“ใช่แล้ว เพียงแค่ครึ่งปีกว่าๆ พวกเราก็มีรายได้เกือบสองร้อยตำลึงแล้ว ข้าจะบอกอะไรให้เ้าฟังนะ หากทำตามความคิดของข้า ข้าอยากจะนำเงินทั้งสองร้อยตำลึงมาซื้อที่ดินรกร้างให้หมด แต่ว่าข้ากลัวจะเกิดเื่ไม่คาดคิดขึ้น ดังนั้นข้าจึงรักษาเงินหนึ่งร้อยตำลึงเอาไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม การที่ที่ดินอยู่ในมือต่างหากถึงจะเรียกว่ามั่นคง ไม่จำเป็ต้องไปกังวลกับเื่เหล่านี้แล้ว ข้ามีความคิดแค่พื้นที่รกร้างจะไปกลัวอะไร หากมันรกร้างพวกเราก็จะนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ บางครั้งพวกเ้าก็ออกไปล่าสัตว์กันบ้าง ่เวลาปกติก็จ้างพวกอาสะใภ้เจิ้งและคนอื่นๆ ช่วยบุกเบิกที่ดินรกร้างเพื่อทำการเพาะปลูก ถางพื้นทีู่เาลูกหนึ่งก่อน ข้า้าปลูกอ้อยจำนวนมาก”
“อ้อยหรือ”
“ใช่แล้ว อ้อย ก็ปลูกอ้อยอย่างไรเล่า เ้าไม่คิดหรือว่ายามนี้พวกเราใช้น้ำตาลทรายแดง แม้ว่าจะประหยัดขั้นตอนไปมาก แต่ตอนนี้พวกเราอยากจะทำกิจการค้าน้ำตาล ทุกๆ การทำงานขอแค่เ้าทำให้ดี ทำให้เต็มที่ ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอน ก็ล้วนแต่เป็หนทางที่หาเงินได้ทั้งนั้น
พวกเราบุกเบิกพื้นที่รกร้างเพื่อทำการเพาะปลูก ทำการปลูกอ้อยด้วยตนเอง ูเาลูกนี้หากเริ่มโดยการปลูกพวกธัญพืชก็คงจะไม่ดีใช่หรือไม่ แต่เราปลูกอ้อยได้นี่นา อ้อยน่ะเป็พืชที่ขึ้นง่ายแล้วก็ดูแลง่าย ข้าเคยลองดูแล้ว ดินของที่นี่หากทำการบุกเบิกพื้นที่แล้วจะต้องเหมาะกับการปลูกอ้อยแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นหากทำการตัดอ้อยแล้ว ข้าก็จะนำมากลั่นเป็น้ำตาล เมื่อได้เป็น้ำตาลทรายแดงแล้วก็จะกลั่นเป็น้ำตาลทรายขาวอีกที น้ำตาลกรวดและผลผลิตอื่นๆ จากน้ำตาล ในยุคสมัยนี้มีหลายพื้นที่ที่้าน้ำตาล พวกเราจะต้องมุ่งมั่นเพื่อที่จะเป็ผู้แปรรูปน้ำตาลแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
ใช่แล้ว หลังจากตัดสินใจว่าจะทำสิ่งนี้ นางก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำการผลิตน้ำตาลแบบครบวงจร
กิจการที่มีน้อย ยิ่งเป็สิ่งล้ำค่า
ต่อให้ทำผลิตภัณฑ์น้ำตาลเพียงแค่อย่างเดียว หากนางทำออกมาได้ดี หลังจากนี้การปลูกพืชเพื่อทำน้ำตาลชนิดต่างๆ จะต้องมีมากขึ้นแน่นอน
ผนวกรวมกับความรู้เก่าแก่นับพันๆ ปี นางจำเป็จะต้องใช้ส่วนประกอบบางอย่างเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาที่ดินผืนนี้
ในส่วนนี้เหมือนกับคนที่้าเริ่มทำธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่มีผิด หากเป็คนที่มองการณ์ไกล จะต้องสามารถกลายเป็นักธุรกิจใหญ่อย่างแน่นอน
และนางเป็คนที่ทะลุมิติข้ามกาลเวลามา มีความรู้มากมายของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็วัฒนธรรมเก่าแก่มาเป็พันปี
นางใช้ประโยชน์ของที่ดินเช่นนี้ เพื่อความสะดวกสบายมากขึ้นและลดปัญหาได้อีกด้วย
ไม่ใช่ว่านางฉลาดอะไรมากนักหรอก แต่ทั้งหมดนั้นคือการสะสมทางวัฒนธรรมนับพันปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่านางก็คิดว่าไม่มีอะไรแปลก แต่จางเฉาิที่มองนางกลับรู้สึกตกตะลึง
เขาค้นพบอีกครั้งว่าแสงสว่างของภรรยาสว่างไสวมากขึ้น
แต่เขายิ่งผ่านไปก็ยิ่งล้าหลัง
ทว่าเขาก็ไม่คิดอิจฉา
ภรรยาที่มีการคาดการณ์เพื่ออนาคตเช่นนี้ ช่างเป็เื่ที่ดีมากเหลือเกิน
เอาล่ะ ทิศทางที่ภรรยาเลือกคือสิ่งที่ถูกต้อง การที่นางกลั่นน้ำตาลได้นั้นก็ถือว่าเป็สิ่งที่เก่งกาจเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเป็เช่นนั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องให้การสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อให้อาจจะเป็สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครหัวเราะเยาะแต่เขาก็ไม่สนใจ
เื้ัของภรรยาที่มากด้วยความสามารถจำเป็จะต้องมีสามีที่ไม่อุทิศตนคอยสนับสนุน นี่คือสิ่งที่ภรรยามักเอ่ยอยู่บ่อยครั้ง ก็ได้ เขายอมรับว่าภรรยาของเขาพูดถูกต้อง
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็บุกเบิกที่ดินเพื่อปลูกอ้อย ภรรยา สิ่งที่เ้าตัดสินใจถูกต้องทั้งหมด ข้าจะสนับสนุนเ้า จะเป็คนที่มีพลังมากที่สุดที่คอยหนุนหลังเ้าแน่นอน”
มีสามีเช่นนี้ ซูฉีเฉียวยังจะมีอะไรต้องพูดอีก
“สามี เ้าน่ารักเหลือเกิน เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะอยู่ข้างบน”
คำพูดของนางทำให้แววตาของจางเฉาิที่ได้ยินเป็ประกายขึ้นมาทันที
ต้านิวเ้าตัวแสบแสนซุกซนก็เข้ามาร่วมด้วยในตอนนี้พอดิบพอดี “ท่านแม่ ข้าก็อยากอยู่ข้างบนด้วย”
สองสามีภรรยาก็หน้าแดงขึ้นมาทันที จางเฉาิอุ้มบุตรสาวขึ้นมาด้วยความประหม่า “เอ่อ ต้านิว อ่า เื่นั้น…เื่นั้น…เดี๋ยวพ่อจะให้เ้าอยู่ข้างบนตอนนี้เลย มาเร็ว ขี่ม้ากันเร็ว”
เมื่อมีแผนการแล้ว แต่ก็มีปัญหาด้านแรงงาน
ว่ากันตามตรง การที่อาศัยอาสะใภ้เจิ้งและคนอื่นๆ เพื่อทำการบุกเบิกพื้นที่รกร้างนั้นเป็สิ่งที่ค่อนข้างมีขอบเขต
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ ใน่ยุคนี้ทางตะวันออกมีปัญหาภัยแล้ง เดิมทีเมืองอันที่เงียบสงบนี้เพียงไม่นานก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
ได้ยินว่าเงินหนึ่งตำลึงสามารถซื้อ่สำคัญของชีวิตได้ ช่วยไม่ได้นี่นา พวกเขาไม่ได้ดูแคลนตนเอง คนในยุคนี้ต่อให้ถูกคนนำไปขายเป็ทาสแต่อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกิน
ใน่ยุคที่แห้งแล้ง คนที่ไม่มีที่ดินก็หวังเพียงแค่ว่าขอให้มีข้าวกินก็เพียงพอแล้ว
ความ้าอย่างอื่นก็ถูกโยนทิ้งไป
ยามที่ได้ยินข่าวนี้ ซูฉีเฉียวถึงได้รู้สึกว่าในยุคสมัยนี้ หากเอาชีวิตรอดไปวันๆ ได้ไม่ดีพอ ก็เป็ไปได้ว่าจะถูกนำไปขายเป็ทาส
นั่นคือความโหดร้ายของชีวิต
แต่ว่าปลงก็ส่วนปลง ตัวนางหลังจากได้รับข่าวคราวเื่นี้ ตอนนั้นนางก็มีความคิดอยากจะไปซื้อพวกทาสเ่าั้มา
อันที่จริงการไปซื้อทาสนั้น หากพูดว่าพวกนางกำลังจะไประดมคนทำงานน่าจะเป็สิ่งที่ดีกว่า
เมื่อมองเหล่าผู้ลี้ภัยที่แออัด แต่ละครอบครัวพากันรวมตัวอยู่ข้างถนน เพื่อรอให้คนมาเลือกตนเอง
ปลายจมูกของซูฉีเฉียวรู้สึกคันยุบยิบอีกครั้ง นี่คือยุคโบราณนี่นา
หากเป็ยุคปัจจุบัน เมื่อพบเจอกับภัยแล้งก็สามารถได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล
ในยุคปัจจุบันไม่มีเื่อย่างการขายตนเองไปเป็ทาสแล้ว แต่ที่นี่เมื่อไม่มีที่ดินสำหรับทำกินก็ทำได้เพียงแค่ขายตนเองมาเป็ทาส
ซูฉีเฉียวไม่ได้นำเื่งานมาเอ่ยเพื่อโน้มน้าวพวกเขา แต่นางได้นำหมั่นโถวที่ซื้อมาเอามาแบ่งปันให้คนละหนึ่งลูก ตอนที่ทุกคนกินด้วยความหิวกระหาย นางจึงพูดถึงจุดประสงค์ของตนเองออกมา
“ข้ารู้ว่าพวกเ้ามาจากหลากหลายสถานที่ ข้าเองก็ไม่ได้ใจดีเป็พิเศษอะไรที่จะมาช่วยเหลือพวกเ้า อันที่จริงข้าก็มีจิตใจที่คำนึงถึงประโยชน์ของตัวข้าเอง เพราะข้า้าที่จะหาคนไปทำงาน”
ยามที่ฟังคำพูดที่เอ่ยมาในตอนแรก เหล่าผู้ลี้ภัยต่างถิ่นต่างก็รู้สึกเป็กังวล แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคหลัง จึงได้รู้ว่าผู้มีเมตตาคนนี้้าหาคนไปทำงาน สำหรับเหล่าผู้ที่สูญเสียที่ดินไป สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือความแข็งแกร่ง สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ ไม่ต้องถูกนำไปขายอีก สำหรับพวกเขาแล้วแน่นอนว่าย่อมเป็เื่ที่น่ายินดี
และด้วยวิธีนี้ ซูฉีเฉียวได้เลือกคนไปทั้งหมดยี่สิบครอบครัว
สิ่งที่นาง้าทำคือบุกเบิกที่ดินรกร้างและทำการเพาะปลูก
และสิ่งที่นางต้องทำในการจัดหาในปีแรกคือหาอาหารการกินและที่อยู่อาศัยให้กับพวกเขา ซึ่งพวกเขาต้องทำการสร้างบ้านขึ้นมาเอง
หลังจากบุกเบิกที่ทางเป็ที่เรียบร้อยแล้ว นางได้ให้คนเหล่านี้เช่าพื้นที่ หากสามารถบุกเบิกที่ดินได้มากก็จะสามารถให้เช่าที่ดินได้มากด้วย
ปีแรกในการเช่าที่ดิน นางไม่ได้ดูแลเื่อาหารการกินให้ แต่นางก็ไม่ได้ทำการเก็บภาษี
ปีที่สองหลังการเก็บเกี่ยวก็จะมีการเก็บภาษี…
“เป็คนดีเหลือเกิน ช่างเป็คนดีจริงๆ” เมื่อได้ทำการประกาศเงื่อนไขออกไปแล้ว ทุกคนที่ถูกนางเลือกมาทำงานต่างก็พากันคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้นและะโเสียงดัง กล่าวว่า ‘เป็คนดี ช่างเป็คนดีเหลือเกิน’
บ่ายวันนั้นตอนที่ผู้คนกลุ่มนี้เดินทางไปถึงหมู่บ้านหวงสุ่ย ก็ทำเอาอาสะใภ้เจิ้งและคนอื่นๆ พากันตกตะลึง แต่หลังจากที่ได้รับรู้ว่าซูฉีเฉียวนำคนเหล่านี้มาทำงานด้วย นางก็รู้สึกโล่งใจ
“ไอ้หยา ใหมดเลยเชียว ข้านึกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยจะมาแย่งที่ทำกินพวกเราเสียอีก ยังดี ยังดี แค่มาทำงานเท่านั้น เฮ้อ คนพวกนี้ผิวเหลืองตัวผอมแห้งกันทั้งนั้น จะมีเรี่ยวแรงหรือ”
ไม่แปลกใจเลยที่อาสะใภ้เจิ้งจะเอ่ยอย่างสงสัยว่าผู้คนที่ดูหิวโหยเช่นนี้จะมีเรี่ยวแรงทำงานได้อย่างไร แต่ว่าซูฉีเฉียวไม่เป็กังวลเลยสักนิด ผู้คนที่มีจำนวนเกือบร้อยคนต่างมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเพราะความหิวโหย ขอแค่ให้เวลาพวกเขาสักระยะหนึ่งในการบำรุง นางเชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องถูกบำรุงออกมาได้ดีอย่างแน่นอน
เมื่อรับเอาคนจำนวนมากเข้ามา เื่อาหารการกินก็กลายเป็ปัญหาแรกที่จะต้องจัดแจง
ส่วนที่อยู่อาศัย ซูฉีเฉียวจัดสรรที่ดินหนึ่งผืนเพื่อให้คนเ่าั้สร้างที่อยู่อาศัย ถึงแม้ว่าจะต้องใช้พื้นที่ไปเยอะ แต่นางก็เชื่อว่าเป็ไปไม่ได้เลยที่จะไม่ลงทุนไปก่อน และไม่ว่าจะพูดอย่างไรในตอนที่พบเจอกับภัยแล้ง การที่สามารถมีที่อยู่เช่นนี้ให้กับพวกเขาก็นับได้ว่าเป็บุญกุศลครั้งใหญ่ที่ตนเองได้ทำ
“ภรรยา พวกเรารับคนมามากมายจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่” ยามที่กินอาหารจางเฉาิอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
ตามความคิดของเขา แค่รับคนมาทำงานสักสิบครอบครัวก็พอแล้ว แต่ตอนนี้รับคนมาทั้งหมดยี่สิบครอบครัว คนเยอะก็จะต้องใช้อาหารเยอะ สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนจำนวนมากขนาดนี้อย่างไร
สำหรับเขาที่ไม่เคยเป็หัวหน้าคนมาก่อน การดูแลผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการดูแลฝูงสัตว์จำนวนมากที่ไม่เชื่อฟัง ส่วนซูฉีเฉียวที่หมกมุ่นอยู่กับมื้ออาหารนั้น เมื่อซดน้ำแกงจนอิ่มก็ตบท้องด้วยความพึงพอใจ “เฉาิ ตอนนี้พวกเราจะทำการบุกเบิกที่ดิน รอให้พวกเราขายน้ำตาลทรายขาวที่ผลิตในรอบนี้ก่อน พวกเราก็จะได้ไปซื้อที่ดินเพิ่ม เมื่อถึงเวลานั้นโรงงานแปรรูปน้ำตาลก็จะถูกสร้างขึ้นมา มีตั้งหลายอย่างที่ต้องใช้แรงงานคน เ้าก็จะต้องมีเื่อื่นให้กังวลแล้ว ในทางกลับกันก็จะสามารถเลี้ยงดูคนเหล่านี้เอาไว้ได้ด้วย”
มิผิด นางไม่ได้รับเอาผู้คนมามากมายขนาดนี้เพราะความเมตตามากมายขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็เพื่อการผลิตโรงงานน้ำตาลของตนเอง หลังจากรับคนเข้ามาทำงานแล้ว นางก็ใช้ระยะเวลาราวสิบกว่าวันในการเลี้ยงดูพวกเขาและสร้างที่พัก การบุกเบิกที่ดินในการเพาะปลูกก็เริ่มขึ้น
การพัฒนาที่ดินบนูเาทั้งสองลูกนั้น หลังจากกำจัดหญ้าที่ขึ้นรกออกและเก็บต้นไม้เอาไว้บางส่วนแล้ว ก็ทำการขุดดิน ขนย้ายก้อนหินออก
เพราะว่าหากบุกเบิกที่ดินได้เยอะก็จะสามารถนำมาให้เช่าได้เยอะขึ้น ดังนั้นการที่คนลี้ภัยเหล่านี้ทำการบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกก็เหมือนกับว่าพวกเขาเ่าั้กำลังทำการบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกเพื่อครอบครัวของตนเองอยู่
ซึ่งการที่ไม่ต้องขายตัวเองไปเป็ทาสและได้ใช้ชีวิตโดยมีทรัพย์สินของครอบครัว สำหรับพวกเขาแล้วเหมือนกับการถูกรางวัลอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากทำงานกลางแดดร้อนแล้ว อาสะใภ้เจิ้งก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก เพราะการที่กลุ่มผู้ลี้ภัยเ่าั้มาอยู่ที่นี่ ความหวังของครอบครัวนางที่เป็แรงงานระยะยาวให้กับซูฉีเฉียวก็หายไปกับตา
ในตอนที่นางกำลังสิ้นหวังนั้น ซูฉีเฉียวก็ได้มาหานาง
“อาสะใภ้ การทำน้ำตาลของข้า้าความช่วยเหลือจากท่าน” นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยคำพูดประโยคนั้นออกมา ยามนั้นเอง นางทำให้อาสะใภ้เจิ้งใจนเหงื่อตก
“อะไรเล่า…เ้า เ้าจะมอบหน้าที่ทำน้ำตาลให้ข้าหรือ ให้ข้าดูแลหน้าที่นี้หรือ”
“ใช่แล้ว จากการที่ได้รู้จักกันมาระยะหนึ่ง ข้าคิดว่าอาสะใภ้เป็คนซื่อสัตย์ คงไม่เปิดเผยงานของข้าออกไป แน่นอนว่าก่อนที่ข้าจะให้ท่านทำงาน พวกเราจะต้องลงนามข้อตกลงกัน เพื่อเป็การรักษากรรมวิธีในการทำน้ำตาล หากกรรมวิธีเหล่านี้หลุดลอดออกไป ข้าก็มีอำนาจที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบและค่าเสียหายจากท่านได้” แม้แต่พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันเลย การจ้างอีกฝ่ายก็ต้องให้อีกฝ่ายรักษาความลับเอาไว้ด้วย
ข้อกำหนดเช่นนี้คือสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ในยุคปัจจุบันเป็เื่ปกติ
ถึงแม้ตอนที่ได้ยินจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แต่อาสะใภ้เจิ้งก็ตอบรับด้วยความเต็มใจ
นางเรียกหญิงสาวทั้งสามคนมาพร้อมกันและเซ็นสัญญา และในวันเดียวกันนั้นซูฉีเฉียวก็ได้พาทั้งสามคนไปยังลานหลังบ้านของตนเอง ยามนี้ลานหลังบ้านของนางก็ถูกเสริมให้มีความแข็งแรงขึ้นแล้วไม่น้อย
หากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเข้ามาในโรงงานผลิตน้ำตาลแห่งนี้ได้
“ข้าสอนพวกเ้าแล้ว หลังจากนี้การจัดการและการผลิตน้ำตาลนี้จะเป็หน้าที่ของพวกเ้า แน่นอนว่าค่าแรงข้าจะให้พวกเ้าตามผลการผลิต”
ใช่แล้ว นางไม่ได้ทำการชำระค่าจ้างที่ตายตัว แต่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับการทำงานที่มากขึ้นด้วย
น้ำตาลหนึ่งจิน ทุกคนจะได้รับเงินยี่สิบเหรียญทองแดง
เมื่อทำงานมาหนึ่งวัน อาสะใภ้เจิ้งก็กลั่นน้ำตาลบริสุทธิ์ออกมาได้สามจิน
เมื่อมาคำนวณดูแล้ว ในหนึ่งวันก็ทำให้ได้รับเงินหกสิบเหรียญทองแดง
และสิ่งนี้เองที่เรียนรู้คราแรกๆ ก็สามารถหาเงินได้มากมายขนาดนี้แล้ว หากทำไปจนคุ้นมือ หนึ่งเดือนจะได้เงินเท่าใดกัน
คำนวณดูแล้วก็ทำให้อาสะใภ้เจิ้งตกตะลึง นางไม่อยากจะเชื่อเลย แม้แต่หญิงสาวอีกสามคนที่เหลือก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน