เมื่อวิทยาลัยเปิดเรียน นักศึกษาจากตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลายก็ทยอยเดินทางมาที่วิทยาลัยหลวงแต่เช้า เกี้ยวหรูหราขนาดใหญ่ รวมไปถึงขบวนคนรับใช้ที่มีหน้าที่แบกเกี้ยวมาส่งยืนเบียดกันอยู่หน้าประตูวิทยาลัย แต่เพราะมีชนชั้นคอยแบ่งกั้น ลำดับการเข้าวิทยาลัยจึงถูกเรียงตามชนชั้น คือให้องค์หญิงกับองค์ชายทั้งหลายเข้าก่อน จากนั้นก็เป็บรรดาท่านชายหรือท่านหญิง ต่อด้วยลูกหลานของขุนนางระดับสูงในพระราชสำนัก
เช้านี้ หลิวอวิ๋นชูมาที่วิทยาลัยหลวงด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า เขาสวมชุดแพรราคาแพงสีเขียวอย่างที่ชอบสวมใส่ ใบหน้างดงามราวหยกสลัก ดูหล่อเหลาไม่น้อย ไม่เจอกันหลายวัน บัดนี้ รอยแผลที่ลำคอจางจนแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังแค้นเฟิ่งสือจิ่นไม่หาย ต่อให้นางกลายเป็ผุยผง เขาก็ยังจำนางได้อยู่ดี
เขารู้ว่าวันนี้เฟิ่งสือจิ่นจะเข้าศึกษาในวิทยาลัยหลวง จึงเดินทางมาที่วิทยาลัยั้แ่เช้า ไม่เช่นนั้น มีหรือที่คนเสเพล ซึ่งชอบสร้างเื่ก่อกวน เที่ยวเล่นยิงนกตกปลาไปวันๆ แถมยังเกลียดการเรียนอย่างกับอะไรดีอย่างหลิวอวิ๋นชูจะมาวิทยาลัยั้แ่เช้าตรู่ แค่ไม่มาสายก็บุญเท่าไรแล้ว
แม้ท่านโหวอันกั๋วจะทำอะไรเฟิ่งสือจิ่นกับอาจารย์ของนางไม่ได้ แต่หากเฟิ่งสือจิ่นเข้าวิทยาลัยหลวงละก็... แค่คิด หลิวอวิ๋นชูก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว นางยังต้องเรียนต่ออีกนาน คอยดูเถอะว่าเขาจะเอาคืนนางอย่างไรบ้าง
ทว่าจนกระทั่งเริ่มเรียนแล้ว เฟิ่งสือจิ่นก็ยังไม่มาเสียที หลิวอวิ๋นชูรู้สึกผิดหวังเป็อย่างมากที่เสียคู่ต่อกรไปเช่นนี้ สิ่งที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ก็แทรกเข้าไปในสมองของเขาไม่ได้แม้แต่คำเดียว ย่อมตอบคำถามของอาจารย์ไม่ได้เช่นกัน เหตุนี้ เพื่อนร่วมชั้นจึงแอบหัวเราะเยาะเขาในใจกันเป็แถว เพียงแต่ไม่มีใครแสดงออกมาตรงๆ เท่านั้น
อาจารย์ชี้มือไปที่หลังห้อง พลางสั่งหลิวอวิ๋นชู “หยิบหนังสือ แล้วไปยืนอยู่ที่หลังห้องเดี๋ยวนี้”
หลิวอวิ๋นชูหยิบหนังสือขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็ถีบเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเดินไปที่หลังห้องตามคำสั่ง สำหรับเด็กเกเรที่เกลียดการเรียนอย่างเขาแล้ว การลงโทษแค่นี้สบายมาก
แต่เพิ่งเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ลมอุ่นๆ ก็พัดเข้ามาทางประตู เสียงไหวสั่นของใบไม้ดังแว่วขึ้น สายลมหอบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหวมาแตะจมูกอย่างแ่เบา หลิวอวิ๋นชูเงยหน้าแล้วมองออกไปด้านนอก สายลมระลอกนี้พัดให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาทุเลาลงเล็กน้อย คาดว่าแสงแดดที่แสนสดใสด้านนอกต้องทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้แน่ๆ
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น หลิวอวิ๋นชูก็ต้องชะงักอึ้ง พลางหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ใครบางคนปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตู คนผู้นี้สวมชุดสีเขียวขุ่น เส้นผมสีดำยาวถูกเกล้าไปรวมกันที่ด้านหลังด้วยปิ่นไม้ เผยให้เห็นใบหน้าที่แลดูผอมทว่าก็ขาวเนียนได้อย่างชัดเจน ทั้งที่เป็หญิงแท้ๆ แต่กลับดูงามสง่าและผ่าเผย แถมยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่สะอาดและบริสุทธิ์ ไม่ต่างไปจากเทพเซียนที่ห่างไกลจากทางโลก
แสงแดดสดใสของฤดูใบไม้ผลิส่องลงบนแผ่นหลังของนาง นางหยุดยืนอยู่ตรงกลางของประตู แล้วโค้งตัวให้อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องอย่างเคารพ “ศิษย์เพิ่งเคยมาวิทยาลัยหลวงเป็ครั้งแรก เพราะไม่ระวังจึงเดินหลงทาง ทำให้มาสายเช่นนี้ หวังว่าอาจารย์จะให้อภัยในความผิดครั้งนี้ ไม่ทราบว่าศิษย์ยังมีสิทธิ์เข้าไปศึกษาวิชาในห้องเรียนหรือไม่?”
ห้องเรียนเงียบสงัดลงทันตา
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เห็นก็คือหลิวอวิ๋นชูที่กำลังยืนชะงักอยู่ตรงหน้า เมื่อมองผ่านหลิวอวิ๋นชูไป นางก็เห็นอาจารย์ที่กำลังสอนวิชาอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ทว่าทันทีที่เห็น นางก็ชะงักอึ้งลงอย่างกะทันหัน
เดิมที นางคิดว่าอาจารย์ของวิทยาลัยหลวงจะเป็ตาเฒ่าหนวดขาวเสียอีก คิดไม่ถึงเลย... หลิวอวิ๋นชูเป็ฝ่ายตั้งสติได้ก่อน เขาหันมายิ้มแยกเขี้ยวให้เฟิ่งสือจิ่นอย่างแค้นเคือง จากนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้นพลางเดินเข้ามาหาเฟิ่งสือจิ่น คล้ายเตรียมพร้อมสำหรับศึกหนักเช่นนั้น เขาพูดขึ้น “เฟิ่งสือจิ่น เดิมทีข้ายังกลุ้มใจ คิดว่าเ้าจะไม่มาเสียแล้ว” เฟิ่งสือจิ่นเบนสายตากลับมามองหลิวอวิ๋นชูอย่างไร้ความเกรงกลัว นางแสดงท่าทีคล้ายกำลังหยอกล้อกับคนที่ไม่สำคัญอะไร ทว่าฝ่ามือทั้งสองข้างที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับกำแน่นจนกลายเป็หมัด
ขณะกำลังครุ่นคิดว่าควรจะซัดหมัดแรกลงที่ส่วนไหนของหลิวอวิ๋นชู จู่ๆ เสียงดุดันของอาจารย์ประจำชั้นก็ดังขึ้น “หลิวอวิ๋นชู เ้าอยากให้ข้าเชิญท่านโหวอันกั๋วมาคุยที่วิทยาลัยหรืออย่างไร? ไปยืนที่หลังห้องเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินชื่อบิดา ความโกรธที่เคยมีก็ลดลงจนแทบไม่มีเหลือ หลิวอวิ๋นชูขานตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะมองเขม่นเฟิ่งสือจิ่นเป็การทิ้งท้าย แล้วเดินไปยืนที่หลังห้องตามคำสั่ง
เพียงคำพูดสั้นๆ จากอาจารย์ ก็หยุดความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
ดูเหมือนหลิวอวิ๋นชูเองก็กลัวบิดาของเขา ไม่ต่างไปจากที่เฟิ่งสือจิ่นหวั่นเกรงจวินเชียนจี้เลยสินะ
อาจารย์หันมาบอกกับเฟิ่งสือจิ่น “เ้าหาที่นั่ง แล้วนั่งลงก่อนเถอะ”
เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองรอบห้อง นักศึกษาทุกคนกำลังจ้องมองมาที่นาง ทว่านางกลับยังมีสีหน้านิ่งเรียบ เพียงไม่นานก็เดินไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ ที่นั่งของหลิวอวิ๋นชูอย่างใจเย็น ซึ่งการกระทำนี้ ไม่ต่างไปจากการประกาศากับหลิวอวิ๋นชูเลย
หลิวอวิ๋นชูกัดฟันกรอด “นั่นเป็ที่นั่งของบิดานะเว้ย เ้าใจกล้าไม่เบาเลยนี่!”
เฟิ่งสือจิ่นนั่งห่างจากอาจารย์ไม่ต่ำกว่าสามเมตร นางเกียจคร้านกว่าหลิวอวิ๋นชูเสียอีก เมื่อนั่งลงแล้ว ก็เอาแต่จ้องหน้าอาจารย์ตาไม่กะพริบ นางี้เีเกินกว่าจะเปิดหนังสือด้วยซ้ำ คนตรงหน้าสวมชุดสีขาวสะอาด มือขาวเนียนจับหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ ดวงตาที่คล้อยลงต่ำเต็มไปด้วยความเ็า กำลังถ่ายทอดวิชาความรู้แก่นักศึกษาในห้องอย่างตั้งใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสี่ที่ยังมีอายุน้อยจะเป็อาจารย์ของวิทยาลัยหลวง ถึงว่า ตอนที่เจอกันบนถนน ทั้งที่เป็การเจอกันครั้งแรก แต่ซูกู้เหยียนกลับพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกับอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์เช่นนั้น แต่ถึงกระนั้น หลิวอวิ๋นชูก็ยังยอมฟังคำสั่งของเขาแต่โดยดี!
อีกด้าน องค์ชายสี่ทำราวกับไม่รู้จักนาง เขายุติธรรมกับนักศึกษาทุกคนในห้องเสมอ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็องค์หญิง ชนชั้นสูง หรือลูกขุนนางก็ตาม และนักศึกษาทุกคนก็เชื่อฟังคำสั่งของเขาเป็อย่างดี
แต่ไม่มีใครรู้ว่าั้แ่ที่เฟิ่งสือจิ่นเข้ามาในห้อง ซูกู้เหยียนก็รู้สึกอึดอัดไปหมด นักศึกษาคนอื่นๆ มักจะแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ แค่ลับหลังเขาเท่านั้น เหล่าคุณหนูที่แอบปลื้มเขาก็เพียงแอบมองเขาอย่างลับๆ เช่นกัน ไม่เคยมีใครจ้องมองอย่างโจ่งแจ้งเหมือนเฟิ่งสือจิ่นมาก่อน
ซูกู้เหยียนมองกลับไป พบว่าแววตาของเฟิ่งสือจิ่นมีเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น นางเหม่ออยู่นาน ก่อนความง่วงจะเริ่มเข้ามาแทนที่ ท้ายที่สุดนางก็ฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะ ทำพฤติกรรมแบบเดียวกับหลิวอวิ๋นชูไม่มีผิด
ซูกู้เหยียนพูดสอนต่ออีกสักพัก ก่อนจะเรียกให้เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้นมาตอบคำถาม เฟิ่งสือจิ่นเองก็เป็เหมือนหลิวอวิ๋นชู คือตอบไม่ได้แม้แต่คำถามเดียว ซูกู้เหยียนปรายตามองหลิวอวิ๋นชูที่ยืนอยู่หลังห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “คนประเภทเดียวกัน มักดึงดูดกันและกันเสมอ เ้าเหมาะจะถูกลงโทษให้ไปยืนอยู่หลังห้องเหมือนกับท่านชายหลิวมากกว่านั่งอยู่ตรงนี้”
หลิวอวิ๋นชูพูดเย้ยหยัน “อย่าคิดว่าเ้าเป็น้องสาวของพระชายาแห่งองค์ชายสี่แล้วอาจารย์จะละเว้นเ้า อาจารย์เป็คนยุติธรรม ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น เฟิ่งสือจิ่น เ้าสมควรโดนแล้ว!”
เฟิ่งสือจิ่นตอกกลับ “เ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก”
หลังเลิกเรียน นักศึกษาในห้องกรูกันออกมา เพียงไม่นาน ห้องเรียนที่เคยเงียบสงบก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็สนามรบ หลิวอวิ๋นชูะโเสียงดัง “เฟิ่งสือจิ่น ข้าจะท้าประลองกับเ้าแบบตัวต่อตัว!”
เขาร้องะโ พลางเหวี่ยงเก้าอี้ตัวหนึ่งมาที่เฟิ่งสือจิ่น เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นก็ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมน้อยหน้า สถานการณ์ในตอนนั้นทั้งวุ่นวายและดุเดือดเป็อย่างมาก เสียงกระทบของโต๊ะเก้าอี้ในห้องดังขึ้นไม่หยุด คุณชายจอมสอดรู้สอดเห็นทั้งหลายเกรงว่าตนจะถูกลูกหลง แต่ก็ไม่อยากจากไปง่ายๆ เช่นนี้ จึงยืนมุงอยู่ที่หน้าประตูเพื่อดูการต่อสู้ของคนทั้งสอง พลางส่งเสียงฮือฮาขึ้นเป็ระยะ
เสียงก่นด่าของหลิวอวิ๋นชูดังออกมาหลายครั้ง “เฟิ่งสือจิ่น เ้าเป็ผู้หญิงจริงหรือไม่เนี่ย! เฟิ่งสือจิ่น เ้ายังเป็คนอยู่หรือไม่!”
ไม่ว่าหลิวอวิ๋นชูจะส่งเสียงเอะอะโวยวายอย่างไร เฟิ่งสือจิ่นก็ยังเอาแต่เงียบ นางไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แต่เพ่งความตั้งใจทั้งหมดไปที่การต่อสู้แทน นางไม่มีเวลามาเถียงกับหลิวอวิ๋นชูหรอกนะ ในเมื่อหลิวอวิ๋นชูไปเอาดีด้านศึกทางฝีปาก เฟิ่งสือจิ่นจึงเลือกที่จะเอาดีด้านศึกทางร่างกายแทน
หลิวอวิ๋นชูส่งเสียงครางขึ้นหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ะเิโทสะออกมา “พ่อแม่เ้าไม่เคยสอนหรือไงว่าอย่าตีหน้าคนอื่น โดยเฉพาะใบหน้าของคนที่หล่อเหลาเหมือนข้า!” หลิวอวิ๋นชูคำรามเสียงก้อง