ระยะเวลาการเดินทางล่าช้าไปถึงสามวันสามคืน เพราะตอนออกเดินทางนำอาหารไปด้วย ทำให้ทุกวันก่อนที่ฟ้าจะมืดครอบครัวของพวกนางจะต้องหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อน
ทุกครั้งที่ลงจากรถม้าเด็กๆ ทั้งสามคนจะมีความสุขมากที่สุด
แม้ว่าในรถซูฉีเฉียวจะมีเื่เล่าให้พวกนางฟังระหว่างอยู่บนรถม้า แต่ถึงอย่างไรเด็กๆ ต่างก็รู้สึกเบื่อ
การที่ได้ลงมาเล่นนอกรถม้าคือสิ่งที่พวกนางชื่นชอบมากที่สุด
เนื่องจากจางเฉาิเป็คนที่มีทักษะในการล่าสัตว์ที่ยอดเยี่ยม ทุกครั้งที่หาสถานที่ในการพักผ่อนก็มักจะออกไปหากระต่ายหรือไก่ป่ามาหนึ่งถึงสองตัว
ต่อให้ไม่มีไก่ป่าหรือกระต่าย เขาก็จะไปจับหนููเามาจากรัง
ครั้งแรกที่เห็นเขาถอนขนหนููเา ซูฉีเฉียวใจนแทบไม่กล้ากิน โชคดีที่หนููเาพวกนั้นเมื่อโรยเกลือและนำไปย่างกลับมีรสชาติไม่เลว
ด้วยเหตุนั้นนางจึงไม่คิดจะต่อต้านหนููเาอีกต่อไป
แน่นอนว่านี่คือหนูที่อยู่ในูเา หากเป็หนูในเมืองอย่างยุคปัจจุบันนางก็คงไม่กล้ากิน ก็เพราะอาศัยอยู่ในูเานี่นา ไม่ต่างอะไรกับพวกกระต่ายป่าที่ปล่อยตายอิสระเท่าใดนัก เมื่อกินเข้าไปจึงไม่ได้มีกลิ่นแปลกประหลาด
ตลอดทางลมเย็นแสงจันทร์กระจ่าง แม้ว่าการนั่งบนรถม้านานๆ จะไม่สบายตัว แต่ความรู้สึกของนางและจางเฉาิกลับค่อยๆ เพิ่มขึ้น
รู้จักกันมาเป็เวลานานแล้ว ความรู้สึกนี้ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หลังจากที่กล่อมเ้าตัวน้อยทั้งสามนอนแล้ว จางเฉาิก็ดูแลนางอย่างดีและรอบคอบ
“ภรรยา ลำบากเ้าแล้ว”
เมื่อได้รับการดูแลจากสามี ได้นอนมองดูดาว สายลมพัดอยู่รอบกาย ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้เคลิบเคลิ้มจนจะล่องลอยไป
“เ้าเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”
“ข้าไม่เหนื่อย แค่บังคับรถม้าไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย ภรรยา บุตรสาวของพวกเราเชื่อฟังเหลือเกิน หลังจากนี้หากโตขึ้น ข้าจะต้องบอกพวกนางว่าแม่ของพวกนางเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดตอนที่เลี้ยงดูพวกนาง”
จางเฉาินึกคำพูดอื่นไม่ออกทำให้เขาเลือกที่จะนำเื่ธรรมดาๆ มาพูดคุย
สำหรับชายที่ไม่หวานซึ้งคนนี้ ซูฉีเฉียวก็ไม่คิดบังคับเขา เพราะทั้งคู่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน
“จางเฉาิ เ้าเคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตนี้จะเป็อย่างไร บางคนอยากที่จะเป็คนใหญ่คนโต บ้างอยากร่ำรวย แล้วเ้าเล่า อยากจะมีชีวิตอย่างไร”
มือที่อยู่บนไหล่จู่ๆ ก็นิ่งไป
ผ่านไปครู่ใหญ่ จางเฉาิจึงกัดปาก และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ภรรยา ข้า…ไม่มีความคิดอื่น ยามนี้ข้าคิดเพียง้ามีชีวิตร่วมกับเ้าและลูกๆ ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเื่อื่นข้าไม่คิดใส่ใจ”
เอาล่ะ ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่มีความทะเยอทะยาน แต่ชีวิตแบบนี้คือชีวิตที่ซูฉีเฉียวพึงพอใจ
นางพลิกตัวมาจ้องมองเขา “อืม พวกเราทำให้ชีวิตที่มีอยู่เจริญรุ่งเรือง แค่นั้นก็พอแล้ว ใช่แล้วเฉาิ ต่อไปพวกเรามาเป็เ้าของที่นากันเถิด ข้าอยากเป็เ้าของที่ดิน แล้วก็หลังจากนี้พวกเราหาซื้อเรือนในเมืองกัน ข้าไม่ได้ตั้งปณิธานอะไร ขอแค่ครอบครัวของเราสามารถหาเงินได้จากที่นี่ ไม่ต้องหิวโหยก็เพียงพอแล้ว”
“ตกลง ภรรยา ตัวเ้าหอมเหลือเกิน”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ มือของใครบางคนก็เริ่มไม่อยู่นิ่ง ช่วยไม่ได้ที่ค่ำคืนเช่นนี้ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ชิดกันด้วย อยากควบคุมจิตใจแต่กลับทำได้ยากนัก
“จางเฉาิ มือเ้า!!”
“ภรรยา…ข้ารู้สึกคันมือ”
“จางเฉาิ…อยากให้ข้าช่วยสับมันทิ้งดีหรือไม่ เช่นนั้นเ้าจะได้ไม่ต้องคันอีก”
“แหะๆ ไม่ต้อง สับทิ้งแล้วข้าก็กลายเป็คนพิการน่ะสิ แม่นาง เ้าคงไม่อยากมีสามีพิการใช่หรือไม่”
“ก็น่าคิดนะ หรือว่าชายพิการอาจจะเชื่อฟังยิ่งกว่าก็ได้”
“ภรรยา…”
“ไม่ต้องมาทำท่าใ ข้าเคยได้ยินมาก็เท่านั้น”
“ภรรยา…ข้าแปลกใจจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะชื่นชอบเื่เช่นนี้ด้วย ชอบคนพิการ แต่ข้ารู้สึกว่าสำหรับเ้าที่งดงามและเป็ที่ดึงดูดเช่นนี้ ต่อให้ต้องพิการข้าก็คิดว่าคุ้มค่า…”
เมื่อตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้นซูฉีเฉียวก็รู้สึกปวดไปทั้งตัว เพราะเมื่อคืนตนเองถูกกลืนกินจนหมดจดแล้ว
นางมองใบหน้าร่าเริงของชายหนุ่มด้วยความสงสัย เมื่อคืนเขากลายร่างเป็หมาป่าเ้าเล่ห์เสียแล้ว ยามปกติก็ดูเป็คนซื่อๆ นี่นา เหตุใดตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็แบบนี้ได้นะ
ในยามที่นางยังคงครุ่นคิดอยู่ จางเฉาิกลับยิ้มให้กับนาง “ภรรยา เ้าตื่นแล้วหรือ ข้าต้มน้ำแกงร้อนๆ เอาไว้ ข้าป้อนสามสาวน้อยแล้ว เ้าก็กินสักหน่อยเถิด อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย น้ำแกงข้าวที่เ้าสอนข้าทำ ลูกๆ ก็สามารถกินได้ เหมาะกับ่เวลาที่เดินทางมากที่สุด”
จางเฉาิส่งน้ำแกงข้าวถ้วยหนึ่งมาให้นางด้วยความเอาใจใส่ นั่นคืออาหารที่ซูฉีเฉียวเตรียมเอาไว้ั้แ่ก่อนออกเดินทาง
หลังจากที่นางรับถ้วยมา จางเฉาิก็ได้นำเนื้อวัวเค็มสองแผ่นใส่ปากนาง ของเ่าั้ก็เป็สิ่งที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนออกเดินทางเช่นกัน
ระหว่างการเดินทางแม้ว่าจะนอนกลางดินกินกลางทราย แต่เพราะจัดเตรียมอาหารเอาไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ และล้วนเป็อาหารที่ไม่ได้เสียง่ายๆ ทำให้ครอบครัวของพวกนางไม่ต้องห่วงเื่ปากท้อง
“จางเฉาิ เ้าเปลี่ยนไปเป็คนนิสัยเสียั้แ่เมื่อใดกัน”
จางเฉาิเขินอายจนหน้าแดง ไม่กล้ามองนาง ได้แต่ก้มหัวและกล่าวพึมพำ
“ภรรยา ลูกๆ มองเราอยู่นะ เวลาอยู่ต่อหน้าพวกนางเ้าก็ไว้หน้าข้าสักหน่อยเถิด”
เอาล่ะ มันเป็ความผิดของนางเอง
ซูฉีเฉียวดื่มน้ำแกงจนหมดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ในขณะที่เด็กสาวทั้งสามมองมาด้วยความงุนงง นางก็บิดตัวเดินเหมือนเป็ดไปที่รถม้า
“ท่านแม่ เหตุใดท่านเดินท่าทางน่าเกลียดเช่นนั้นเล่าเ้าคะ” ต้านิวที่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นก็คิดว่าแม่ของตนเองเดินได้ไม่น่าดูเอาเสียเลย ดวงตากลมโตมองไปที่นางพร้อมท่าทีที่เหมือนจะร้องไห้
“อ๋อ พ่อของเ้ารังแกแม่ ดังนั้นวันนี้จึงเดินเหินไม่สะดวก”
มือที่โบกแส้ของจางเฉาินิ่งไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม เอาล่ะ ภรรยาของเขาปากร้ายยิ่งนัก แต่…รสชาติของเมื่อคืนนี้…ยังติดอยู่ที่ลิ้นจริงๆ ภรรยาที่ร้อนแรงผู้นี้เผ็ดร้อนเหลือใจ…เขาชอบความร้อนแรงนี้ของภรรยาจริงๆ หึๆ…
ภรรยาผู้นี้พูดอะไร…ไม่ระวังเอาเสียเลย ไม่ระวังจนเกือบจะทำให้เกิดเื่ราวระหว่างทั้งคู่ แต่เขาก็เลวทรามจริงๆ เพราะความเป็จริงตัวเขานั้นชอบรังแกภรรยามาก
โดยเฉพาะยามที่นางเคลิบเคลิ้มเวลาที่ถูกเขากลืนกิน แม้ว่าเขาต้องทำตัวน่าเอ็นดูเป็พันเท่า ต้องเสียเปรียบเป็หมื่นครั้ง แต่เขาก็ยังคงมีความสุข
ตลอดการเดินทาง ตอนที่ซูฉีเฉียวเริ่มรู้สึกว่าก้นของตนเองกำลังจะเป็ตะคิวแล้วนั้น ในที่สุดรถก็หยุดลง
“ภรรยา เด็กๆ อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องเดินเท้าไปข้างหน้า ก่อนฟ้ามืดในวันนี้ พวกเราน่าจะถึงบ้านใหม่แล้ว”
พวกนางลงมาจากรถม้า จางเฉาิก็ได้นำรถม้าไปเก็บที่เรือนในไร่แห่งหนึ่ง
นางได้มองเห็นเขาพูดคุยและหัวเราะกับผู้คนจากไกลๆ นางคิดว่าจางเฉาิคงมีความสัมพันธ์อันดีกับคนที่นี่แน่นอน
จางเฉาิที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีท่าทีเขินอายเหมือนตอนอยู่ที่บ้านแม้แต่น้อย
เวลาที่เขาอยู่ข้างนอก เขาดูเป็ชายที่มีชีวิตชีวา แต่ตอนอยู่ที่บ้าน เมื่อถูกบ้านหลักกดขี่ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
บางทีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมคงเป็สิ่งที่ดีสำหรับทุกคน
เมื่อนางครุ่นคิดจนเข้าใจแล้ว ซูฉีเฉียวก็ไม่ได้สนใจเื่ที่ต้องเดินทางไกลเพราะการทำการค้าของนางหลังจากนี้อีก
หลังจากเก็บรถม้าเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ครอบครัวของนางก็ออกเดินทางขึ้นเขาไป
เหมือนกับที่จางเฉาิพูดเอาไว้ ก่อนฟ้ามืดทุกคนก็เดินทางมาถึงที่หมาย
“หืม นั่นเฉาิไม่ใช่หรือ ไอ้หยา กำลังตั้งหน้าตั้งตารอพวกเ้าอยู่เลย ในที่สุดก็มาแล้วสินะ ตอนนี้ก็มีหนึ่งครอบครัวมาเพิ่มแล้ว หลังจากนี้เวลาขึ้นเขาก็มีเพื่อนร่วมทางแล้ว”
เพิ่งจะเดินทางมาถึงก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาจากที่ไกลๆ ด้วยความดีใจ
หญิงคนนั้นอายุราวๆ สามสิบปี บางทีนางอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตสมดังปรารถนาจนทำให้ใบหน้ามีริ้วรอยค่อนข้างมาก
ผมของนางก็ยุ่งเหยิง กระเซอะกระเซิงเล็กน้อย
เมื่อก้าวมาถึงเบื้องหน้าของพวกนาง ก็ยื่นมือออกมาเพื่ออุ้มต้านิว
ซูฉีเฉียวแบกเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้ด้านหลังและอุ้มเอาไว้ด้านหน้าอีกคน จางเฉาิก็กำลังแบกข้าวของมากมายของคนในครอบครัว ดังนั้นต้านิวที่น่าสงสารถึงแม้จะอายุแค่สองขวบกว่าๆ แต่ก็เดินมาถึงที่นี่ด้วยเท้าของตนเอง
“ยินดีที่ได้พบเ้าค่ะท่านอา” ต้านิวปากหวาน นางจำอาสะใภ้คนนี้ไม่ได้หรอก แต่กลับรู้ว่าต้องเรียกผู้คนอย่างไร
“หึๆ เด็กน้อยจำอาสะใภ้ของเ้าได้แล้วใช่ไหม” อาสะใภ้ยิ้มและติเตียนนางหนึ่งประโยค แต่กลับจูบแก้มนางก่อนจะเงยหน้ามองซูฉีเฉียว “แม่หนูเดินทางมาคงเหนื่อยสินะ”
“ฮ่าๆ ไม่เท่าใดหรอก เด็กๆ เชื่อฟังดียิ่งนัก”
“ท่านอาสะใภ้ ครอบครัวเจิ้งกลับมากันแล้วใช่หรือไม่ มาครั้งนี้ข้าคงต้องฝากให้อาสะใภ้ช่วยดูแลด้วย” จางเฉาิส่งขนมห่อเล็กห่อหนึ่งให้กับมือท่านอาสะใภ้
“ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนี้เลย เฉาิ ชีวิตของพวกเ้าก็ไม่ได้มี่เวลาที่ดีมากนัก ขนมเช่นนี้เอาไว้ให้เด็กๆ กินเถิด เฮ้อ เ้าตัวน้อยที่บ้านข้าให้กินพวกธัญพืชก็พอแล้ว”
“ท่านอา ท่านรับไว้เถิด ของพวกนี้ข้าให้หู่จือ ท่านจะเกรงใจอะไรกัน ส่วนของสาวน้อยเหล่านี้ข้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ท่านอาสะใภ้ผู้นั้นได้ดมกลิ่นขนมนี้ แววตาของนางก็มองไปยังซูฉีเฉียวอย่างอดไม่ได้
ซูฉีเฉียวรีบยิ้มตอบรับทันที “ใช่แล้ว อาสะใภ้เจิ้ง ท่านรับไปเถิด นี่คือน้ำใจจากพวกเรา อีกอย่างหลังจากนี้คงต้องให้ท่านมาช่วยดูแลสาวน้อยของพวกเรา ญาติพี่น้องที่อยู่ไกลหรือจะสู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ เฉาิบอกกับข้าบ่อยๆ ว่าท่านเป็คนที่มีความสามารถทั้งเื่ในเรือนและนอกเรือน จึงอยากให้ข้าทำความรู้จักและเรียนรู้จากท่านไว้มากๆ”
ท่านอาเจิ้งผู้นี้ไม่ใช่คนที่ใส่ใจกับเื่เล็กๆ น้อยๆ เท่าไรนัก เมื่อได้ยินซูฉีเฉียวเอ่ยปากเช่นนั้นก็ไม่ปฏิเสธด้วยความเกรงใจอีกต่อไป
นางช่วยอุ้มต้านิวและยกของเข้าไปในบ้าน
“ครอบครัวหนิวเป่ย พวกเฉาิมากันแล้ว รีบมาช่วยขนของหน่อยเร็ว”
ก่อนเดินทางมาเฉาิเคยเล่าว่า ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียงสามครอบครัวเท่านั้น ครอบครัวหนิวเป่ย แล้วก็ครอบครัวของอาสะใภ้เจิ้ง
เมื่อพวกเขามาถึงได้มีสามครอบครัว
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้ซูฉีเฉียวแปลกใจคือไม่ไกลจากนี้ มีบ้านหนึ่งหลังที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย
หลังจากที่อาสะใภ้เจิ้งะโออกไป สองสามีภรรยาอีกครอบครัวหนึ่งก็ออกมา
พวกเขาคือสองสามีภรรยาครอบครัวหนิวเป่ย ดูๆ ไปแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับอาสะใภ้เจิ้ง อายุราวๆ สามสิบปี
มีลูกสองสามคน อีกครอบครัวหนึ่งเป็สามีภรรยาอายุยังน้อยเหมือนกับครอบครัวของนาง
ภรรยาของครอบครัวนั้นช่างดูผ่ายผอมและอ่อนแอ เมื่อเห็นคนมากมายใบหน้าก็แดงก่ำก่อนจะเผยรอยยิ้มให้ทุกคน
ดูไปแล้วน่าจะเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านความอ่อนโยนอย่างแน่นอน
“อ๋อ เฉาิ นี่คือญาติห่างๆ ของข้า ครอบครัวของพวกเขาบ้านไฟไหม้ ครั้งนี้จึงบากหน้ามาขออาศัยอยู่กับข้า ข้าก็เลยให้พวกเขามาอาศัยร่วมกันอยู่ที่นี่ด้วย” อาสะใภ้เจิ้งดึงสองสามีภรรยาอายุน้อยมาเพื่อทักทายกับซูฉีเฉียวและสามี
เย็นวันนั้น เพราะยังเก็บข้าวของไม่เรียบร้อย ดังนั้นครอบครัวของนางจึงถูกอาสะใภ้เจิ้งเชิญไปกินอาหารที่บ้านของนางอย่างอบอุ่น
สามีของอาสะใภ้เจิ้งแซ่เจิ้ง นอกจากใน่เทศกาลพิเศษที่อาจจะกลับบ้านเกิดแล้วทั้งคู่ก็จะใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเสมอ
ตอนที่จางเฉาิเดินทางไปรักษาอาการาเ็ ก็มีอาสะใภ้เจิ้งที่ช่วยดูแลบ้านให้
“เฉาิ นี่เป็เนื้อหมาหริ่งที่พวกเราหาได้ตอนไปล่าสัตว์ เ้าลองชิมดูสิ น้องสะใภ้ เนื้อหมาหริ่งพวกนี้เ้ากินได้หรือไม่ เมื่อก่อนเ้าไม่ชอบกินเนื้อพวกนี้ ทำให้ทุกครั้งเฉาิต้องนำไปแลกเป็เนื้อหมูกลับมาให้เ้าตลอด ฮ่าๆ…”
เหล่าเจิ้งเป็คนสบายๆ ยามที่กินอาหารกัน เขาก็ดื่มสุราด้วยเล็กน้อย ทำให้เขาเริ่มเย้าแหย่ซูฉีเฉียว
“กินได้” ซูฉีเฉียวเอ่ยก่อนจะเอาเนื้อหมาหริ่งใส่ปากด้วยความเอร็ดอร่อย ใช้ท่าทางเป็เครื่องบ่งบอกว่านางไม่ได้แค่เพียงกินได้ แต่ยังชอบกินมากอีกด้วย
อาสะใภ้เจิ้งที่เห็นนางกินด้วยความเอร็ดอร่อยก่อนโถมเข้าไปหาจางเฉาิ “เฉาิอา เหตุใดข้ารู้สึกว่าภรรยาของเ้าเปลี่ยนไปนะ เหมือนกับว่านางนิสัยดีกว่าเมื่อก่อนมาก ดูไปแล้วเหมือนพวกเ้าจะคืนดีกันแล้ว”
เมื่อเอ่ยออกไป เหล่าเจิ้งเองก็เข้ามาร่วมด้วยและตบไหล่เขา “น้องชาย คงไม่ได้ทำตามวิธีที่ข้าบอกหรอกกระมัง ฮ่าๆ เห็นเ้าใบหน้าแดงก่ำเช่นนี้ คงจะทำตามวิธีที่ข้าบอกแน่ๆ ทำได้ดี ชายหนุ่มอย่างพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตให้มีรสชาติของความเป็ชายชาตรีสิ”