เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะด้วยเสียงเย็นะเื “เ้าไม่รู้หรือไงว่าข้าไม่มีพ่อ?”
หลิวอวิ๋นชูร้องครางเสียงดัง ก่อนจะหนีเตลิดออกจากห้อง นักศึกษาที่มุงอยู่หน้าประตูเห็นดังนั้นก็แตกฮือออกไปเช่นกัน
คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ อาจารย์ประจำวิทยาลัย-ซูกู้เหยียนที่ควรจะกลับบ้านไปแล้วก็เดินกลับมาที่วิทยาลัยอีกครั้ง ระหว่างที่หลิวอวิ๋นชูวิ่งโซซัดโซเซออกมาจากห้อง เฟิ่งสือจิ่นที่วิ่งตามมาติดๆ ก็โยนไม้ท่อนหนึ่งออกมาพอดี ไม้ท่อนนั้นกำลังจะกระแทกลงบนแผ่นหลังของหลิวอวิ๋นชูอยู่แล้ว แต่มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากด้านข้าง แล้วดึงหลิวอวิ๋นชูหลบไปอีกทางเสียก่อน ท่อนไม้ดังกล่าวจึงตกลงที่ลานกว้างนอกวิทยาลัยแทน
เงาไม้ร่มรื่น เบื้องบนเป็ต้นไหวขนาดใหญ่ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบไม้เล็กๆ หลายใบร่วงหล่นลงมาจากต้น แสงแดดส่องผ่านก้านไม้ ทิ้งรอยกระดำกระด่างลงบนพื้นดิน เมื่อใบไม้สั่นไหว เงาบนพื้นก็ไหวสั่นไปด้วยเช่นกัน
หลิวอวิ๋นชูเงยหน้าขึ้น พบว่าคนที่กำลังประคองตนอยู่คือซูกู้เหยียนนั่นเอง เขารีบฟ้องด้วยท่าทางน่าสงสาร ลืมไปเสียสนิทว่าตนต่างหากที่เป็ฝ่ายหาเื่ก่อน “อาจารย์ เฟิ่งสือจิ่นโหดร้ายเกินไปแล้ว! นางเป็ผู้หญิงแท้ๆ แต่กล้าต่อยตีกับข้าเช่นนี้ อาจารย์ ท่านต้องให้ความเป็ธรรมเื่นี้นะขอรับ!”
พูดจบ หลิวอวิ๋นชูก็หันไปมองที่หน้าประตู เฟิ่งสือจิ่นกำลังเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ชุดนักพรตสีเขียวขุ่นดูธรรมดาแถมยังจืดชืดเป็อย่างมาก แต่แสงแดดที่ส่องลงบนร่างกลับกลบความเจิดจ้าและเปล่งประกายของนางไม่ได้ เฟิ่งสือจิ่นถือเก้าอี้ที่ขาหักไปหนึ่งข้างออกมาด้วย นางมีท่าทางเรียบเฉย ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและหยิ่งผยอง ดูดุดัน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นักสู้ที่หากใครกล้าขวางหน้าก็จะฆ่าไม่เว้นเช่นนั้น
เฟิ่งสือจิ่นคิดไม่ถึงว่าซูกู้เหยียนจะวกกลับมา แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่มีท่าทีรีบร้อนหรือตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น กลับพูดทักทายด้วยเสียงเรียบเฉยราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อาจารย์ย้อนกลับมาที่วิทยาลัย เพราะลืมของเอาไว้หรือ?”
นางเดินเข้าไปหาหลิวอวิ๋นชูทีละก้าวๆ หลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นก็ร้องะโออกมา “เ้า... หยุดเดี๋ยวนี้นะ! วันนี้หยุดแค่นี้ก่อน วันหน้าค่อยสู้กันใหม่!” เฟิ่งสือจิ่นยังคงเดินเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง “นี่... ข้าบอกให้หยุดไง ไม่ได้ยินหรือไง อาจารย์อยู่ตรงนี้ทั้งคน เ้าคิดจะตีข้าต่อหน้าอาจารย์หรือไง?”
เฟิ่งสือจิ่นหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลิวอวิ๋นชู ก่อนจะส่งยิ้มที่ทั้งเป็มิตรและบริสุทธิ์ไปให้ หลิวอวิ๋นชูกำลังโกรธอยู่ก็จริง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ เขาก็หยุดชะงักลงชั่วขณะ ก่อนเสียงของเฟิ่งสือจิ่นจะดังขึ้นข้างหู “ดูท่าทางขี้ขลาดของเ้าสิ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง”
หลิวอวิ๋นชูย่นหน้า แล้วมองไปยังซูกู้เหยียนคล้ายกำลังจะร้องไห้ออกมา “อาจารย์ นางทำร้ายร่างกายข้า แถมยังเถียงคำไม่ตกฟากอีก รังแกกันเกินไปแล้ว! หากไม่ใช่เพราะอาจารย์กลับมาทันเวลาพอดี ข้าคงถูกเก้าอี้ในมือนางฟาดไปแล้ว!”
เฟิ่งสือจิ่นเก็บท่อนไม้ที่ตกอยู่กลางลานขึ้นมา “เ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าหยิบเก้าอี้ออกมาด้วย เพราะอยากจะตามหาขาเก้าอี้ที่หายไปให้เจอเท่านั้น”
“ที่ขาเก้าอี้หักแบบนี้ ก็... ก็เพราะถูกเ้าฟาดจนหักนั่นแหละ”
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยท่าทางใสซื่อ “เ้าเป็คนเสียสติ หยิบเก้าอี้ขึ้นมาฟาดข้าก่อนไม่ใช่หรือ ข้าแค่แย่งเก้าอี้มาเพราะอยากป้องกันตัวเท่านั้น เ้ากุเื่ขึ้นมาฟ้องอาจารย์แบบนี้ มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
หลิวอวิ๋นชูเตรียมจะเถียงตอบ แต่ซูกู้เหยียนก็ส่งเสียงตวาดขึ้นเสียก่อน “พวกเ้าสองคน ตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ กลับบ้านไปจนหมดแล้ว ได้เห็นฉากต่อสู้ก่อนกลับเช่นนี้ พวกเขาต้องเอากลับไปเล่ากันอย่างสนุกปากแน่ๆ พรุ่งนี้เช้า ขุนนางทั้งเมืองคงจะรู้กันทั่วแล้ว ในขณะเดียวกัน เฟิ่งสือจิ่นกับหลิวอวิ๋นชูถูกซูกู้เหยียนเรียกเข้าไปในห้องเรียน เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าโต๊ะเก้าอี้ในห้องล้มระเนระนาดไปหมด ซูกู้เหยียนเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเดาได้ั้แ่แรกแล้วว่าฮ่องเต้ส่งเฟิ่งสือจิ่นเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวงร่วมกับหลิวอวิ๋นชูเช่นนี้ ต้องเกิดเื่ขึ้นแน่ ซึ่งเหตุผลที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ก็เพื่อโยนเื่นี้ให้เขาเป็คนจัดการต่อนั่นเอง
ซูกู้เหยียนรู้สึกปวดหัวกับเื่วุ่นวายตรงหน้าเป็อย่างมาก แค่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น ห้องเรียนถูกพังจนเละเทะ ไม่มีที่ให้เดินด้วยซ้ำ แสงตะวันยามเย็นส่องลงบนใบหน้าของหลิวอวิ๋นชูและเฟิ่งสือจิ่น คนหนึ่งกำลังตื่นตระหนกและหวาดกลัว ในขณะที่อีกคนกลับมีสีหน้านิ่งเรียบ ซูกู้เหยียนตำหนิคนทั้งสองชุดใหญ่ นิสัยของหลิวอวิ๋นชูเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์เสมอ เขายอมรับความผิดทันที ผิดกับเฟิ่งสือจิ่นที่ยังคงหัวรั้น ไม่ว่าจะพูดหรือตำหนิอย่างไรก็ไม่ยอมโอนอ่อนลงแม้แต่น้อย ซูกู้เหยียนมองดูคนทั้งสองเก็บกวาดห้องเรียนจนเป็ระเบียบ เขาพูดขึ้น “โต๊ะเก้าอี้ที่เสียหายในวันนี้ พวกเ้าช่วยกันชดใช้คนละครึ่งก็แล้วกัน แล้วก็กลับไปคัดเนื้อหาในตำรา ‘หลักมารยาท’ มาสามจบ เอามาส่งให้ข้าพรุ่งนี้”
ดวงตะวันอัสดง เกี้ยวของจวนท่านโหวอันกั๋วมารอที่หน้าประตูวิทยาลัยแล้ว ภายใต้สายตาวิงวอนของหลิวอวิ๋นชู สุดท้ายซูกู้เหยียนก็ใจอ่อน หากท่านโหวอันกั๋วรู้ว่าเขาสร้างเื่สร้างราวในวิทยาลัยอีกแล้ว หลิวอวิ๋นชูต้องถูกลงโทษชุดใหญ่แน่ ซูกู้เหยียนพยักหน้าเบาๆ แทนคำอนุญาต หลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นก็ดีอกดีใจราวกับนกที่เพิ่งหัดบิน เขาหันมาแลบลิ้นเย้ยเฟิ่งสือจิ่น ก่อนจะะโโลดเต้นออกไปจากห้องอย่างเบิกบานใจ
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะเยาะ “ทำตัวเป็เด็กๆ ไปได้”
เมื่อหันหน้ากลับมา สายตาก็ปะทะเข้ากับแววตาเ็าของซูกู้เหยียน เขามองเฟิ่งสือจิ่นเป็เวลานานก่อนจะพูดขึ้น “ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะคนอื่นอีก”
เมื่อหลิวอวิ๋นชูเดินออกไป ห้องเรียนอันแสนว่างเปล่าก็เหลือแค่เฟิ่งสือจิ่นกับซูกู้เหยียน บรรยากาศจึงเริ่มอึดอัดมากขึ้นทุกที บวกกับท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ห้องเรียนจึงมืดลงเช่นกัน ซูกู้เหยียนนั่งย้อนแสง เฟิ่งสือจิ่นจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา และไม่อยากมองเห็นด้วย
เฟิ่งสือจิ่นถาม “ท่านชายหลิวก็กลับไปแล้ว ไม่ทราบว่าข้ากลับไปได้หรือไม่?”
ซูกู้เหยียนตอบ “ท่านชายหลิวสำนึกผิดแล้ว จึงกลับบ้านได้ แล้วเ้าล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นพูดอย่างไม่กลัวเกรง “ก็สมควรแล้วที่เขาจะสำนึกผิด เพราะเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็ความผิดของเขา”
“เ้าไม่คิดว่าตัวเองมีความผิดเลยหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นเตรียมจะเดินจากไป แต่ซูกู้เหยียนก็เข้ามายืนขวางทางเอาไว้ เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “หลบไป!”
แสงระลอกสุดท้ายของดวงตะวันที่ส่องลงบนใบหน้าของซูกู้เหยียนค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบไม่ต่างไปจากเดิม “ตราบใดที่ยังอยู่ในวิทยาลัย เ้ายังต้องเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’ หากข้ายังไม่อนุญาตให้เ้ากลับบ้าน เ้าก็ออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ จนกว่าเ้าจะสำนึกถึงความผิดของตนเอง”
เฟิ่งสือจิ่นขมวดคิ้วมุ่น ตอนที่ท่านอาจารย์สั่งให้สำนึกผิด นางยังดื้อรั้นและเถียงจนสุดใจ ตอนนี้ เมื่อซูกู้เหยียนสั่งให้นางสำนึกถึงความผิดของตนเอง มีหรือที่นางจะยอมเชื่อฟัง เฟิ่งสือจิ่นเล็งเห็นช่องว่างที่ข้างกายซูกู้เหยียน จึงรีบก้าวขา ด้วยหวังว่าจะลอดออกทางช่องนั้น คิดไม่ถึงว่าซูกู้เหยียนจะตอบสนองรวดเร็วอย่างนี้ ราวรู้ว่านางเตรียมจะทำเช่นนี้มาั้แ่แรกแล้ว เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว ขวางทางเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้อีกครั้ง เฟิ่งสือจิ่นจึงชนเข้ากับหน้าอกของเขาอย่างจัง
นางพูดด้วยความโกรธ “คิดว่ามีวิชาต่อสู้ติดตัวนิดๆ หน่อยๆ แล้วตัวเองจะวิเศษจนไม่มีใครสู้ได้เลยหรืออย่างไร? หากไม่ใช่เพราะอาจารย์สั่ง ข้าหรือจะยอมมาที่นี่!”
ซูกู้เหยียนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็ไม่ใจอ่อนเพียงเพราะเ้าเป็น้องสาวของสือหนิงหรอกนะ นักศึกษาทุกคนในวิทยาลัยหลวงย่อมเท่าเทียมกัน หากทำพลาดก็ต้องแก้ไข ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ”
เฟิ่งสือจิ่นพูดพลางหัวเราะ “คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะหัวโบราณแถมยังดื้อรั้นได้ขนาดนี้”
“จะพูดอย่างไรก็แล้วแต่เ้าเถอะ”
เฟิ่งสือจิ่นถอยกลับไปสองก้าว นางยืนพิงที่ข้างผนัง พลางพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย “งั้นก็อยู่แบบนี้ต่อไปนี่แหละ ข้าไม่สนใจหรอกนะ หากคนอื่นจะพากันลือว่าเราอยู่ด้วยกันในห้องเรียนมืดๆ แห่งนี้เพียงลำพังทั้งคืน แต่เกรงว่าป่านนี้ เฟิ่งสือหนิงคงรอให้เ้ากลับไปกินข้าวเย็น แล้วพานางขึ้นเตียงอยู่กระมัง”