“ความผิดที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ ต่อไป อย่าทำอีกเด็ดขาด” เขาดันเฟิ่งสือจิ่นออกเบาๆ แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับไม่คิดว่าการกระทำที่สนิทสนมเช่นนี้เป็เื่ที่ไม่เหมาะสมหรือผิดตรงไหน นอกจากจะไม่ยอมผละออกแล้ว ยังกอดเขาแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เฟิ่งสือจิ่นพยักหน้า “ศิษย์จะไม่ทำอีกแล้ว ต่อไปศิษย์จะปรึกษาอาจารย์ก่อนทุกเื่”
“รีบปล่อยมือก่อนเถอะ”
“ศิษย์ไม่ปล่อย”
จวินเชียนจี้ข่มใจอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้เ้าโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว จะอ้อนอาจารย์แบบนี้ไม่ได้อีก”
เฟิ่งสือจิ่นไม่สนใจ “อาจารย์เป็ทั้งอาจารย์และบิดาของข้า ทำไมลูกจะออดอ้อนบิดาของตัวเองไม่ได้ อาจารย์...”
“มีอะไร?”
“ข้าเจ็บหลัง ทายาให้ข้าหน่อย”
จวินเชียนจี้ลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปตามคนมาทายาให้”
“ในจวนราชครูมีแต่เด็กรับใช้ที่เป็ผู้ชาย ชายกับหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน” เฟิ่งสือจิ่นบอก
จวินเชียนจี้นิ่งเงียบลงชั่วครู่ “...ข้าก็เป็ผู้ชายเหมือนกัน”
เฟิ่งสือจิ่นถอดเสื้อออก แล้วนอนหมอบอยู่บนเตียงอย่างเรียบร้อย จวินเชียนจี้เหลียวมองหัวไหล่กลมสวยที่ทั้งขาวและเนียนของนาง เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขาก็เบนสายตาไปทางอื่นอย่างทำตัวไม่ถูก ทว่าเมื่อหางตาชำเลืองไปเห็นรอยแผลสีแดงหลายรอยที่ประทับชัดบนแผ่นหลังที่เคยขาวสะอาดของนาง ดวงตาคู่นั้นก็เผยความกังวลออกมาให้เห็น
สุดท้ายเขาก็นั่งลงที่ขอบเตียง แล้วหยิบยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดขึ้นมา นิ้วยาวคว้านยาออกมา แล้วป้ายมันลงบนแผลของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแ่เบา
ััที่แสนสบายทำให้เฟิ่งสือจิ่นส่งเสียงครางออกมาเบาๆ พลางถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “อาจารย์ ฝ่าาไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“เื่นี้ผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงมันอีก ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น”
“เข้าใจแล้ว...”
เฟิ่งสือจิ่นพักรักษาตัวอยู่ในจวนราชครูหลายวัน วันนี้ท้องฟ้าสดใส อากาศปลอดโปร่ง ฤดูฝนผ่านพ้นไป แสงแดดเริ่มเจิดจ้ามากขึ้นทุกวัน สายลมหอบเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหวโชยมากระทบจมูก ให้ความรู้สึกเหมือนอาจารย์เพิ่งเดินผ่านหน้าไปไม่มีผิด
เ้าสามมัดะโเล่นในสวนหย่อม เฟิ่งสือจิ่นใช้เวลาส่วนมากไปกับการนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าห้องหลอมสมุนไพร ด้านหนึ่งก็ควบคุมไฟในเตาไปด้วย อีกด้านก็กำลังรอให้จวินเชียนจี้กลับมาจากธุระ
นางไม่ชอบสวมรองเท้า จึงถีบรองเท้าทั้งสองข้างออกไปไกล รองเท้ากระเด้งกระดอนไปตามขั้นบันได เ้าสามมัดคิดว่านั่นเป็ของว่างสำหรับตน จึงรีบวิ่งเข้ามาหา และกัดทึ้งรองเท้าอย่างตื่นเต้น แสงตะวันส่องผ่านชายคา ให้ความรู้สึกคล้ายเบื้องหน้าเป็เส้นแบ่งเขตของแสงแดดกับเงาเช่นนั้น โดยแนวแบ่งเขตที่ว่าก็คือขอบหลังคาที่เป็รอยหยักราวกับเกลียวคลื่นนั่นเอง เฟิ่งสือจิ่นยื่นขาออกไปนอกเส้นหยักเพื่อัักับแสงแดด ขาเล็กๆ สีขาวเปล่งประกายท่ามกลางแสงตะวัน ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับไข่มุกเรืองแสงที่โดดเด่นในยามค่ำคืน
ทันทีที่กลับมา สิ่งแรกที่จวินเชียนจี้เห็นก็คือเฟิ่งสือจิ่นที่กำลังนั่งรออยู่ตรงขั้นบันไดด้วยท่าทางเกียจคร้าน นางนั่งไขว่ห้าง กำลังยื่นเท้าออกไปตากแดดที่นอกชายคา เล็บเท้าเล็กๆ เป็สีชมพูสวย นิ้วเท้าแลดูน่ารักเป็อย่างมาก นางเขย่าเท้าเบาๆ ดูน่าดึงดูดเหลือเกิน จวินเชียนจี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แสงตะวันส่องผ่านต้นไม้ ทอดเงากระดำกระด่างลงบนไหล่กว้างและเส้นผมสีดำสลวยของเขา ดวงตะวันที่ทอแสงสดใส ยังไม่สู้แววตาที่ลึกล้ำและยากจะหยั่งถึงของชายหนุ่ม สายลมพัดให้ใบไม้ไหวสั่น ใบไม้หนาทึบกระทบกันจนเกิดเสียงขึ้นเบาๆ เส้นผมบางส่วนบนร่างของจวินเชียนจี้ก็ถูกพัดจนลอยพลิ้วขึ้นไปในอากาศ
เมื่อหันไปเห็นจวินเชียนจี้ เฟิ่งสือจิ่นก็รีบเก็บเท้ากลับราวกับเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้เช่นนั้น นางนั่งอย่างเป็ระเบียบ แววตาอัดแน่นไปด้วยความเบิกบาน “อาจารย์ ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วเช่นนี้?”
จวินเชียนจี้เดินออกมาจากใต้ร่มไม้ เขาอาบกายด้วยแสงจากดวงตะวัน อาจเพราะคลุกคลีอยู่กับสมุนไพรมานานหลายปี ร่างของเขาจึงแฝงไปด้วยกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย แถมผิวพรรณยังกระจ่างใสจนคล้ายกับโปร่งแสง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังหล่อเหลามากอยู่ดี เขาเดินเข้ามาในสวนหย่อม เ้าสามมัดยังคงกัดทึ้งรองเท้าอย่างชอบอกชอบใจ จวินเชียนจี้ก้มลงไปแตะตัวเ้าสามมัดเบาๆ เพื่อให้มันหลบไปทางอื่น จากนั้นก็เก็บรองเท้ามาคืนให้เฟิ่งสือจิ่น เขานำรองเท้ามาวางตรงหน้านาง “เพิ่งหายป่วยก็เริ่มละเลยสุขภาพแล้วหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นรีบสวมรองเท้าพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “่นี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้วนี่” นางสังเกตเห็นความกลัดกลุ้มเล็กน้อยที่แฝงอยู่บนใบหน้าของจวินเชียนจี้ จึงถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ วันนี้ท่านมีเื่ไม่สบายใจหรือเปล่า?”
จวินเชียนจี้มองนางชั่วครู่ ก่อนจะเดินผ่านหน้านางและมุ่งหน้าเข้าไปในห้องหลอมสมุนไพร “ตอนบ่ายวันนี้ เ้ากลับไปเตรียมตัวเสียหน่อย พรุ่งนี้เ้าต้องไปรายงานตัวที่วิทยาลัยหลวง”
เฟิ่งสือจิ่นใจนเสียหลัก กลิ้งตกลงไปจากบันไดอย่างกะทันหัน นางลุกขึ้นมาจากพื้นพลางถามด้วยความใ “วิทยาลัยหลวงคืออะไรหรือ?”
ต่อมาเฟิ่งสือจิ่นถึงรู้ว่าวิทยาลัยหลวง คือวิทยาลัยที่สูงส่งที่สุดในแคว้นจิ้น ผู้ที่เข้าศึกษาในวิทยาลัยหลวงได้ มีเพียงลูกหลานของชนชั้นสูง หรือขุนนางใหญ่เท่านั้น ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีโอกาสเข้าไปศึกษาในวิทยาลัยแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่านางก็ต้องเข้าไปศึกษาในสถานที่แห่งนั้นเหมือนกัน
ถึงว่า จวินเชียนจี้ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี
ที่แท้ เื่ที่เฟิ่งสือจิ่นสั่งสอนท่านชายหลิวในตอนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงยังไม่จบลง เพราะท่านโหวอันกั๋วยังนำเื่นี้ไปประท้วงและโจมตีราชครูในท้องพระโรงไม่เว้นแต่ละวัน จวินเชียนจี้เองก็ทั้งรำคาญทั้งหงุดหงิดเต็มทนแล้ว เขาไม่อยากมีเื่กับท่านโหวอันกั๋ว น่าเสียดายที่ท่านโหวอันกั๋วตามกัดไม่ยอมปล่อย ท้ายที่สุด จวินเชียนจี้จึงนำเื่ที่ท่านชายหลิวทำตัวเป็นักเลงคุมซอย ทั้งยังรังแกประชาชนเป็อาจิณไปพูดเกริ่นในท้องพระโรงบ้าง ท่านโหวอันกั๋วถึงยอมปล่อยเื่นี้ไปในที่สุด
ในเมืองหลวง ไม่ว่าลูกหลานของชนชั้นสูงทั้งหลายจะเป็อันธพาลหรือมีพฤติกรรมแย่เพียงใด ตราบใดที่ยังไม่สร้างเื่ใหญ่โตจนไม่อาจให้อภัยขึ้น ผู้คนก็พร้อมใจกันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฮ่องเต้ให้เกียรติคนทั้งสองฝ่าย จึงแสร้งทำเป็ตำหนิเล็กน้อย บอกว่าศิษย์ของราชครูไร้มารยาท ถึงได้ทำร้ายท่านชายกลางถนนเช่นนี้ ถือเป็การกระทำที่เลวร้ายเป็อย่างมาก แต่เห็นแก่ที่นางเพิ่งทำความผิดเป็ครั้งแรก จึงต้องให้ความสำคัญกับการสั่งสอนมากกว่าลงโทษ เหตุนี้ ฮ่องเต้จึงสั่งให้เฟิ่งสือจิ่นเข้าไปศึกษาเื่คุณธรรม และมารยาทต่างๆ ในวิทยาลัยหลวงเช่นนี้
รุ่งเช้า แสงตะวันส่องลงบนหน้าต่างกระดาษสีขาว ย้อมให้หน้าต่างกลายเป็สีเหลืองอมแดง บัดนี้ ย่างเข้ากลางเดือนสี่ ซึ่งเป็่ที่พืชพรรณแตกกิ่งก้าน อากาศเริ่มแจ่มใสขึ้นแล้ว
เฟิ่งสือจิ่นหลับสนิทอยู่ในห้อง จวินเชียนจี้เคาะประตูเรียกอยู่นาน แต่นางก็ยังไม่ยอมตื่นนอนเสียที สุดท้ายจวินเชียนจี้ก็จำต้องเปิดประตู แล้วเดินเข้าไปในห้องอย่างจนปัญญา เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อมองข้ามท่านอนที่ไร้ความเรียบร้อยสมเป็สตรีของเฟิ่งสือจิ่น ผ้าห่มบนเตียงรกรุงรังไม่ต่างไปจากรังสุนัข เ้าสามมัดนอนขดตัวอยู่ในมุมเล็กๆ บนเตียง ร่างเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยขนขดตัวจนกลายเป็ก้อนกลม เมื่อได้ยินเสียงดัง มันก็สะดุ้งใจนขนตั้ง แล้วะโขึ้นมานั่งอยู่บนไหล่ของจวินเชียนจี้ทันที
จวินเชียนจี้เดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง แล้วเปิดหน้าต่างตรงหน้าออก อากาศบริสุทธิ์ที่แฝงไปด้วยไอเย็นพัดเข้ามาในห้อง พัดให้ม่านบางที่ข้างเตียงพลิ้วสั่นขึ้นเบาๆ
เมื่อทำเสร็จจึงเดินไปหยุดที่ข้างเตียง คนบนเตียงกำลังนอนหลับสนิท เส้นผมดกดำสยายมาปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เสื้อผ้าบนร่างกายยุ่งเหยิงเล็กน้อย จวินเชียนจี้เขย่าไหล่ของเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ พลางเรียกด้วยเสียงนุ่มนวล “สือจิ่น ตื่นนอนได้แล้ว”
เฟิ่งสือจิ่นยังคงนอนนิ่ง
จวินเชียนจี้เขย่าไหล่ของนางหลายครั้ง ในที่สุดเฟิ่งสือจิ่นก็ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ทันทีที่เห็นจวินเชียนจี้ ร่างบางก็ขยับเข้าไปกอดขาของเขาเอาไว้ พลางพึมพำด้วยเสียงเศร้า “อาจารย์ ไม่ไปวิทยาลัยหลวงได้หรือเปล่า...”
จวินเชียนจี้เลิกคิ้ว “เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นคลอเคลียอยู่สักพัก ในที่สุดก็ยอมลุกขึ้นมานั่งอย่างเป็ระเบียบ จากนั้นก็สวมเสื้อผ้า เกล้าผม ล้างหน้าและแต่งตัวตามขั้นตอน ก่อนออกจากจวน เฟิ่งสือจิ่นเดินพลางกินไข่ต้มอย่างเอร็ดอร่อย จวินเชียนจี้ส่งนางไปถึงที่หน้าประตู ก่อนจะพูดย้ำ “เมื่อถึงวิทยาลัยหลวง ต้องฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ในวิทยาลัยให้ดี ศึกษาวิชาความรู้ให้มาก มันจะส่งผลดีต่อเ้าในอนาคต และระวัง อย่าก่อเื่อีก”
เฟิ่งสือจิ่นตอบด้วยท่าทางขัดเขิน “ข้ารู้แล้ว อาจารย์”
จวินเชียนจี้สั่งย้ำ “จำไว้ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเ้าก็คือการศึกษาหาความรู้ อย่าทำเื่ไร้สาระ”
“ศิษย์จำขึ้นใจแล้ว”
“ท่านชายหลิวก็เป็นักศึกษาของวิทยาลัยหลวงเหมือนกัน เ้าต้องสานสัมพันธ์กับเขา อย่ามีเื่กันอีก”
เฟิ่งสือจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย ได้ยินแบบนี้ค่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อย “รับทราบ ท่านอาจารย์”