อาสะใภ้เจิ้งใช้สายตามองไปยังสามีของตนเอง แววตานั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจิ้งจั่งเหวิน บอกความจริงกับข้ามานะว่าเ้าสอนเื่ไม่ดีอะไรให้น้องจาง หึ คงไม่ได้เล่าเื่ไม่ดีของพวกเราตอนยังแรกรุ่นให้เขาฟังใช่หรือไม่ หากเป็เช่นนั้นจริงๆ คืนนี้เ้าเตรียมตัวนอนผู้เดียวไปได้เลย’
ต้านิวมองไปยังสองสามีภรรยาด้วยความสนใจ ก่อนจะเข้าไปยังเบื้องหน้าของซูฉีเฉียว “ท่านแม่ ดูพวกเขาสิเ้าคะ อายุเท่านี้กันแล้วยังจะทำตาเหล่ใส่กันอีก น่าอายเหลือเกินเ้าค่ะ”
คำพูดของเด็กน้อย แม้ว่านางจะไม่ได้เอ่ยออกมาดังๆ ทว่าเวลานั้นทุกคนต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน
อาสะใภ้เจิ้งชะงัก ทันทีที่โดนแกล้งนางก็หัวเราะออกมา
“ต้านิว พ่อแม่ของข้าไม่ได้ทำตาเหล่ใส่กันสักหน่อย อย่างนี้เขาเรียกว่า…กำลังหยอกเย้ากันอยู่…” ลูกอายุห้าขวบของอาสะใภ้เจิ้งรีบเข้ามาช่วยแก้ไขทันที
“อ้อ…หยอกเย้ากัน หมายความว่าอย่างไร” ต้านิวเรียนรู้เก่ง เมื่อมีอะไรที่ไม่เข้าใจก็รีบถามทันที
“หยอกเย้าหรือ…” พวกผู้ใหญ่ต่างมองกันและยิ้มออกมา รอดูว่าเจิ้งเสวี่ยอวิ๋นจะอธิบายความสัมพันธ์ของชายหญิงคำนี้อย่างไร
“เื่นี้เ้าไม่รู้หรือ การหยอกเย้าก็เหมือนท่านพ่อท่านแม่ของข้าอย่างไรเล่า เสี่ยวฉินฉิน เ้าสวยเหลือเกิน เ้าคนไร้ยางอาย แก่ปูนนี้แล้วยังพูดจาน่าเอ็นดูเช่นนี้อีก ไปๆ ไปไหนก็ไปเลย อย่ามาทำให้ลูกเห็น…”
เด็กน้อยเรียนรู้คำพูดและน้ำเสียงของผู้ใหญ่ได้เหมือนจริง จนทำให้คนบนโต๊ะอาหารตกตะลึง
จนเมื่อเจิ้งจั่งเหวินรู้สึกตัวขึ้นมาก็เกิดความเขินอายขึ้นมา ก่อนจะตบโต๊ะฉาดหนึ่ง “เ้าเด็กคนนี้ แอบฟังพวกข้าพูดกันหรือ…”
ภรรยาเหล่าเจิ้งเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้า บ้าจริงเชียว ช่างน่าขายหน้าเสียจริง คำพูดระหว่างนางและสามีเหตุใดถึงได้ถูกเ้าลูกคนนี้แอบฟังได้เล่า
ยามนี้ซูฉีเฉียวจึงได้เพิ่มบันทึกขึ้นมา เหมือนว่าชื่อเล่นของอาสะใภ้เจิ้งจะชื่อว่าฉินฉิน เอ้อ เอาล่ะ สองคนนี้ เวลาที่เสน่หากันก็คงไม่รู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไรเช่นกันสินะ ทำให้เ้าตัวน้อยต้องมาอธิบายคำว่าหยอกเย้าเช่นนี้
“ฮ่าๆ…” เ้าจางเฉาิคนไร้ยางอายหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเขาเริ่มขึ้นมาซูฉีเฉียวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน
ลูกชายเหล่าเจิ้งได้วิ่งหนีไปไกลั้แ่ตอนที่ผู้เป็พ่อะโออกมาแล้ว
หากไม่วิ่งหนี ผู้เป็แม่ก็ต้องวิ่งตามหลังเขามาอย่างแน่นอน
“เฮ้อ ที่แท้การหยอกเย้าของผู้ใหญ่ก็เป็เช่นนี้นี่เอง ไม่เห็นสนุกเลย” ต้านิวเอ่ยเพิ่มออกมาก่อนจะหัวเราะร่วมกับเหล่าผู้ใหญ่
เวลานี้ด้านนอกก็มีอีกครอบครัวหนึ่งยกเนื้อถ้วยใหญ่เข้ามา
“มาๆ เฉาิมาแล้ว มื้อนี้ของพวกเราก็ถือว่าเป็การต้อนรับ เหล่านักล่าสัตว์ผู้เหน็ดเหนื่อยของพวกเรา”
ปกติแล้วหากมีสมาชิกใหม่ คนอื่นๆ มักจะจัดการเลี้ยงต้อนรับ
นี่คือการต้อนรับซูฉีเฉียวและคนในครอบครัวทั้งสี่ การเดินทางมาในครั้งนี้จำเป็จะต้องเลี้ยงต้อนรับสักหน่อย
อาหารมื้อนี้ต้านิวจอมกินเก่งก็ไม่สามารถต้านทานไว้ได้ นางผล็อยหลับไปตอนที่งานเลี้ยงยังไม่เลิกราด้วยซ้ำ
วันต่อมาทำให้ทุกๆ คนพากันนอนตื่นสายกันหมด
เื่นี้ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อวานทุกคนต่างดื่มกันเมามาย ทำเอาเหล่าบุรุษต้องคลานขึ้นเตียงกันเลยทีเดียว เหล่าหญิงสาวก็พากันพูดคุยด้วยความกระตือรือร้น เพื่อเตรียมตัวไปหาผักป่าด้วยกัน
ครั้งนี้สี่สาวเดินทางไปด้วยกัน ซูฉีเฉียวเองก็เป็หนึ่งในนั้น
ถึงแม้ว่านางจะเพิ่งมาที่นี่ ควรจะอยู่ที่บ้านเพื่อเก็บข้าวเก็บของก่อน แต่ซูฉีเฉียวกลับรู้สึกว่าตนเองควรจะมาทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมด้านนอกสักหน่อยว่าที่ดินที่นี่เหมาะจะเพาะปลูกอะไร
ในใจของนางกำลังมีแผนการบางอย่าง ครั้งนี้นาง้าจะมาดูสถานที่ด้วยตนเองจึงจะสามารถลงมือปฏิบัติจริงได้
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้ออกมาดูที่ดินผืนนี้แล้ว นางก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แห้งแล้ง… ดินแข็ง…
ที่ดินผืนนี้ทำให้รู้สึกว่าทั้งแห้งและแข็ง
มิน่าเล่าที่ดินผืนนี้ถึงได้เพาะปลูกอะไรไม่ค่อยได้ สถานที่เช่นนี้จะไปปลูกอะไรได้กัน
“มิน่าเล่าถึงได้มีผู้คนอาศัยอยู่ได้ไม่นาน เฮ้อ ดูท่าที่ดินผืนนี้คงไม่เหมาะกับการเพาะปลูก” ซูฉีเฉียวเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยความผิดหวัง
“ใช่แล้ว เหตุที่ที่ดินผืนนี้รกร้างก็เพราะดินทั้งแห้งและแข็ง หลายปีก่อนพวกเราเคยลองดูว่าจะปลูกอะไรได้บ้าง น่าเสียดายสุดท้ายก็แห้งและตายหมด เฮ้อ ข้าจะบอกอะไรเ้านะ ปีนั้นพวกเรารดน้ำกันจนเหนื่อย การเก็บเกี่ยวผลผลิตก็ไม่ได้ดีเท่าการออกไปล่าสัตว์ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงไม่ได้ฝืนที่จะปลูกอะไรอีกต่อไป”
เมื่อได้ฟังเื่เหล่านี้ ซูฉีเฉียวก็พยักหน้าเห็นด้วย “จริงด้วย ดูๆ ไปแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือที่ดินผืนนี้ขาดแคลนน้ำ แต่ว่าเหตุใดถึงไม่ไปปลูกตรงที่ดินรกร้างหน้าูเาเล่า ข้าเห็นว่าป่าตรงนั้นอุดมสมบูรณ์มาก และที่ดินตรงนั้นจะต้องเหมาะกับการเพาะปลูกอย่างแน่นอน”
ซูฉีเฉียวมองไปยังป่าเขียวขจีเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามอาสะใภ้เจิ้ง
“อ๋อ นั่นน่ะหรือ ข้ารู้ว่าที่นั่นเหมาะกับการเพาะปลูก แต่ว่าหากเ้าบุกเบิกที่ดินตรงนั้น พวกหนููเารวมไปถึงสัตว์ป่า พืชป่าอื่นๆ ก็จะมาทำลายสิ่งที่เ้าปลูก ที่ดินตรงนี้อ้างว้าง ดังนั้นคนที่อยู่อาศัยจึงมีน้อย แต่ว่าพวกสัตว์ป่าไม่ได้มีน้อยเลย หากทำการเพาะปลูก พวกกระรอกป่ารวมไปถึงหนูป่าเป็พวกที่สร้างความเสียหายให้ผลผลิตได้มากที่สุด เฮ้อ น้องสาว เ้าไม่เคยปลูกพืช ไม่รู้หรอกว่ายามถูกทำลายพืชผลวุ่นวายเพียงไหน เพียงแค่คืนเดียวสามารถทำให้ทุกอย่างในที่ดินของเ้าถูกล้างผลาญไปจนหมดสิ้น”
มาถึงตรงนี้ซูฉีเฉียวจึงได้รู้ว่าตนเองคิดตื้นเขินเกินไป
ดินที่อุดมสมบูรณ์มีทั้งหนูและสัตว์ป่าอื่นๆ มากมาย
ที่ดินอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้
หากสามารถจัดการกับหายนะเหล่านี้ได้ การบุกเบิกที่ดินก็ไม่ใช่เื่ที่เป็แค่ความฝัน
ซูฉีเฉียวขมวดคิ้วและครุ่นคิดด้วยความตั้งใจ เพราะมีเื่ในใจทำให้ตลอดทางนางไม่ได้เก็บผักป่ามากเท่าไรนัก ในส่วนของต้านิว เมื่อนางเห็นว่าเหล่าท่านอาทั้งหลายเก็บอะไร นางก็รีบเข้าไปเก็บผักเ่าั้ด้วยเช่นกัน
ทำให้ผ่านไปเพียงไม่นานก็ได้ผักมาไม่น้อย
ครอบครัวของนางก็คงไม่ได้้าผักมากมายอะไร เมื่อเห็นว่าเพียงพอแล้วจึงเดินทางกลับ หลังจากเข้าที่เข้าทางแล้ว น้ำตาลทรายแดงที่ซูฉีเฉียว้าก็ถูกนำมาส่ง แน่นอนว่าจางเฉาิคือผู้ที่นำมาให้
ในตอนที่นางทำการกลั่นน้ำตาลทรายขาว นางปิดประตูและทำการกลั่นอยู่ที่หลังบ้าน
ไม่ใช่ว่าการเป็คนจะต้องเห็นแก่ตัวถึงขนาดที่ไม่ยอมให้อาสะใภ้เจิ้งและคนอื่นๆ รับรู้ แต่นางจำใจต้องเห็นแก่ตัว
ยามที่ปัญหาเื่ปากท้องของตนเองยังไม่หมดไป นางไม่สามารถทำตัวเป็คนดีเพื่อไปจัดการกับปัญหาทุกข์ยากของคนอื่นๆ ได้
งานหลักของจางเฉาิไม่ใช่การล่าสัตว์ แต่ทำงานเป็ผู้ขนส่งสินค้าให้กับนาง
เพราะการเดินทางของที่นี่ไม่ได้สะดวกเท่าไรนัก จะต้องขนส่งน้ำตาลทรายมาจากนอกพื้นที่และต้องขนส่งน้ำตาลทรายขาวที่ผ่านการกลั่นออกไปส่งข้างนอกด้วย
เพราะการขนส่งไปกลับเช่นนี้ ซูฉีเฉียวจึงเสนอว่าให้เลี้ยงลาตัวหนึ่ง
แต่ว่าสุดท้ายแล้วแผนการเลี้ยงลากลับถูกจางเฉาิขัดเอาไว้ เพราะตอนที่เขากำลังไปเลือกที่ตลาดค้าม้าแม่พันธุ์ คำนวณไปคำนวณมาเขากลับรู้สึกว่ามีการใช้ม้าแม่พันธุ์มากกว่าลา
และม้าแม่พันธุ์ก็สามารถแบกรับน้ำหนักได้มากกว่าลา
ตอนที่เขาเลือกม้ากลับบ้านมา เขาคิดว่าซูฉีเฉียวจะต้องไม่พอใจเสียอีก แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่เห็นนางก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที อีกทั้งยังจุมพิตบนใบหน้าของเขาอีก “พ่อของลูกข้า เ้าช่างฉลาดเหลือเกิน ในที่สุดก็รู้จักใช้สมองของตนเองเสียที ไม่ใช่ข้าพูดอะไรก็ทำตามไปเสียหมด”
แม้นางจะบอกว่าสามีที่เชื่อฟังก็ถือว่าไม่เลว แต่หากสามีคนนี้เชื่อฟังนางอย่างเดียวแต่ไม่รู้จักตั้งใจครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางให้ไปทำ คนเช่นนี้จะไปต่างอะไรกับหุ่นเชิด
ซูฉีเฉียวคาดหวังให้สามีของนางเป็คนเชื่อฟัง ทำตามที่นางบอกเหมือนที่คนทั่วๆ ไปทำ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาเปลี่ยนแปลงไปเป็ชายปวกเปียกที่เอาแค่ความคิดของภรรยาเป็ที่ตั้ง การมีความคิดเป็ของตนเองเป็เครื่องยืนยันว่าตัวเขาไม่ใช่บุรุษโง่เขลา
วันเวลาของนางก็ผ่านไปเช่นนี้
ในคราแรกซูฉีเฉียวก็เป็กังวลว่าอาสะใภ้เจิ้งและครอบครัวอื่นๆ จะมีความคิดเห็นว่าตนเองอยากร่ำรวยอยู่คนเดียว แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ถูกอาสะใภ้เจิ้งเอ่ยถึงเื่นี้ขึ้นมานางจึงได้รู้ว่าตนเองกังวลมากเกินไป
“คนที่นี่จะไปมีอะไรกันเล่า มีคนสั่งของมามากมาย ล้วนแต่เป็สิ่งที่ตนเองขวนขวายเอง การที่เ้ากังวลเื่ความสำเร็จ พวกเราเข้าใจชัดเจนดี แน่นอนว่าก็จะต้องรู้สึกอิจฉา แต่ว่านั่นเป็ความสามารถของเ้านี่นา พวกข้าจะมีสิทธิ์อะไรไปโกรธเ้า อย่ามองคนอื่นในแง่ร้ายไปเสียหมดสิ น้องสาว ถ้าเ้าใช้ชีวิตที่มีความสุข เ้าจะไม่ดูแลพวกเราหรือ เอาล่ะ เ้าทำตามที่เ้าตั้งใจเถิด พวกเราเชื่อมั่นในตัวเ้า”
เมื่อได้ฟังคำพูดที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ซูฉีเฉียวรู้สึกว่าบางทีความตั้งใจในการทดสอบอาสะใภ้เจิ้งนั้นถือว่าถึงในจุดที่นางตั้งใจเอาไว้แล้วเช่นกัน
นางยื่นมือไปจับมือของอาสะใภ้เจิ้ง “ท่านอาสะใภ้ คำพูดของท่านถูกต้องยิ่งนัก ครั้งนี้ที่ข้ามาหาท่าน อันที่จริงข้ามีความคิดอยากจะให้ทุกคนมาร่วมสร้างเงินทองด้วยกัน เอาแบบนี้แล้วกัน ั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไป ข้าก็เชิญให้ท่านมาร่วมบุกเบิกที่ทางเพื่อทำการเพาะปลูกกับข้า ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทุกคนก็จะมีรายได้ยี่สิบเหรียญทองแดง อย่างไรทุกคนก็ว่างกันอยู่แล้ว ข้าจะบุกเบิกที่ดินเพื่อทำการเพาะปลูกที่ตีนเขา”
ความคิดนี้ในตอนที่เอ่ยปากออกมาก็ทำให้อาสะใภ้เจิ้งถึงกับตกตะลึง
แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของซูฉีเฉียว ก็รับรู้ได้ว่าน้องสะใภ้จางไม่ได้กำลังล้อเล่นอย่างแน่นอน
เมื่อเล่าให้หญิงสาวคนอื่นๆ ฟัง พวกนางก็ตกตะลึงเช่นกัน
แต่เมื่อมีเื่เงินทองมาเกี่ยวข้อง สำหรับพวกนางแล้วถือว่าเป็เื่ที่ดี
เื่การบุกเบิกที่ดินไม่ใช่เื่ที่ทำได้ง่ายๆ เลย หญิงในชนบทไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจเหมือนกับหญิงสาวในเมือง
เวลาที่ต้องทำงานขึ้นมาก็จะมีความเป็ผู้นำ
ดังนั้นเดิมทีหญิงสาวเหล่านี้ที่เอาแต่ดูแลเื่การทำอาหาร แต่ยามนี้พวกนางไม่ได้มีหน้าที่แค่การทำอาหารแล้ว ยังมีหน้าที่การบุกเบิกที่ดินเพื่อเพาะปลูกเพิ่มมาอีกด้วย
เพราะเป็การบุกเบิกพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ดังนั้นในตอนที่ซูฉีเฉียวไปซื้อที่ดินผืนนั้นก็พบว่าราคาถูกมาก
นางได้ไปหาผู้นำหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อพูดคุยกันแล้ว ชายคนนั้นก็ยิ้มหน้าระรื่นและรีบพานางเดินทางไปยังที่ว่าการเพื่อพานางไปลงทะเบียน
เขาทำราวกับว่าหากเขาหันหนีไปแล้วจะสูญเสียกำไรก้อนนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น
การซื้อที่ดินเพื่อบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกในครั้งนี้ ซูฉีเฉียวซื้อที่ดินไปหนึ่งร้อยตำลึง
หนึ่งร้อยตำลึง ต่อให้เป็ไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ก็จะต้องซื้อเป็จำนวนหลายหมู่
ที่ดินทำนาหนึ่งหมู่ถูกขายในราคายี่สิบตำลึง ส่วนที่ดินสวยๆ ถูกขายในราคาสิบตำลึง ที่ดินรกร้างนี้ขายในราคาถูกแสนถูก ราคายี่สิบตำลึงเงินหนึ่งหมู่ อีกทั้งยังแถมูเาข้างๆ เป็ของขวัญอีก
ผู้คนในที่ว่าการเองก็ฉลาดหลักแหลม ที่ดินรกร้างนี้ปีแรกๆ จะไม่มีการเก็บภาษีและขายให้ในราคาแสนถูก แต่หลายปีต่อไปหลังจากนี้ เมื่อที่ดินรกร้างผืนนั้นถูกพัฒนาก็จะกลายเป็ที่ดินที่มีการเพาะปลูก เมื่อถึงเวลานั้นค่อยทำการเก็บภาษี
หากเ้าสามารถฟื้นฟูพื้นที่รกร้างได้ กระตุ้นการค้าขายของที่นี่ หลังจากนี้ก็จะมีคนย้ายมาอยู่ที่นี่มากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่…
จากแผนการในระยะยาว ขุนนางปกครองเมืองท่านนั้นมองการณ์ไกล และขายูเาถึงสองลูกให้ครอบครัวของจางเฉาิในราคาถูก
หลังจากได้รับหนังสือสัญญา ซูฉีเฉียวก็นำมาดูแล้วดูอีก
นางฝันมาตลอดว่าอยากจะเป็เ้าของที่ดิน ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จแล้ว
เพียงแต่ว่าในตอนที่นางกำลังมีความสุขกลับมีคนที่ไม่พอใจ
จางเฉาิมองภรรยาของตนเองด้วยสีหน้าเป็ทุกข์ “ภรรยา ที่ดินมากมายขนาดนั้นที่พวกเราซื้อมาถูกทุ่มเงินทองไปกับมัน แต่หลังจากนี้อีกห้าปีจะถูกเก็บภาษีแล้วนะ” เฮ้อ ถ้าจะพูดกันแล้วเงินร้อยตำลึงซื้อูเาได้สองลูกถือเป็ราคาที่ถูกมาก
แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่มั่นคง
แค่นึกถึงห้าปีหลังจากนี้ต้องจ่ายภาษีตามราคาที่ดินอุดมสมบูรณ์ ในใจของเขาก็รู้สึกเป็กังวล
ซูฉีเฉียวยิ้ม นางหยิบกระดาษขึ้นมาจูบและะโไปยังเบื้องหน้าของจางเฉาิพร้อมกับวางมือบนไหล่ของเขา “พ่อของลูก เ้าไม่คิดหรือว่าพวกเราทำกิจการกลั่นน้ำตาลทรายขาวมานานเท่าใดแล้ว”
“เอ่อ ราวๆ…ครึ่งปีแล้ว”