอยู่บนตัวเ้าหรือไม่หรือจะอยู่ห่างจากเ้ามากขนาดไหน ระยะทางไม่ใช่ปัญหาสำหรับมันนับจากวินาทีนั้นที่มันดื่มเืของเ้าพันธสัญญาระหว่างมันกับเ้าก็ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว...ตัดไม่ขาดอีกตลอดชีวิตนอกเสียจากว่าเ้าจะถูกมันสูบเืจนหมดกลายเป็ศพแห้งศพหนึ่งมันถึงจะยอมปล่อยมือแล้วไปหาผู้ถือครองคนใหม่”
“แล้วก็ยังมีอีก”
ผู้เฒ่าฮั่วหยุดไปครู่หนึ่ง มองอันเจิงอย่างให้กำลังใจแล้วกล่าวอย่างหมดแรง“รีบยกระดับการบ่มเพาะของเ้าเสียหมั่นรักษาเืในกายให้พร้อมและอยู่ในสภาวะที่เพียงพอต่อความ้าของมันเสมอกล่าวคืออัตราในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเ้าจะต้องเร็วกว่าสร้อยลูกประคำโลหิต!ตราบใดที่เ้าสามารถตอบสนองความ้าโลหิตของมันได้โดยไม่ทำให้ร่างกายตัวเองเสียหายนั่นถึงจะเรียกว่าวิเศษ จะว่าไปก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งวิธีนี้ต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเ้าไม่กระเตื้องขึ้นเ้าก็ยังรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้”
“วิธีใดหรือขอรับ?”
“รักษาระดับการบ่มเพาะของเ้าให้เป็เช่นนี้ต่อไปตราบใดที่เ้าไม่พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ระดับความ้าของลูกประคำโลหิตต่อเืของเ้าก็จะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแน่นอนนี่คือในกรณีที่ไม่มีคำสาปของผู้ถือครองคนก่อน หากมีเ้าก็จะยังถูกสูบเืออกไปจนแห้งตายอยู่ดีอันเจิงตอบข้ามาตามตรง เ้าได้เห็นศพแห้งอยู่ใกล้ ๆ ลูกประคำโลหิตหรือไม่?”
“ไม่เห็นขอรับ”
ผู้เฒ่าฮั่วจ้องอันเจิงอย่างหาคำตอบประกายความสงสัยวิ่งผ่านดวงตาไป ในที่สุดจึงถอนหายใจออกมาช้า ๆ “ไม่มีก็ดีแล้วเ้าดูแลตัวเองด้วย ในเมื่อไม่สามารถถอดสร้อยลูกประคำโลหิตออกจากข้อมือได้ทางเดียวคือต้องรักษาระดับการบ่มเพาะของเ้าให้ดี แบบนี้ความ้าโลหิตของมันจากเ้าอาจจะไม่มากนัก”
อันเจิงฝืนยิ้ม “บางทีอัตราในการเพิ่มความแข็งแกร่งของข้าอาจจะเร็วกว่าสร้อยลูกประคำโลหิตก็เป็ได้”
ผู้เฒ่าฮั่วเงียบไปนานผ่านไปครู่ใหญ่จึงหมุนตัวแล้วเดินจากไป
อันเจิงรู้ว่าผู้เฒ่าฮั่วไม่อาจสรรหาคำใดๆ มาปลอบใจเขาได้ ด้วยศักยภาพในการบ่มเพาะเพียงแค่ครึ่งดาราอย่างเขา จะเอาอะไรไปยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากและรวดเร็วยิ่งกว่าสร้อยลูกประคำโลหิต?
ก็เป็ได้แค่ความคิดเพ้อฝันเท่านั้น
หลังจากที่ผู้เฒ่าฮั่วจากไปได้พักใหญ่อันเจิงก็เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขารู้ว่าผู้เฒ่าฮั่วไม่ได้โกหกเขาเพราะมันไม่มีความจำเป็เลยที่จะต้องทำอะไรแบบนั้นอันเจิงไม่มีทางสงสัยชายชราที่ยอมสละสมบัติล้ำค่าอย่างตราประทับท้าทาย์ ยอมมอบสมบัติวิเศษระดับสีม่วงให้กับเขาเช่นเดียวกับที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่า ซากศพของผู้าุโท่านนั้นพยายามดูดเืเขาเพื่อใช้ในการคืนชีพ
หรือต่อให้เป็เช่นนั้นจริงแล้วจะอย่างไร?
อันเจิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ให้สงบลง
ผู้าุโท่านนั้นได้มอบสมบัติวิเศษระดับสีม่วงให้กับเขาทั้งยังให้สวนสมุนไพรล้ำค่าอีกหลายร้อยไร่ ส่วนเขาใช้เืของตัวเองเพื่อเป็การแลกเปลี่ยนแบบนี้ก็ยุติธรรมดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำสาปที่ติดมากับสร้อยลูกประคำโลหิตไม่มีทางทำลายลงได้แทนที่จะมานั่งคิดมากหวาดกลัว มิสู้ใช้ของที่ได้มาให้เป็ประโยชน์รีบเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากขึ้นแบบนี้ต่อให้ต้องเลี้ยงทั้งสร้อยลูกประคำโลหิตและก็ผู้ถือครองคนก่อน ก็ไม่เป็ปัญหาแล้ว
อันเจิงก้มหน้าลงมองดูลูกประคำโลหิตทั้งสิบสามเม็ดบนข้อมือซ้ายที่มีรูปแบบและลวดลายแตกต่างกันไปอย่างใจลอยเล็กน้อย
คิดเสียว่าเป็การกระตุ้นตัวเองทางหนึ่งก็แล้วกัน
เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอโดยที่เราไม่รู้ตัวโดยเฉพาะเวลาที่เรานอนหลับ แต่เดิมอันเจิงคิดเอาไว้ว่าจะหาอะไรเล่นสักหน่อยเพื่อเป็การคลายเครียดก่อนนอนแต่พอรู้ตัวอีกทีเวลานอนก็เหลืออีกไม่มากแล้ว รอจนกระทั่งเช้า หากไม่ฝืนร่างกายก็อาจจะเบียดเวลาที่ใช้ทำอย่างอื่นมาพักผ่อนสักหน่อยอย่างไรก็ตาม อันเจิงไม่กล้าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเนื่องจากมีสร้อยลูกประคำโลหิตคอยกระตุ้นอยู่กลาย ๆอันเจิงจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเถลไถล ต่อให้เวลาที่ใช้เถลไถลนั้นจะเพื่อนอนพักผ่อนก็ตามที
แม้จะยังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงแต่เขาก็ยังบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง คำว่าการชำระล้างไขกระดูกอันที่จริงไม่เพียงแต่จะเป็การเปิดจุดลมปราณ ขยายเส้นลมปราณให้ใหญ่ขึ้นหรือยกระดับความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและกระดูกเท่านั้นจุดที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ที่การสร้างทะเลปราณขึ้นมาต่างหาก!ทุกคนล้วนมีทะเลปราณอยู่ในตัวไม่ว่าจะคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนล้วนแล้วแต่เหมือนกันทั้งนั้นนี่คือสิ่งที่์ประทานให้ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็เสมือนดังบ่อเกิดพลังชีวิตของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ระดับการเปิดของทะเลปราณก็เป็สิ่งที่ใช้วัดความแตกต่างระหว่างอัจฉริยะกับคนธรรมดาด้วยเหมือนกันเหตุที่เรียกอัจฉริยะว่าเป็อัจฉริยะนั่นเพราะพวกเขามีระดับการเปิดของทะเลปราณสูงมาแต่กำเนิดอัตราความสำเร็จในการบ่มเพาะถึงได้สูงตาม ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาทั่วไป ทะเลปราณของพวกเขามักจะอยู่ในสภาวะปิดหากคิดจะเปิดทะเลปราณ จำเป็ต้องอาศัยพลังของหยกแห่งิญญาและพลังของผู้ฝึกตนขอบเขตสุมารุขึ้นไปในการช่วยกรุยทางชำระล้างไขกระดูกให้
ศักยภาพร่างกายของอันเจิงปัจจุบันมีอยู่แค่ครึ่งดาราเท่านั้นพูดให้เข้าใจอีกหน่อยก็คือระดับการเปิดของทะเลปราณของเขาในตอนนี้มีเพียงแค่รอยแยกเล็ก ๆ รอยหนึ่งซึ่งก็เหมือนกับการเปิดปิดประตู ยิ่งประตูเปิดกว้างมากเท่าไหร่สิ่งที่ผ่านเข้าไปก็จะยิ่งมากขึ้นตาม ตรงกันข้าม หากประตูแง้มเปิดเพียงเล็กน้อยสิ่งที่เข้าไปได้ก็มีอยู่จำกัด นี่คือนิยามของคำว่าดูดซับหรือปลดปล่อย
การดูดซับหมายถึงอัตราการรองรับพลังของทะเลปราณขณะทำการบ่มเพาะส่วนการปลดปล่อยหมายถึงอัตราการปลดปล่อยพลังขณะทำการต่อสู้พูดอีกอย่างก็คือระดับความแข็งแกร่งในการโจมตีนั่นเอง
ประตูยิ่งเปิดกว้างพลังที่ใช้ในการโจมตีก็จะยิ่งมากเนื่องจากสามารถนำพลังปราณออกมาใช้ได้เยอะ
การแบ่งขอบเขตของพลังปราณในปัจจุบันไม่ได้เข้มงวดมากนักเพราะหากเปรียบเทียบผู้ฝึกตนสองคนในขอบเขตจุติ์ขั้นหนึ่งเหมือนกัน เอาง่าย ๆลองเปรียบเทียบระหว่างอันเจิงกับเสี่ยวชีเต้า...พลังโจมตีของเสี่ยวชีเต้าไม่แน่ว่าอาจจะสูงกว่าอันเจิงถึงสิบเท่าด้วยซ้ำและยิ่งเสี่ยวชีเต้าบ่มเพาะต่อไปเรื่อย ๆ ยกระดับขอบเขตของพลังให้สูงขึ้นความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองก็จะยิ่งมากขึ้นเป็เท่าตัว อาจจะต่างกันถึงยี่สิบเท่าหนึ่งร้อยเท่า หรืออาจจะถึงหนึ่งพันเท่าก็เป็ไปได้เหมือนกัน......
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากรอยแยกของประตูค่อนข้างแคบ ขอบเขตที่จะไต่ไปถึงก็ยิ่งมีจำกัดเพราะหากไม่สามารถดูดซับพลังเข้าทะเลปราณได้เพียงพอกับการยกระดับผู้ฝึกตนอาจติดอยู่แค่ที่ขอบเขตจุติ์ขั้นหนึ่ง ไปไม่ถึงขั้นที่สองตลอดชีวิต
ดังนั้นปัญหาที่อันเจิงต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วนก็คือ เปิดประตูทะเลปราณของตนเองให้กว้างขึ้นอีก
แต่ว่าการปรับเปลี่ยนศักยภาพร่างกายมิใช่เื่ที่ทำได้โดยง่ายระดับความยากของมันถึงขั้นเรียกได้ว่าเืตาแทบกระเด็นเลยทีเดียว มันไม่เหมือนกับการชำระล้างไขกระดูกที่อาศัยเพียงหยกแห่งิญญากับผู้ฝึกตนขั้นสูงคนหนึ่งก็สามารถจัดการเปิดประตูทะเลปราณได้การปรับเปลี่ยนศักยภาพร่างกายคือการขยายขนาดของประตูให้กว้างขึ้น
อันเจิงพักฟื้นอยู่บนเตียงถึงเดือนกว่าจึงกลับมาหายได้อย่างสมบูรณ์สำหรับเขานี่ไม่ใช่ข่าวดีที่สุด แต่เป็เพราะอันเจิงค้นพบว่า ความ้าของลูกประคำโลหิตต่อเืของเขาดูเหมือนจะไม่ได้มากอย่างที่คิดไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ แน่นอนอันเจิงย่อมตระหนักดีว่า หากไม่ใช่เพราะมีลูกประคำโลหิตคอยสูบเืสูบพลังเขาไปเขาก็คงหายขาดไปนานแล้ว
อย่างไรเสียตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็มีชวีหลิวเอ๋อคอยป้อนสมุนไพรระดับขั้นสีขาวให้เขาอยู่ตลอด
หากเป็อัจฉริยะ ทุกวันกินสมุนไพรระดับขั้นสีขาวต่างอาหารระดับการบ่มเพาะของเขาคงทะยานขึ้นฟ้าไปนานแล้ว น่าเสียดายที่อันเจิงไม่ใช่สมุนไพรล้ำค่าพวกนั้นมีผลเพียงแค่ทำให้ร่างกายของเขากลับมาเป็เหมือนเดิมเท่านั้นตลอดหนึ่งเดือนระดับการบ่มเพาะของเขาไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด
ลองคำนวณเวลาดู อีกแค่สี่เดือนจะถึงเวลานัดประลองกับหอสมุดมายาแล้วคิดอาศัยเวลาเพียงเท่านี้เพื่อเอาชนะ แทบจะไม่มีหวังเลย
แต่อันเจิงไม่ยอมแพ้
เพราะเขาคืออันเจิงคือบุคคลที่ไม่เคยยอมรับการลิขิตของโชคชะตา!