ซวงเอ๋อร์ดึงดันจะตามมา ยามนี้ คงมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ว่าภายในหัวใจกำลังเ็ปทรมานมากแค่ไหน เป็อย่างที่คิด ซวงเอ๋อร์อดทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากำหมัดแน่น คล้ายตนกับฮ่องเต้มีความแค้นที่มากมายจนไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินเช่นนั้น เขาลุกขึ้นยืน เตรียมจะบุกเข้าไปในตำหนัก ยังดีที่เฟิ่งสือจิ่นดึงมือของเขาเอาไว้ทัน
เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว เข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิหนำซ้ำจะทำให้พวกเ้าทั้งสองคนเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ หากเ้าคิดจะทำเช่นนี้มาั้แ่แรก ไยต้องพาพระสนมอวี๋ไปส่งให้ตาเฒ่านั่นถึงเตียงด้วย พวกเ้าน่าจะฆ่าตัวตาย สังเวยชีวิตเพื่อความรักั้แ่เนิ่นๆ จึงจะถูก”
กลางดึก ตะเกียงที่จุดอยู่ในตำหนัก บ้างก็ดับลงแล้ว บ้างก็เริ่มมีแสงริบหรี่ลงเรื่อยๆ
นี่เป็การทดสอบที่แสนทรมานสำหรับซวงเอ๋อร์ ศึกครั้งนี้ เขามีคู่แข่งเป็ใจตัวเอง กระทั่งน้ำมันในตะเกียงเผาไหม้จนหมด และไฟในตำหนักมอดดับลงทุกดวง เสียงประหลาดจึงค่อยๆ เงียบลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเงียบสงัดลงอย่างสิ้นเชิง ซวงเอ๋อร์เล่าเื่ราวความรักระหว่างตนกับพระสนมอวี๋ให้เฟิ่งสือจิ่นฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง แม้เฟิ่งสือจิ่นจะไม่อยากรับรู้มันเลยก็เถอะ
เมื่อเล่าจบ แสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนพื้นก็หมองหม่นลงเล็กน้อย คล้ายมันเองก็รู้สึกเ็ปไปกับเื่ราวที่เกิดขึ้นเช่นนั้น ลมราตรีพัดผ่าน ซวงเอ๋อร์เริ่มได้สติกลับมา เขาหันไปมองตำหนักด้านหลังโดยไม่มีทีท่าว่าจะจากไปไหน
เฟิ่งสือจิ่นลูบจมูกตัวเองเบาๆ “ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ต่อไป เื่ระหว่างพวกเ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็หรือตายก็ไม่ใช่เื่ของข้าอีกต่อไป” นางหันไปมองซวงเอ๋อร์ “ข้าแค่อดสงสัยไม่ได้ เ้าเป็ชายชาตรี แฝงตัวอยู่ข้างกายพระสนมมาตั้งนาน ไม่เคยถูกจับได้เลยหรือ?”
ซวงเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ข้าเป็แค่สาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง แค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีก็ไม่มีใครมาสนใจแล้ว”
เฟิ่งสือจิ่นพยักหน้าเบาๆ “ก็จริงของเ้า” นางลูบลำคอของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองลำคอของซวงเอ๋อร์ “ทำไมเ้าถึงไม่มีลูกกระเดือก?”
ซวงเอ๋อร์หันมามองเฟิ่งสือจิ่นแวบหนึ่ง เขาขยับลำคอเบาๆ ไม่นานลูกกระเดือกก็ปรากฏออกมาให้เห็น “ข้าแค่บีบเสียงให้เล็ก และซ่อนมันเอาไว้เท่านั้น” เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้ถามอะไรต่อ ซวงเอ๋อร์อ้าปากขึ้น และพูดด้วยเสียงแหบพร่า “แม่นางสือจิ่น ขอบคุณเ้ามาก”
เฟิ่งสือจิ่นเบนสายตาไปมองซวงเอ๋อร์ ก่อนจะพูดด้วยท่าทางขบขัน “คืนที่เ้าคิดจะฆ่าข้า คงคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่ง เ้าจะต้องพูดขอบคุณกับข้าสินะ”
ซวงเอ๋อร์มีสีหน้าละอาย “ขออภัยด้วย ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องทำเช่นนั้น หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”
“เ้าคิดว่าฆ่าข้าแล้ว อาการป่วยของพระสนมอวี๋จะหายดีไม่ได้งั้นหรือ?”
“เปล่า แต่อย่างน้อย... อย่างน้อยก็น่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของราชครูกับฝ่าาได้บ้าง” ซวงเอ๋อร์พูดด้วยท่าทางจริงใจ “ข้าไม่ควรทำให้แม่นางตกเป็เป้าสายตาของทุกคนเลย เป็ความผิดของข้าเอง”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ช่างมันเถอะ เื่ที่ฮ่องเต้เรียกข้าไปเข้าเฝ้า ก็ใช่ว่าเ้าจะหยุดยั้งได้ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำเสียหน่อย”
“เื่ในคืนนี้ หากมีโอกาส ข้าจะตอบแทนบุญคุณของแม่นางอย่างแน่นอน ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย”
เฟิ่งสือจิ่นปัดชายกระโปรงเบาๆ พลางลุกขึ้นยืน นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้นหรอก ที่ข้าเลือกทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อเ้าทั้งหมด” นางทำเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวนางเอง เพราะนางกับอี๋ซวง หรือก็คือซวงเอ๋อร์ล้วนเกลียดแค้นตาเฒ่าคนนั้นเหมือนกัน เฟิ่งสือจิ่นแหงนหน้ามองจันทรา “ที่นี่น่าจะหมดธุระของข้าแล้ว หากเ้าอยากเฝ้าอยู่ตรงนี้ต่อไป ก็ทำไปเถิด ข้าจะกลับแล้ว”
“แม่นางสือจิ่น...” อี๋ซวงลุกขึ้นยืน
เฟิ่งสือจิ่นยืนมือไขว้หลังราวกับผู้ใหญ่ นางหันกลับไปมอง ชุดนักพรตสีเขียวขุ่นพลิ้วไสวไปตามแรงลม ดูเหมือนนางฟ้าในราตรีก็ไม่ปาน นางหรี่ตาถาม “มีเื่อะไรอีกหรือ?”
อี๋ซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ แล้วถามด้วยเสียงกังวล “แม้พระสนมจะป้ายเืลงบนผ้าปูเตียง แต่ฝ่าาอาจััได้แล้ว... จะมั่นใจได้อย่างไรว่านางจะไม่ถูกจับได้?”
เฟิ่งสือจิ่นพูดอย่างมั่นใจ “ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ฮ่องเต้ไม่มีทางรู้แน่”
พูดจบ เฟิ่งสือจิ่นก็ออกจากวังหลวงอย่างไม่รีรอ เมื่อออกมาจากประตูวังก็พบว่าเกี้ยวของจวนราชครูกำลังจอดรออยู่ไม่ไกล เฟิ่งสือจิ่นขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว แล้วสั่งให้คนแบกเกี้ยวไปที่จวนราชครูทันที
แม้จะดึกมากแล้ว แต่จวนราชครูก็ยังมีไฟส่องสว่างไปทั่ว คล้ายกำลังรอให้นางกลับมาเช่นนั้น เด็กรับใช้สองคนกำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าจวน เมื่อเห็นเฟิ่งสือจิ่นเดินลงมาจากเกี้ยว ทั้งสองก็รีบเดินเข้ามาหาทันที เด็กรับใช้ในจวนราชครู ต่อให้ไม่ได้เป็ศิษย์ของจวินเชียนจี้อย่างเต็มตัว แต่ก็เรียกเฟิ่งสือจิ่นว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ กันทุกคน มันเป็การเรียกเพื่อแสดงถึงความเคารพที่มีต่อนางนั่นเอง เด็กรับใช้พูดขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกลับมาเสียที รีบเข้าไปเถิด ท่านราชครูกำลังรออยู่”
เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ดึกป่านนี้แล้ว อาจารย์ยังไม่นอนหรือ?”
เด็กรับใช้ตอบ “ท่านราชครูยังวุ่นกับงานในห้องหลอมสมุนไพร แต่ท่านสั่งเอาไว้ว่าหากศิษย์พี่ใหญ่กลับมา ให้ไปพบท่านที่ห้องหลอมสมุนไพรทันที”
เฟิ่งสือจิ่นเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว” พูดจบก็มุ่งหน้าไปที่ห้องหลอมสมุนไพร
หน้าห้อง ไฟหลายดวงส่องแสงริบหรี่ สะท้อนให้เงาไม้รอบด้านสว่างขึ้นเล็กน้อย ยามนี้ เตาหลอมสมุนไพรไม่ถูกใช้งาน จึงไม่มีควันสีขาวลอยออกมาให้เห็น ไม่มีกลิ่นของสมุนไพรลอยเล็ดลอดออกมาเลยด้วยซ้ำ ประตูขนาดใหญ่ทั้งสองบานเปิดอ้าอย่างโดดเดี่ยว ทว่าไม่มีคนเดินเข้าออกแม้แต่คนเดียว
เฟิ่งสือจิ่นหยุดยืนอยู่นอกห้อง จวินเชียนจี้ยืนอยู่ในห้องหลอมสมุนไพร กำลังยืนหันหลังให้นาง แผ่นหลังตรงตระหง่านของเขาดูวังเวงและว้าเหว่กว่าราตรีด้านนอกเสียอีก ไม่รู้ว่าเป็เพราะความกลัว ละอาย หรือเพราะอะไรกันแน่ เฟิ่งสือจิ่นถึงไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาเข้าไปในห้อง
เฟิ่งสือจิ่นยืนประคองขอบประตู ยังคิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มพูดอะไรออกไปดี ในตอนนั้นเอง จู่ๆ จวินเชียนจี้ก็พูดขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมามอง “สือจิ่น กลับมาแล้วหรือ”
เฟิ่งสือจิ่นขานตอบ จวินเชียนจี้ได้ยินดังนั้นก็หันมามองนางด้วยสายตาที่เฟิ่งสือจิ่นคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ เฟิ่งสือจิ่นก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ ทว่าเพียงไม่นานนางก็ข่มหัวใจจนสงบ แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านใน “ได้ยินว่าอาจารย์รอข้าอยู่ที่นี่ มีเื่อะไรหรือไม่?”
ทันทีที่พูดจบ เสียงเย็นเยียบของจวินเชียนจี้ก็ดังขึ้น “คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
เฟิ่งสือจิ่นคุกเข่าลงตามคำสั่งโดยไม่ได้ทักท้วงใดๆ
จวินเชียนจี้ถาม “เ้ารู้หรือยังว่าตนทำผิดตรงไหน?”
เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าลงต่ำ กลิ่นอายเย็นเฉียบและอำนาจที่น่าเกรงขามซึ่งกระจายออกมาจากร่างของจวินเชียนจี้ในเวลานี้ ทำให้นางสั่นสะท้านขึ้นเบาๆ มือทั้งสองข้างจับชายเสื้อแน่นอย่างตื่นตระหนก นางครุ่นคิดเื่ราวมากมายในหัว พลันความหวาดกลัวก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ ถึงกระนั้น นางก็ยังถามออกไปอย่างหัวรั้น “ศิษย์ไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรผิด วอนอาจารย์ช่วยเฉลยให้รู้ด้วย”
จวินเชียนจี้ไม่ได้ตอบอะไร แต่ยกมือขึ้นแทน แขนเสื้อสีเขียวขุ่นลอยพลิ้วขึ้นไปในอากาศ ทิ้งมุมโค้งที่งดงามไว้บนนั้น เถาวัลย์ที่ถูกนำมาม้วนจนกลายเป็แส้ปรากฏอยู่ในมือใหญ่ั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ จวินเชียนจี้เหวี่ยงมือ ฟาดแส้ลงบนหลังของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแรง
เฟิ่งสือจิ่นไม่ทันได้ตั้งตัว ความเ็ประคนแสบร้อนแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง ร่างบางเกร็งจนสั่นเทาขึ้นเบาๆ นางจำแส้ในมือของจวินเชียนจี้ได้ มันทำมาจากเถาวัลย์ที่เลื้อยขึ้นอยู่หน้าห้องหลอมสมุนไพรนั่นเอง คาดว่าเพิ่งจะถูกตัดมาทำเป็แส้ได้ไม่นาน
จวินเชียนจี้ถาม “ข้ากำลังถาม ว่าเ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำความผิดอะไรลงไป!”
เฟิ่งสือจิ่นกัดฟันแน่น ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร แส้หนักๆ ก็ถูกฟาดลงมาอีกครั้ง มันเป็เหมือนเหล็กร้อนๆ ที่ประทับตราลงบนร่างของนาง เพื่อให้นางจดจำความเ็ปในวันนี้ให้ขึ้นใจ
เท่าที่นางจำความได้ จวินเชียนจี้ไม่เคยโมโหใส่นางรุนแรงขนาดนี้มาก่อน ไม่สิ เขาไม่เคยโกรธใครมากมายขนาดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ครั้งนี้ เขาคงจะโกรธมากจริงๆ