เฟิ่งสือจิ่นคิด... ตนคงทำให้เขาผิดหวังมากสินะ
เมื่อแส้เหวี่ยงลงมาเป็ครั้งที่สาม ครั้งนี้ จวินเชียนจี้ฟาดหนักเป็อย่างมาก แม้แต่เฟิ่งสือจิ่นที่ร่างกายแข็งแรง แถมยังมีจิตใจเข้มแข็งก็ยังทนไม่ไหว นางล้มหมอบลงกับพื้น รู้สึกชาไปทั้งหลัง นางแนบใบหน้าติดกับพื้นดิน พลางพูดประชดอย่างดื้อรั้น “ศิษย์ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน อาจารย์ โปรดอธิบายให้ข้าทราบด้วย!”
นางเป็คนนิสัยเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่ชอบไม้แข็ง ต่อให้จวินเชียนจี้จะตีนางจนตาย เฟิ่งสือจิ่นก็ไม่มีทางยอมรับผิดแน่ จวินเชียนจี้มีสีหน้าเ็า เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าเย็นะเื แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าสิ่งที่มากกว่าความโกรธ คือความจนปัญญาและอ่อนใจ เขายกแส้ในมือขึ้น เตรียมจะตีเฟิ่งสือจิ่นเป็ครั้งที่สี่ อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นหมอบคลานอยู่บนพื้นโดยไม่ขัดขืน คล้ายยอมรับชะตากรรมของตนแล้ว ทว่าท้ายที่สุดจวินเชียนจี้ก็ทำไม่ลง จึงหยุดลงเพียงเท่านี้
จวินเชียนจี้นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดด้วยระดับเสียงที่ต่ำลงมาเล็กน้อย “ดอกหลิงเซียวส่งผลเสียต่อสมองและระบบเืในร่างกาย ทำให้ผู้ใช้สติพร่าเบลอไปชั่วขณะ หากอาการหนัก ดอกหลิงเซียวอาจกลายเป็พิษที่ทำร้ายร่างกายเลยก็ได้ เ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก ถึงได้ใส่ดอกหลิงเซียวลงไปในเตาหลอมเช่นนี้! ใครเป็คนสอนให้เ้าทำเช่นนี้กันแน่?”
เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าแนบติดกับพื้นดิน จวินเชียนจี้จึงมองไม่เห็นสีหน้าของนาง อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะขึ้นเบาๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามฉีกยิ้มคล้ายปลอบใจตัวเอง แต่กลับพบว่าตนยิ้มไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “ไม่มีใครสอนทั้งนั้น ข้าทำเองทั้งหมด อาจารย์ วางใจเถอะ ศิษย์ควบคุมปริมาณของดอกหลิงเซียวอย่างดี แถมยังไม่ได้ผสมมันเข้าไปโดยตรง แค่ใช้กลิ่นของมันรมยาเพียงครู่เดียวเท่านั้น ยาเม็ดนั้นจึงทำให้ผู้ใช้ขาดสติไปชั่วขณะ แต่ไม่มีผลร้ายแรงอะไร”
“จนถึงขั้นนี้แล้ว เ้ายังไม่สำนึกผิดอีกหรือ รู้หรือไม่ว่าหากเื่นี้แดงขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “หากข้ากับอาจารย์ไม่บอก คนอื่นไม่มีทางรู้แน่”
จวินเชียนจี้พบว่า ไม่ว่าตนจะโกรธมากแค่ไหน แต่ในเวลานี้ ต้องยอมรับว่าตนจนปัญญากับศิษย์หัวแข็งคนนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไรดี ทว่าที่เขาโกรธมากขนาดนี้ก็เพราะเขามีเฟิ่งสือจิ่นเป็ศิษย์แค่คนเดียว สิ่งที่เขาเป็ห่วงจริงๆ ไม่ใช่การที่เฟิ่งสือจิ่นทำเื่ผิดๆ แต่กลัวว่าเื่ผิดๆ ที่นางทำจะส่งผลเสียร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไขได้ต่างหาก
จวินเชียนจี้จับแส้ในมือแน่น เขาถาม “ทำไมถึงทำแบบนี้?”
เฟิ่งสือจิ่นครุ่นคิดอยู่นาน จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา หากอาจารย์รู้ว่าคืนนั้นฮ่องเต้วางยาและคิดจะทำมิดีมิร้ายกับนาง จนนางเกือบเอาชีวิตไม่รอดละก็ จวินเชียนจี้จะยังพูดประโยคนั้นออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาเช่นนี้ได้อีกหรือไม่? ทว่าท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป “ศิษย์... ศิษย์แค่... แค่สงสารพระสนมอวี๋เท่านั้น”
“เ้าสงสารนาง แล้วอนาคตล่ะ ใครจะมาสงสารเ้า? พระราชวังมีทั้งกฎระเบียบและเื่วุ่นวายสารพัด เื่พวกนี้ เป็สิ่งที่เ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบหรือ?” จวินเชียนจี้สะบัดแขนเสื้อ เขาเดินผ่านหน้าเฟิ่งสือจิ่น พลางพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “หากเ้ายังไม่ยอมรับผิด ก็คุกเข่าอยู่ที่หน้าห้องหลอมสมุนไพรจนกว่าจะยอมรับผิด หากยังคิดไม่ได้ ก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีก!”
ท้ายที่สุด เฟิ่งสือจิ่นก็ลุกขึ้นมาคุกเข่าตัวตรง ส่วนจวินเชียนจี้ก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ที่นี่งดงามดั่งแดน์ในยามเช้า แต่ในยามดึก ห้องหลอมสมุนไพรกลับทั้งหนาวเย็นและเงียบเหงา ทั้งที่เป็สถานที่เดียวกันแท้ๆ แต่กลางวันกับกลางคืนกลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แสงจันทร์อ่อนใสราวกับสายธาร แสงริบหรี่ส่องผ่านชายคามายังพื้นดิน สายลมพัดผ่าน ลูบให้ต้นไม้รอบด้านส่งเสียงพลิ้วไหวขึ้นเบาๆ
ความหนาวที่เย็นลึกเข้าไปถึงกระดูกค่อยๆ กระจายขึ้นมาจากหัวเข่า เฟิ่งสือจิ่นคุกเข่าในท่าเดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนตลอดทั้งคืน เมื่อรุ่งสาง แสงแดดยามเช้าส่องทะลุหน้าต่าง นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ส่งเสียงเสนาะหูอย่างเบิกบาน เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกเวียนหัวจนแทบไม่ได้สติ แต่ก็ยังได้ยินเสียงจากภายนอกอย่างเลือนราง
มีเสียงฝีเท้าของเด็กรับใช้ดังขึ้นในจวนราชครู และมีเสียงฝีเท้าของอาจารย์ดังขึ้นเช่นกัน
นางก้มหน้าลงต่ำ รู้สึกปวดหัวเป็อย่างมาก น้ำมูกก็เริ่มไหลออกมาเป็ทาง นางออกแรงสูดมันกลับเข้าไปอีกครั้ง ต่อมาก็มีเด็กรับใช้นำอาหารเช้ามาให้ เด็กรับใช้พูดขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์สั่งให้ท่านกินข้าวเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาคุกเข่าต่อ อาจารย์เข้าวังไปแล้ว แต่บอกว่าจะมาตรวจดูด้วยตนเองเมื่อกลับมาถึง”
เฟิ่งสือจิ่นขานรับแบบส่งๆ ก่อนจะล้มฟุบลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง
หลังจากล้มลง เฟิ่งสือจิ่นก็ป่วยหนักเป็เวลาหลายวัน นางหมดสติอยู่นานร่วมสามวันสามคืน โดยจวินเชียนจี้ก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิดนานถึงสามวันสามคืนเช่นกัน เขาทั้งใจเย็นและอ่อนโยน ความโกรธเกรี้ยว คำตำหนิ และความเคร่งขรึมที่เคยมีเมื่อหลายวันก่อนมลายหายสิ้น
เฟิ่งสือจิ่นพูดละเมออย่างขาดสติ “ข้าไม่ได้ทำผิด... อาจารย์ ข้าไม่ผิด... มันสมควรโดนแล้ว...”
จวินเชียนจี้นั่งอยู่ข้างกาย เขามองเฟิ่งสือจิ่นอย่างสงบเป็เวลานาน ก่อนจะยื่นมือไปลูบหน้าผากของนางเบาๆ พลางพูดด้วยเสียงเบาหวิว “แค่รับผิดมา ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา หากเพียงเ้ายอมรับผิดมาเพียงสักคำ อาจารย์ก็คงไม่ตีเ้าหนักแบบนั้น และแข็งใจลงโทษเ้าไม่ลงเช่นกัน”
เฟิ่งสือจิ่นละเมอขึ้นเบาๆ นางหันไปคลอเคลียฝ่ามือของจวินเชียนจี้เบาๆ สมดั่งคำที่ว่า ยามโรคภัยมาเยือน แม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งก็ยังต้องล้มลง ่ที่อยู่บนเขาจื่อหยาง นางเคยป่วยแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ทว่าเมื่อป่วย ร่างกายก็ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หลายวันที่ผ่านมา แม้ไข้จะลดลงแล้ว แต่นางก็ยังสะลึมสะลือ ไม่ได้สติเสียที ทันทีที่ได้สติ และเห็นจวินเชียนจี้เป็คนแรก จู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างเสียอกเสียใจ เฟิ่งสือจิ่นยึดแขนเสื้อของจวินเชียนจี้แน่น แล้วพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “เมื่อครู่ข้าฝันร้าย ฝันว่าอาจารย์ไม่้าข้าแล้ว!”
หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ต่อให้จวินเชียนจี้จะใจแข็งแค่ไหน ก็อดใจอ่อนกับน้ำตาของคนตรงหน้าไม่ได้ เขาลูบหัวเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ เป็การปลอบโยน
จวินเชียนจี้ป้อนยาให้นางด้วยตนเอง แถมยังดูแลนางอย่างระมัดระวัง น่าเสียดายที่ศิษย์และอาจารย์คู่นี้ยังไม่ยอมพูดคุยกันเสียที ต่อมา เฟิ่งสือจิ่นหน้าซีดเผือด นางถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “หากศิษย์ลุกจากเตียงได้แล้ว ต้องไปคุกเข่าที่ห้องหลอมสมุนไพรต่อใช่หรือไม่?”
จวินเชียนจี้ชะงักนิ่งลง “ไม่ว่าอย่างไร เ้าก็จะไม่ยอมรับผิดใช่ไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นเบะปากไม่ตอบ ท่าทางราวกับเด็กที่ถูกรังแก น้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นมาคลอเบ้าอีกครั้ง
จวินเชียนจี้พูดขึ้น “เอาเถอะ วันนั้นข้าคงโกรธจนขาดสติ เลยลงโทษเ้าหนักเกินไป แถมยังตีเ้าแรงแบบนั้น ข้าแค่กลัวว่าในอนาคต เ้าจะสร้างความผิดที่ใหญ่จนเกินจะแก้ไข เ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากวันนั้นมาถึงจริง เ้าจะทำอย่างไร?”
เฟิ่งสือจิ่นนอนคว่ำอยู่บนเตียง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เป็เวลานานกว่านางจะพูดด้วยเสียงเศร้าหมอง “จะทำอย่างไรได้อีก ศิษย์มีตัวคนเดียว อย่างมากก็แค่ตาย อย่างไรเสีย ศิษย์ก็ไม่มีอะไรให้ห่วงอยู่แล้ว”
“มีตัวคนเดียว ข้าไม่เคยอยู่ในสายตาเ้าเลยหรืออย่างไร หากเป็เช่นนั้นจริง ทำไมเ้าถึงกลัวว่าข้าจะทิ้งเ้าไปจนเก็บไปฝันเช่นนี้?” เสียงของจวินเชียนจี้แฝงไปด้วยความเศร้าหมองที่บางเบาจนยากจะสังเกตเห็น เมื่อเห็นว่าเฟิ่งสือจิ่นชะงักลง เขาจึงพูดขึ้นอีก “แผลที่หลังยังเจ็บหรือไม่?” เขาเตรียมจะยื่นมือเข้าไปแตะ แต่เมื่อยื่นมือขึ้นไปกลางอากาศก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเฟิ่งสือจิ่นไม่ใช่เด็กๆ ที่เขาสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่ต้องนึกถึงขนบธรรมเนียม แต่นางโตเป็สาวเต็มตัวแล้ว เหตุนี้ มือที่ชะงักอยู่กลางอากาศจึงถูกเก็บกลับมาอีกครั้ง
เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกน้อยใจจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน นางจมูกแดงก่ำ พลางพูดขึ้น “อาจารย์กับข้าเป็คนในครอบครัวเดียวกัน ศิษย์เกือบจะลืมไปเสียแล้ว ไม่ว่าศิษย์จะทำความผิดที่ใหญ่หลวงมากแค่ไหน ขอแค่ยอมรับผิด อาจารย์ก็จะให้อภัยศิษย์ใช่หรือไม่?”
จวินเชียนจี้ลูบหัวเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ น้ำเสียงของเขากลับไปอ่อนโยนเหมือนก่อน “ในทางทฤษฎี ย่อมเป็เช่นนั้น”
“อาจารย์ ท่านจะไม่ตี ไม่ดุ ไม่ด่าข้าแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่?” เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้นไปมองจวินเชียนจี้ตาแป๋ว จวินเชียนจี้ทนสายตาออดอ้อนเช่นนี้ไม่ไหว จึงพยักหน้าเบาๆ ในที่สุด เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปกอดเอวของจวินเชียนจี้เอาไว้แน่น เส้นผมยุ่งเหยิงบนหัวถูคลอเคลียหน้าอกกว้างอย่างออดอ้อน “เช่นนั้น... เช่นนั้นศิษย์ยอมรับผิด อาจารย์เลิกโกรธข้าได้แล้ว ดีหรือไม่?”