ตี๋เยี่ยนจวินหนีออกจากพระราชวังผลึกแก้วด้วยความตื่นตระหนก ขณะที่น้ำในทะเลสาบซึ่งแต่เดิมแยกเป็สองฝั่งก็เริ่มไหลเข้าหากัน
หลังจากตี๋เยี่ยนจวินหนีขึ้นฝั่งได้สำเร็จ พระราชวังผลึกแก้วก็จมลงสู่ก้นทะเลสาบไปแล้ว ทว่ากลับไม่เห็นหนิงเทียนหลบหนีออกมาเลย
เขาเฝ้ารออยู่ข้างทะเลสาบเป็เวลานาน แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหนิงเทียน เขาจึงคิดในใจว่าหรือเ้าเด็กนั่นยังอยู่ข้างในนั้น?
หนิงเทียนจะตายแล้วจริงหรือ?
ไม่น่าเป็ไปได้หรอก
...
ณ พระราชวังผลึกแก้ว
หญิงชุดขาวอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาด ร่างของนางเลือนรางราวกับสามารถอันตรธานไปได้ทุกเมื่อ
ตอนแรกหนิงเทียนก็กังวลเล็กน้อย แต่หลังจากเขาได้สังเกตอย่างถี่ถ้วนก็พบว่า หญิงนางนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งยังดูเหมือนนางกำลังนึกถึงบางอย่าง เขาจึงไม่ได้พูดอะไรและยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเขาเผลอถอนหายใจออกมา นางจึงหันมามองและเผยให้เห็นใบหน้างดงาม
หญิงร่างโปร่งใสดูอ่อนเยาว์ราวสาววัยยี่สิบ รูปร่างของนางเพรียวบาง ผมยาวนุ่มสลวย ดวงตาสุกใสดุจคลื่นสีฟ้าที่ล้ำลึก ทั้งยังมีความอ่อนโยนราวกับสายน้ำปรากฏบนดวงหน้า
หญิงนางนี้งดงามยิ่งนัก แม้จะไม่ใช่ความงามที่น่าทึ่ง แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนแหล่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่โต้ลมจนเกิดระลอกคลื่นบางๆ
ทันทีที่นางมองหนิงเทียน กระแสน้ำวนดุจสระน้ำพุก็ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่งาม สายตาของนางราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คนได้ จนหนิงเทียนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
“ทะ...ท่านคือ?” หนิงเทียนตึงเครียดไปทั้งร่างด้วยความประหม่า
หญิงชุดขาวเปิดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเผยให้เห็นความอ่อนโยน “ข้ามีนามว่าสุ่ยหลิง เ้าคือหนิงเทียนใช่หรือไม่?”
“เอ่อ... ท่านรู้ชื่อข้าได้อย่างไร?” หนิงเทียนค่อนข้างประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้สามารถอ่านใจได้จริงๆ หรือ?
“ก่อนหน้านี้คนพวกนั้นเรียกเ้าว่าหนิงเทียน”
ชายหนุ่มโล่งอกแล้วถามต่อ “เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่? ท่านเกิดในดินแดนหยวนซิงหรือไม่?”
“ไม่ใช่ แต่เ้าลองเล่าเื่ราวฝั่งเ้าให้ข้าฟังสักหน่อยสิ”
หนิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็อธิบายสถานการณ์ในดินแดนหยวนซิง และทุกสิ่งที่เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้นางฟังอย่างคร่าวๆ
สุ่ยหลิงรับฟังอย่างสงบและเงยหน้าสบตาเป็ครั้งคราว เมื่อหนิงเทียนพูดจบนางก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้ามาจากดินแดนแห่งชีวิตซึ่งแตกต่างจากที่นี่”
“ท่านมาที่นี่ทำไม? แล้วเหตุใดถึงตกลงมาในยอดเขาหมื่นอสูรพร้อมกับหลุมลึกและหลุมั์?”
สุ่ยหลิงส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด ไม่แน่ว่าอาจมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างดินแดนหยวนซิงกับพวกเรา”
สุ่ยหลิงค่อยๆ เคลื่อนร่างลงมาอยู่ข้างกายหนิงเทียน ลวดลายน้ำที่มองไม่เห็นบิดเบี้ยวอยู่ในห้วงอากาศเช่นเดียวกับระลอกคลื่น
หนิงเทียนรับรู้ถึงแรงผลักอันหนักหน่วงของกระแสน้ำรูปวงแหวนที่สั่นะเือย่างถี่รัว พร้อมปล่อยคลื่นกระแทกแปลกประหลาดออกมา
สุ่ยหลิงยิ้มแล้วัักระแสน้ำข้างกายหนิงเทียนด้วยนิ้วหยกเรียวเล็กอย่างแ่เบา ทันใดนั้นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจอธิบายได้ก็หลั่งไหลเข้าสู่กระแสน้ำรูปวงแหวน และทำให้แรงผลักจางหายไป
“รากฐานของเ้าก็ไม่แย่นัก”
หนิงเทียนถามอย่างสงสัย “มันดีหรือไม่?”
สุ่ยหลิงทำท่าราวกับครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะพยักหน้า “ก็ไม่แย่หรอก”
“ไม่มีทาง ข้าสามารถใช้ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าต่อกรกับขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าได้ เกรงว่าผู้ที่มีฝีมือเช่นนี้ในรุ่นข้าอาจหาไม่ได้อีกแล้ว” หนิงเทียนกล่าวอย่างหดหู่
สุ่ยหลิงส่ายหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเห็นคนที่มีอายุและระดับเดียวกันกับเ้า แต่แข็งแกร่งกว่าเ้าถึงสิบเท่า เมื่อเทียบกันแล้วเ้ายังคงตามหลังอยู่มาก”
หนิงเทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที “อยู่ในขอบเขตเดียวกันแต่แข็งแกร่งกว่าข้าถึงสิบเท่าเลยหรือ?”
“ในบรรดาผู้เกิดมาพร้อมเส้นลมปราณฟ้าประทานทั้งเก้าบางคนมีแม้กระทั่งร่างศักดิ์สิทธิ์ชีพจรฟ้าประทานเก้าสาย รากฐานของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเ้า แต่ละขั้นเล็กๆ ล้วนบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเ้ายังตามหลังพวกเขาอยู่มาก แต่รากบ่มเพาะของเ้าค่อนข้างพิเศษ และแผนที่ิญญาก็รวบรวมมาได้เป็อย่างดี แต่ว่า...”
“แต่อะไร?”
“วิธีการฝึกฝนของเ้ามีบางอย่างผิดปกติ”
หนิงเทียนตกตะลึง “สิ่งใดที่ผิดปกติ?”
สุ่ยหลิงถามด้วยรอยยิ้ม “เ้าคิดว่าความหมายที่แท้จริงของจื๋อซิวคืออะไร? สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างพวกเ้ากับหยวนซิว?”
หนิงเทียนขมวดคิ้วแน่น เขาขบคิดอยู่นานก่อนจะได้คำตอบว่าตนไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของจื๋อซิวเลย และไม่ทราบความต่างระหว่างจื๋อซิวกับหยวนซิวด้วย
สุ่ยหลิงถามต่อ “เ้าคิดว่าจื๋อซิวหรือหยวนซิวกำเนิดขึ้นมาก่อน?”
“หยวนซิวเรียกตัวเองว่าสายเืที่แท้จริง เช่นนั้นหยวนซิวน่าจะเกิดก่อน” หนิงเทียนพึมพำ
“ผิดแล้ว ใน่เริ่มต้นของความโกลาหล เต๋าให้กำเนิดทุกสรรพสิ่งและกฎสามพันข้อ วิถีแห่งเต๋าสร้างธรรมทั้งปวง ซึ่ง่แรกมนุษย์ค่อนข้างอ่อนแอ สภาพแวดล้อมของธรรมชาติคัดสรรทำให้พวกเขาศึกษาประโยชน์ของอสูรและพฤกษาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงสร้างวิถีการบ่มเพาะของตนเองขึ้นมา”
หนิงเทียนถามอย่างประหลาดใจ “ท่านกำลังบอกว่าการปลูกรากบ่มเพาะเกิดขึ้นก่อนหยวนซิวหรือ?”
“ไม่ว่าจะเป็ซิงซิว หยวนซิว หรือจื๋อซิวต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตน หยวนซิวเองก็มีรากฐานมาจากการปลูกรากบ่มเพาะ แต่พวกเขาได้ผสานพลังกับลักษณะเฉพาะของมนุษย์และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา จึงมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ทว่าหยวนซิวก็ไม่สามารถเข้าใจแก่นของการปลูกรากบ่มเพาะได้อย่างถ่องแท้ เนื่องจากมีความแตกต่างระหว่างมนุษย์และิญญาอยู่”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ แปลว่าหยวนซิวก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าจื๋อซิวเสมอไปสินะ?”
“จากที่เ้าเล่ามาก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าสาเหตุที่จื๋อซิวอ่อนแอที่สุดในดินแดนหยวนซิง อาจเป็เพราะเกิดการหยุดชะงักไป่เวลาหนึ่ง จากนั้นแนวทางของผู้บำเพ็ญก็หลงทิศทางไปจนเหล่าจื๋อซิวอ่อนแอลง”
หนิงเทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น “เช่นนี้เราจะขจัดความโกลาหลออกไปอย่างไร?”
สุ่ยหลิงถามเื่แิ วิธีการ และแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะ และหนิงเทียนก็บอกทุกอย่างที่เขารู้โดยไม่คิดปิดบัง
“เ้ามาจากภูมิหลังที่ป่าเถื่อน ทั้งยังไม่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการบ่มเพาะมากนัก ซึ่งนี่คือข้อได้เปรียบของเ้า ทิศทางการฝึกฝนในดินแดนหยวนซิงนั้นผิดเพี้ยนมาก ความคิดที่ว่าการฝึกฝนเป็กุญแจสำคัญในการบ่มเพาะของจื๋อซิว เมื่อชีพจรควบแน่นก็ย่อมพบความสำเร็จและสามารถทำทุกอย่างที่้าได้ ทั้งยังฝึกฝนตามทฤษฎีของหยวนซิวอีก สิ่งเหล่านี้ผิดจากความเป็จริงโดยสิ้นเชิง”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว “แล้วเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้?”
“คงเป็เพราะจื๋อซิวรู้สึกอยู่เสมอว่าหยวนซิวเก่งกว่า ดังนั้น หาก้าเหนือกว่าหยวนซิวก็ต้องเข้าใจวิธีการฝึกของหยวนซิว ต้องเรียนรู้หรือแม้กระทั่งลอกเลียนแบบเพื่อหวังจะตามพวกเขาได้ทัน แต่ความจริงแล้วนี่เป็วิธีที่ผิดเพราะหยวนซิวคือสายเืที่ตื่นขึ้นมา พื้นฐานของพวกเขาย่อมแตกต่างจากการปลูกรากบ่มเพาะ รวมถึงทิศทางและวิธีการฝึกฝนก็ต่างกันโดยธรรมชาติ”
“เช่นนี้จื๋อซิวจะหาทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างไร?” หนิงเทียนขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม
สุ่ยหลิงมองหนิงเทียน ดวงตาของนางจ้องมองเงาบงกชสีมรกตข้างกายเขา “หากเ้าเป็ดอกบัว โลกของเ้าจะเป็อย่างไร? หากเ้าเป็หญ้า สีสันของสรรพสิ่งในโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร?”
“ท่าน้าให้ข้าลืมตัวตนในฐานะมนุษย์ และถือว่าตนเป็ดอกไม้ต้นหญ้าที่ย้อนกลับสู่รากเหง้า เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของรากบ่มเพาะ และมองโลกจากมุมมองของพวกมันในการฝึกฝนหรือ?”
“จื๋อซิวปลูกสิ่งใดก็ต้องเติบโตเป็สิ่งนั้น ถ้าทิ้งรากบ่มเพาะไว้เื้ั เ้าคิดว่าจะบรรลุผลสำเร็จได้หรือ?”
หนิงเทียนพูดกลั้วหัวเราะ “เช่นนั้นในอนาคตข้าจะกลายเป็ต้นไม้หรือไม่?”
“จุดเริ่มต้นของทุกวิถีคือธรรมชาติ และวิถีแห่งการเพาะปลูกก็คือวิถีแห่งธรรมชาติ มันมีความบริสุทธิ์ที่ไร้ขีดจำกัด กุญแจสำคัญคือการหาวิธีที่ถูกต้อง และแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณที่ห้าของเ้าก็เกี่ยวข้องกับข้า ถือได้ว่านี่เป็โชคชะตา ดังนั้น ข้าขอถามเ้าว่ากระแสน้ำรูปวงแหวนมีทั้งหมดกี่รูปแบบ?”
หนิงเทียนหมุนทักษะยุทธศาสตร์ครอง์ พลันสายน้ำนอกร่างกายก็เข้าล้อมเขาไว้ เส้นลมปราณที่ห้าสั่นะเือย่างรุนแรง แผนที่จิติญญากำลังตื่นขึ้น พร้อมปลดปล่อยพลังงานลึกลับออกมา
เขาคำนวณอย่างรอบคอบ ก่อนจะให้คำตอบว่ามีกระแสน้ำมากถึงห้าหมื่นเก้าพันสี่สิบเก้ารูปแบบ
เมื่อได้ยินดังนั้น สุ่ยหลิงก็กล่าวว่า “ไม่ใกล้เคียงสักนิด ด้วยระดับความเข้าใจของเ้าในยามนี้ ถือว่ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอเลยจริงๆ”
หนิงเทียนกลอกตาแล้วถามว่า “มีวิธีใดที่จะพัฒนาได้อีกหรือไม่?”
สุ่ยหลิงถามกลับ “เ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเหตุใดแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณที่ห้าของเ้าจึงแตกต่างจากแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณอีกสี่เส้นก่อนหน้านี้?”
หนิงเทียนตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ครั้งหนึ่งข้าเคยเจอผู้บำเพ็ญที่มีความสามารถคล้ายรากบ่มเพาะของเ้า เขารวบรวมแผนที่จิติญญาทั้งเก้าได้ในขอบเขตจิตหยั่งลึก แม้แต่ละส่วนจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็ไม่เคยหลุดออกจากขอบเขตของเชื้อสายรากพฤกษาเลย จิติญญาดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์เก้าชนิดถูกรวมเข้าด้วยกัน และสุดท้ายก็ทำให้์ต้องตกตะลึง”
หนิงเทียนพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าสามารถเทียบกับคนผู้นั้นได้หรือไม่?”
“เส้นลมปราณที่ห้าของเ้าพิเศษมาก มันหลุดพ้นจากประเภทของเส้นลมปราณและก้าวไปสู่วิถีแห่งธรรมชาติ อาจเป็เพราะรากบ่มเพาะของเ้าที่ไม่ธรรมดา หรือเ้าอาจจะโชคดีที่สามารถควบแน่นสิ่งนี้ได้ หลังจากมีดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์แล้ว เ้าจะสามารถเข้าใจแหล่งที่มาของชีวิตโดยไม่รู้ตัว และเปลี่ยนทิศทางการฝึกฝนของตน”
“ท่านหมายความว่า หากข้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสายน้ำและความลึกลับของแหล่งกำเนิดชีวิต ข้าอาจเดินตามเส้นทางของผู้มีพร์คนนั้น และแผนที่จิติญญาทั้งเก้าที่ข้ารวบรวมก็ล้วนเกี่ยวข้องกับดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ใช่หรือไม่?”
“มีความเป็ไปได้สูงมาก นับได้ว่าเ้ามีโชคอย่างแท้จริง และเ้าก็ถูกกำหนดให้มีโชคชะตาร่วมกับข้าแล้ว ตัวข้าถือกำเนิดจากน้ำ ดำรงไว้ซึ่งแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต และเต๋าคือธรรมชาติ น่าเสียดายที่...เฮ้อ!” สุ่ยหลิงถอนหายใจแ่เบา แสดงความโศกเศร้าไม่รู้จบ
หนิงเทียนอยากถามต่อ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ข่มความสงสัยไว้ในใจ
สุ่ยหลิงเดินเข้าไปในพระราชวังผลึกแก้ว โดยมีหนิงเทียนติดตามมาอย่างเงียบๆ
หลังจากเดินสำรวจรอบพระราชวังทั้งเก้าแล้ว สุ่ยหลิงก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมของนาง แล้วจ้องมองหนิงเทียนด้วยท่าทางที่ซับซ้อนมากขึ้น
“ข้าสามารถช่วยพัฒนารากฐานของเ้าได้ แต่การที่เ้าจะทะลุขีดจำกัดได้หรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเ้าเอง”
“ขอบคุณพี่สาวที่ช่วยเหลือข้า” หนิงเทียนพูดอย่างมีความสุข
สุ่ยหลิงกระซิบ “รากฐานของเ้าไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่หลงทิศทางไปเล็กน้อย ข้าจะแนะนำเ้าด้วยวิถีแห่งธรรมชาติ ส่วนเ้าจะสามารถอยู่รอดจนถึงจุดสุดท้ายได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางจิติญญาของเ้า”
หนิงเทียนตอบอย่างจริงจัง “พี่สาวโปรดวางใจ ข้าจะอดทนจนถึงที่สุดแน่นอน”
สุ่ยหลิงยิ้มอย่างซับซ้อนก่อนจะยกเรียวนิ้วข้างขวาขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นแสงนำทางก็ปรากฏขึ้น และผลึกหยดน้ำหลากสีสันก็รวมเข้ากับกระแสน้ำรูปวงแหวนข้างกายหนิงเทียน
“ทางสายใหญ่นั้นเป็ธรรมชาติ ซึ่งมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงที่ไร้จุดสิ้นสุด ยุทธศาสตร์ครอง์นั้นทรงอำนาจอย่างยิ่ง ทว่าเ้ายังไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง เส้นลมปราณทั้งเก้าครองนภา จากมนุษย์สู่ความเป็ะ แต่เ้ายังไม่บรรลุการครอง์ชั้นแรกเลยด้วยซ้ำ วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นต้องมุ่งไปในทิศทางของความสว่าง ความเล็ก ความละเอียดอ่อน และความว่างเปล่า ขณะที่ทะลวงพันชั้นก็ต้องแสวงหาอำนาจอันแข็งแกร่งและการครอบงำ ใหญ่และเล็กเป็สองขั้วตรงข้ามเช่นเดียวกับหยินหยางที่แข็งและอ่อนนุ่ม ซึ่งจะก่อเกิดเป็การเปลี่ยนแปลงขั้นสุด”
เสียงของสุ่ยหลิงดังก้องอยู่ในจิตใจของหนิงเทียน ดูเหมือนนางจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ทั้งยังรู้ทักษะวิชาทั้งหมดที่เขาฝึกฝน และชี้นำจากเส้นทางแห่งการปลูกไปสู่เส้นทางแห่งธรรมชาติโดยย้อนกลับสู่รากเหง้าของเขาเอง
ในกระแสน้ำรูปวงแหวน ผนึกหยดน้ำหลากสีกระจายตัวกลายเป็อักษรแห่งเต๋า ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนิงเทียนเข้าสู่สภาวะพิเศษ กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตสั่นระรัวพร้อมกลืนกินแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต มันกระตือรือร้นและทรงพลังอย่างมาก
เส้นลมปราณทั้งห้าสั่นะเืและส่งเสียงคำราม แผนที่จิติญญา แผนภาพกระบี่ และแผนที่ัต่างตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังเกิดการพัฒนาไปอย่างลึกลับ
บงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว หญ้าต้นน้อย เถาวัลย์เขียว และลำธารนอกร่างหนิงเทียนเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ละสิ่งปล่อยกลิ่นอายที่แตกต่างกัน ก่อนจะค่อยๆ ระเหิดและเข้าสู่การพัฒนา กระตุ้นให้เส้นลมปราณทั้งเก้าของหนิงเทียนสั่นไหว ยามนี้การเปลี่ยนแปลงที่สั่นะเืทั้งใต้หล้ากำลังเริ่มขึ้นแล้ว
“ทุกชีวิตไร้สายธาร วนเวียนไร้จุดจบ สิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัด มีเพียงเปลี่ยนแปลงไร้ที่สิ้นสุด”
เสียงของสุ่ยหลิงลึกซึ้งและน่าพิศวง ราวกับเป็แสงสว่างที่ส่องนำทางให้หนิงเทียน
