Chapter six: Simon’s favorite
แพทริเซียใช้เวลาในการนั่งคิดนอนคิดเื่ที่จะเข้าหาไซม่อนอยู่ตลอดทั้งวัน คำพูดของคุณมาร์คัสที่เหมือนกับทิ้งะเิก้อนโตไว้ให้นั้นยิ่งทำให้โอเมก้าหน้าหวานต้องนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าไปใหญ่ เพราะกำแพงที่อัลฟ่าตัวโตสร้างไว้นั้นสูงเกินไป สูงเกินกว่าที่คนนอกอย่างเขาจะก้าวเข้าไปได้ง่าย ๆ และถ้าหากเขาปล่อยให้มันเป็แบบนั้น สิ่งที่เขาวางแผนไว้ทั้งหมดก็คงสูญเปล่าอยู่ดี ยังไงแพทก็ต้องหาทางทำให้ไซม่อนเปิดใจให้ได้
และใน่กลางดึกคืนนั้น แพทไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองนั่งฟุ้งซ่านอยู่ในห้องนอนเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปแล้ว โอเมก้าหนุ่มคว้าเสื้อคลุมหนามาสวมทับร่างกายก่อนตัดสินใจลงไปเดินเล่นในสวนข้างคฤหาสน์หวังให้ตัวเองคลี่คลายความกังวลที่อยู่ในใจได้สักที
สองขาเรียวก้าวเดินช้า ๆ ไปตามสวนขนาดใหญ่ที่มีดวงไฟเล็ก ๆ ประดับจนสว่างไสว หากเป็ในตอนที่เขาอยู่ที่คอตตอนเทล การออกมาเดินนอกบ้านในเวลาดึกดื่นแบบนี้คงไม่ได้รู้สึกปลอดภัยเท่านี้แน่ ๆ
แพทยกแขนเรียวขึ้นกอดอกหวังให้ลดความหนาวเย็นใน่กลางดึก ดวงตากลมโตมองไปตามสวนกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ที่เรียงรายกันอยู่ข้างหน้า เมื่อได้เห็นเขาก็พลันนึกถึงชื่อของใครบางคนขึ้นมา และจู่ ๆ ท่ามกลางเสียงเงียบและความมืดก็มีเสียงติดแหบของชายวัยกลางคนที่เพียงแค่ได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็ใคร
“ชอบดอกกุหลาบเหรอ?”
“คุณอามาร์คัส!”
“ฮ่า ๆ ใแย่เลยสิเรา”
“นิดหน่อยครับ แต่โชคดีที่แพทจำเสียงคุณอาได้”
“ความจำดีใช้ได้เลยนะเนี่ย”
คุณมาร์คัสเดินอ้อมมานั่งลงที่ชิงช้าข้าง ๆ ก่อนจะทอดสายตามองไปตามสวนกุหลาบอย่างใช้ความคิด
“ดอกกุหลาบสวยใช่ไหมล่ะ?”
“สวยครับ สวยมากเลย”
“ฝีมือพี่ชายของอากับอาเองแหละ”
“ทั้งหมดเลยเหรอครับ?”
“ใช่น่ะสิ ดอกไม้ที่พวกเราตั้งใจปลูกกันมาตลอด”
จู่ ๆ ก็ไร้ซึ่งบทสนทนาจากสองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เสียงระฆังจิ๋วที่ถูกประดับอยู่ตามต้นเมเปิลดังกรุ๊งกริ๊งตามลมเย็นที่พัดผ่านไป และเพราะความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในใจทำให้เสียงถอนหายใจลากยาวดังออกมาจากโอเมก้าตัวเล็กอย่างไม่รู้ตัว
“มีอะไรหนักใจอย่างนั้นหรือคุณแพท?”
“คุณอาดูออกเลยเหรอครับ?”
“ก็ถอนหายใจซะดังขนาดนั้น” แพทส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณมาร์คัสก่อนจะยอมบอกเล่าเื่ราวในใจให้ฟัง
“ก็เื่คุณควินท์เรลนั่นแหละครับ”
“ควินท์เรล? ไซม่อนน่ะเหรอ?”
“ครับ”
“ทำไมเรียกกันห่างเหินแบบนั้นล่ะ”
“เขาไม่ยอมให้แพทเรียกเพราะบอกว่าไม่สนิทครับ”
ทันทีที่เขาพูดจบประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคุณมาร์คัสได้ทันที ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรน่าตลกนักกับการที่โดนกีดกันขนาดนั้นก็เถอะ
“ก่อนมาสอนไซม่อน ได้มีใครบอกอะไรกับเขาบ้างหรือยัง?”
แพทริเซียส่ายหน้าน้อย ๆ เป็คำตอบกลับไปให้ทันที
“ก็ถ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย จะเริ่มสอนกันอย่างเข้าใจได้ยังไงล่ะ ถูกมั้ย?”
เขาพยักหน้าตอบกลับไปอย่างเห็นด้วย ที่เขากลุ้มใจอยู่ตอนนี้ก็เป็เพราะตัวเขาเองนั้นแทบไม่รู้เื่อะไรเกี่ยวกับไซม่อนเลยสักนิด ดังนั้นการที่จะเข้าหาหรือทำความรู้จักเพื่อให้สอนกันอย่างเข้าใจอย่างที่คุณอามาร์คัสบอกก็ช่างเป็เื่ยากเหลือเกิน
“จริง ๆ ไซม่อนเขาไม่ได้เป็คนแบบที่แสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็นหรอก”
“..”
“เขาก็เป็เด็กธรรมดาที่เติบโตมาอย่างสดใสร่าเริงเหมือนเด็กปกตินั่นแหละ”
คนตัวเล็กนั่งเม้มปากพร้อมกับกุมมือของตัวเองเพื่อตั้งใจฟังเงียบ ๆ และปล่อยให้คุณอามาร์คัสเล่าเื่ราวาแที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 21 ปี ที่ไซม่อนลืมตาขึ้นมาดูโลกให้ฟัง
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ที่คุณโรสซีลีนเสียในตอนที่ไซม่อนยังเด็กนั้น ทุกคนในบ้านก็คอยประคบประหงมไซม่อนไม่ห่าง อย่างที่เขาเคยได้รู้มาว่าไซม่อนนั้นมีพี่เลี้ยงและแม่บ้านประจำตัวั้แ่ยังเด็ก ทั้งคุณย่า คุณพ่อ และคุณอาก็ต่างเอาใจใส่เขาอยู่เสมอ
เพื่อที่จะไม่ให้เขารู้สึกว่าขาดอะไร
แต่แล้วสุดท้ายก็เหมือนโชคชะตาแกล้งกัน
เมื่อสองปีที่แล้วคุณพ่อของไซม่อนก็ล้มป่วยอย่างกะทันหัน
และนั่นก็ทำให้กำแพงในใจของเขาเริ่มก่อตัวสูงขึ้นอีกครั้ง
พอคุณพ่อของไซม่อนล้มป่วย จากเด็กหนุ่มที่มักจะสร้างรอยยิ้มให้คนรอบข้างอยู่เสมอก็กลับเก็บตัวเงียบ ไซม่อนไม่ทำอะไรเลยแม้แต่การเรียนตามตารางที่ถูกจัดไว้ให้ เขาเอาแต่ขลุกอยู่ในห้องของคุณพ่อและยอมออกจากห้องแค่ตอนพาสุนัขตัวโตอย่างแซมมี่ออกมาเดินเล่นเพียงเท่านั้น
ถ้าหากเรียกได้ว่าเป็มรสุมชีวิต
เื่ครอบครัวของบางคนอาจจะไม่ใช่เื่ใหญ่
แต่สำหรับไซม่อน การสูญเสียคนในครอบครัวมันคือมรสุมที่เขาพบเจอแล้วพบเจออีก
สองปีแห่งความทรมานของคุณพ่อสิ้นสุดลงและนั่นก็เป็จุดเปลี่ยนในชีวิตของไซม่อนมาตลอด เขาไม่เคยกลับมาสดใสร่าเริงได้อีกเลย นอกเสียจากการที่ได้อยู่กับเพื่อนที่สนิทใจของเขาและคนในครอบครัว
หลังจากฟังเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอัลฟ่าตัวโตที่ทำเขาสาปแช่งในใจไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความรู้สึกผิดที่มีก็ถาโถมเข้ามาใส่หัวใจดวงน้อยของแพทริเซียจนเขาต้องนิ่งไปชั่วครู่
ถึงไซม่อนจะทำนิสัยไม่ดีใส่เขาก็จริง
แต่ตัวเขาเองก็ไม่น่าไปตัดสินคน ๆ นึงจากเื่เล็ก ๆ แบบนั้นเลย
สิ่งที่คุณอามาร์คัสเล่าให้เขาฟังนั้นทำเขาเก็บมานอนคิดทั้งคืน จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบใกล้เช้าถึงทำให้คนที่ใช้ความคิดมาทั้งคืนเพลียจนผล็อยหลับไปแบบไม่รู้ตัวในที่สุด
แต่ความคิดสุดท้ายก่อนหลับเขาก็ยังคงมีแต่ความรู้สึกผิด
และหวังว่าพรุ่งนี้เขาจะได้แก้ไขสถานการณ์ระหว่างตัวเองกับไซม่อน
ให้มันถูกต้องได้สักที
- Simon’s theory -
คนที่ผล็อยหลับจมอยู่ในฝันหวานที่เขากำลังได้เดินตามหลังผู้หญิงคนนึงในชุดเดรสสีขาวยาวจรดเท้า ในความฝันนั้นเขาอยู่ในทุ่งดอกกุหลาบขนาดกว้างจนสุดลูกหูลูกตา กลิ่นหอมที่ละม้ายคล้ายคลึงกับผ้านวมที่เขาได้ซุกอยู่ทุกคืน ความนุ่มนิ่มที่ปลายเท้าได้ััในความฝันนั้นมันช่างยากจะหลุดออกมาจากห้วงนิทราซะเหลือเกิน
เสียงแว่วมาแต่ไกลไม่ได้ทำให้คนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความฝันสะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่เมื่อเขาได้เดินมาหยุดที่หน้าประตูบานใหญ่ เสียงพร่ำเรียกของหญิงสาวที่กำลังพร่ำบอกให้เขาก้าวเข้าไปยังสถานที่หลังประตูก็หวานหูซะจนเขาเกือบจะต้องเดินตามเข้าไป
“โฮ่ง โฮ่ง!”
แต่แล้วฝันหวานในยามรุ่งเช้าของแพทริเซียได้ถูกทำลายด้วยเสียงเห่าของสุนัขที่ดังไปทั่วห้องโถงเหมือนอย่างที่เคยเป็ คนตัวเล็กงัวเงียลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางเหลือบไปมองนาฬิกาและพบว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตื่นด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นแพทก็ไม่ได้หงุดหงิดใจอะไรเหมือนที่เคยเป็อยู่ดี
แพทก้าวลงจากเตียงทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอน เขาตัดสินใจแล้วว่าเช้าวันนี้เขาจะลองทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็มิตรดูให้ได้ ถ้าหากเริ่มความสัมพันธ์แบบครู-นักเรียนมันไม่ได้เื่ วันนี้เขาก็จะขอลองแผนใหม่ดูละนะ
มาเป็เพื่อนกันเถอะไซม่อน
คนตัวเล็กทำหน้ามุ่งมั่นก่อนจะเปิดประตูออกไปหวังจะมองหาอัลฟ่าตัวโตแต่ก็ต้องใเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในชุดลำลองดูดีั้แ่หัวจรดเท้าพร้อมกับสายจูงเ้าแซมมี่ที่มือเหมือนเคย
ทั้งสองคนจ้องหน้ากันด้วยความงุนงง มีเพียงเสียงฟุดฟิดจากเ้าแซมมี่ที่กำลังก้มดมกลิ่นโดนัทในถุงที่ถูกวางอยู่หน้าห้องเหมือนทุก ๆ วัน ไซม่อนกระตุกเชือกจูงในมือพร้อมปรามเ้าขนปุยตัวโตอีกครั้งก่อนมันจะนั่งลงตามคำสั่งอย่างง่ายดาย
“เอ่อ คือ คุณควินท์เรลมาทำอะไรเหรอ?”
“แซมมี่”
แซมมี่?
แซมมี่แล้วมันยังไงกัน?
แพทขมวดคิ้วสงสัยเพราะคำตอบสั้น ๆ ที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าการที่อีกฝ่ายมายืนอยู่หน้าห้องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเ้าสุนัขซามอยด์ตัวนี้กัน ไซม่อนลอบเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อยก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมให้คนขี้สงสัยตรงหน้าได้กระจ่าง
“พาแซมมี่มาเดินเล่น”
“เดินเล่นหน้าห้องเรา?”
“ก็ห้องนอนของเราอยู่ชั้นนี้แต่ฝั่งปีกซ้าย”
“อ๋อ.. เข้าใจแล้วครับ”
เสียงฟุดฟิดจากแซมมี่ดังขึ้นอีกครั้งและแพทริเซียก็เดาว่าเ้าขนปุยที่อยู่ตรงหน้าจะต้องอยากกินแน่ๆ ไวกว่าความคิดฝ่ามือเล็กเอื้อมไปหยิบโดนัทในถุงออกมายื่นให้แซมมี่อย่างเป็มิตร
แต่แล้วแซมมี่ที่กำลังทำตาโตเมื่อได้เห็นโดนัทชิ้นโตก็ถูกกระตุกให้ถอยหลังโดยเ้านายของมันอยู่ดี
“ไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะ? นี่ก็มีตั้งหลายชิ้-”
“สุนัขกินของทอดไม่ดี เดี๋ยวขนจะร่วง”
ตายละ
นอกจากจะเรียนรู้เื่อัลฟ่าตรงหน้า
แพทอาจจะต้องเรียนรู้เื่หมาด้วยละมั้งเนี่ย
“ขอโทษนะคุณควินท์เรล เราไม่รู้จริง ๆ”
“ไม่เป็อะไร”
ไม่เป็อะไรกับผีน่ะสิ
ไม่เพียงแค่ทำคิ้วขมวดมองเขาแต่ในตอนนี้สายตาคมที่เขามักจะกดดันตลอดที่ได้รับกลับมองเขาั้แ่หัวจรดเท้าราวกับไม่เคยเห็นกันมาก่อนอย่างนั้นแหละ
อย่าบอกนะว่าโกรธเขาเพียงเพราะเื่โดนัท
ราวกับว่าไซม่อนได้ยินเสียงในใจของเขา ไม่ต้องรอให้สงสัยนานก็ได้รู้ทันทีว่าเหตุใดทำไมอีกฝ่ายถึงมองเขาด้วยสายตาแบบนั้น
“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ พร้อมสายตาที่ยังคงสอดส่องสำรวจเขาเหมือนกับเขาเป็สุนัขในปกครองของตนยังไงอย่างนั้น
เื่มารยาทนี่คงตอนสอนกันยาว ๆ สินะ
เกิดมาก็เพิ่งจะเจอคนที่มาสำรวจเขาขนาดนี้ครั้งแรกนี่แหละ
“ยังไม่อาบครับ เพิ่งตื่น” แพทตอบไปด้วยเสียงเรียบนิ่ง
เขาพยักหน้าตอบรับเบา ๆ ก่อนจะกระตุกสายจูงเ้าแซมมี่อีกครั้งให้เดินออกจากหน้าห้องของแพท แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น เขาก็ได้เอ่ยประโยคสุดท้ายที่ทำเอาคนที่พยายามใจเย็นปรี๊ดแตกจนต้องปิดประตูห้องนอนดังลั่น
“แซมมี่ตื่นมาอาบน้ำหวีขนั้แ่เช้ารู้มั้ย?”
“ครับ?”
“ไปดีกว่าแซมมี่ ไปเดินตัวหอม ๆ ที่อื่นกันนะ”
ไปเดินตัวหอม ๆ ที่อื่น?
นี่กำลังหมายความว่าเขาตัวเหม็นขนฟู
ไม่เหมือนกับสุนัขตัวโตที่ตัวเองจูงอยู่เหรอ?
ไอ้บ้าไซม่อนเอ้ย!!
- Simon’s theory -
ในวันที่สองของการเรียนการสอน แพทยังคงเข้ามาเตรียมตัวที่ห้องเดิมก่อนเวลาเรียน เขาเหลือบมองดูนาฬิกาเป็ระยะ ๆ ในระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างตั้งใจ และในวันนี้เขาเองก็มั่นใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไซม่อนจะไม่ติดลบเหมือนอย่างเคยแน่นอน
แพททอดสายตามองไปนอกหน้าต่างและอยู่ ๆ ความฝันที่เขาได้ฝันถึงเมื่อเช้าก็ลอยเข้ามาในหัว ถึงแม้จะไม่ได้คุ้นตากับทุ่งดอกไม้กว้างแบบนั้นแต่เขาเองก็แน่ใจว่าบานประตูบานใหญ่นั้นเขาเคยได้เห็นในตอนที่ยืนอยู่บนระเบียงอย่างแน่นอน ประตูเหล็กสีดำบานใหญ่ที่เหล็กถูกดัดให้เป็รูปดอกกุหลาบนับร้อยดอกนั้นช่างสวยงามตรึงตาั้แ่ครั้งแรกที่ได้หันไปมอง
แต่แล้วทำไมแค่วูบนึงที่เขาได้หันไปมองประตูบานนั้นถึงทำให้เขาต้องเก็บมาฝันเป็เื่เป็ราวขนาดนี้?
ถึงแม้แพทจะเคยอ่านเจอเกี่ยวกับตำนานต่าง ๆ ของคฤหาสน์ควินท์เรลที่มีหลายคนเอามาโพสต์กันบ้างก็เถอะ แต่เขาเองก็มั่นใจว่าเขาไม่เคยได้ยินเื่เล่าเกี่ยวกับประตูหรืออะไรทำนองนั้นเลย เว้นเสียแต่ว่าเขาหามันไม่เจอน่ะนะ
แพทริเซียสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะกลับมาเตรียมตัวสอนอีกครั้ง เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงเวลาสอนและความคาดหวังเล็ก ๆ ในใจว่าไซม่อนจะมาตรงเวลาก็ก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง
จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เื่ใหญ่เลย
แต่ถ้าการที่อีกฝ่ายมาตรงเวลาบ้าง
นั่นก็อาจจะหมายถึงการที่ความสัมพันธ์ของเขากับไซม่อนดีขึ้นมานิดนึงละมั้ง
จนกระทั่งถึงเวลาที่ควรจะต้องเริ่มการเรียนการสอนแล้ว แพทริเซียก็ไม่เห็นวี่แวว ของอัลฟ่าหนุ่มแห่งบ้านควินท์เรลเลย แม้จะชะเง้อรอแค่ไหนแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงเดินของเขาและสุนัขตัวโปรดอยู่ดี
และถ้าจะให้เดา อีกฝ่ายก็คงทิ้งระยะเวลาเป็ชั่วโมงเหมือนเดิม แพทนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้ตัวยาวพร้อมพรูลมหายใจยาวทันที รู้อย่างนี้ไปตามหาอีกฝ่ายั้แ่ก่อนเข้าสอนก็คงดี ในเมื่อไม่อยากเรียนด้วยกันนักแต่ถ้าโดนลากมาเรียนยังไงก็ต้องมาจนได้นั่นแหละ
สิ้นสุดความคิด โอเมก้าตัวเล็กตัดสินใจหมุนเก้าอี้ตัวใหญ่เพื่อเตรียมจะลุกขึ้นทันที แต่ก็เป็จังหวะเดียวกันกับประตูที่ถูกดันเข้ามา แพทริเซียหันกลับไปมองนาฬิกาอีกครั้งและพบว่าครั้งนี้เขามาสายเหมือนเดิม
แต่สายแค่ 15 นาที
นั่นนับว่าเป็เื่ที่ดีมั้ยนะ
“มาสาย” อีกฝ่ายเป็คนเอ่ยขึ้นก่อนทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทักท้วงอะไรด้วยซ้ำ
“รู้ตัวนี่คุณควินท์เรล”
“รู้”
และก็คงเหมือนเดิม
ที่อีกฝ่ายจะไม่อธิบายอะไรให้เขาฟัง
แพทพยักหน้าส่งไปให้พร้อมกับผายมือเชิญให้อีกฝ่ายไปประจำยังที่นั่งของตัวเองอย่างไม่ได้สนใจหรือรอคำอธิบายจากอีกคน แต่แล้วสิ่งที่แพทไม่ได้คาดหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
“ไปวางแผนการตลาดช่วยคุณอา”
“ฮะ?”
“พูดไปแล้ว ไม่พูดซ้ำ”
“หมายถึงที่มาสายเพราะไปวางแผนการตลาดมาเหรอ?”
อัลฟ่าตัวโตพรูลมหายใจก่อนพยักพเยิดหน้าส่ง ๆ เป็คำตอบมาให้ก็ทำให้คุณครูจำเป็อย่างเขาอมยิ้มน้อย ๆ ยิ่งอีกฝ่ายได้เห็นว่าเขายิ้มอารมณ์ดีก็รีบเบือนหน้าหนีทันที
ไม่อยากเห็นมีความสุขก็แล้วแต่เถอะคุณควินท์เรล
เดี๋ยวในวันที่ปลุกปั้นเป็ผู้สืบทอดทายาทได้สำเร็จเมื่อไหร่นะ
แพทริเซียคนนี้แหละจะยิ้มให้กว้างมากกว่าที่เคยเป็เลย
- Simon’s theory -
ถึงแม้จะเริ่มต้นชั่วโมงได้ดีแต่ในระหว่างเรียนไซม่อนก็ยังคงเอาแต่เงียบและไม่ตอบคำถามเขาเหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนคำถามเป็รอบที่เท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบเขาเลยสักคำถาม
“คุณควินท์เรลเคยศึกษาประวัติพิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดมาก่อนมั้ยครับ?”
“..”
“ไม่เคยเหรอ?”
“..”
“หรือเคย?”
นี่มันปัญหาเชาวน์เดาใจหมาหรือไง
ถึงแม้จะสบถในใจมากเท่าไหร่แต่แพทริเซียก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะเมินและไม่ได้สนใจอะไรก็ตาม ถ้าหากเป็ก่อนหน้าที่จะได้คุยกับคุณอามาร์คัส เขาคงต้องคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นาประสาทกับเขาอยู่แน่ ๆ แต่หลังจากที่เขาได้รับรู้เื่ทั้งหมดแล้ว มุมมองของเขาที่มีต่อไซม่อนก็เปลี่ยนไป
จากที่เคยมองว่าอีกฝ่ายชอบทำหน้านิ่งตึงใส่ พอย้อนกลับมามองดูดี ๆ เขาก็แค่ทำใบหน้าปกติที่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาแค่นั้น และคำพูดที่เหมือนจะมีนัยแฝงทุกครั้ง จริง ๆ มันก็เป็เพราะเขามีอคติกับอีกฝ่ายนั่นแหละ
ไซม่อนก็ดูเหมือนลูกหมาที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร
เขาหวังว่ามันจะเป็อย่างนั้นนะ
“คุณแพท”
“..”
“แพทริเซีย มอร์แกน”
อัลฟ่าหนุ่มกดเสียงต่ำเรียกคนที่นั่งเหม่อให้หลุดจากภวังค์ คนที่ถูกเรียกชื่อเต็มยศสะดุ้งสุดตัวทันทีพร้อมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความใ
“ครับ? มีอะไรหรือเปล่าคุณควินท์เรล”
“เปล่า”
“แล้วทำไมเรียกชื่ออย่างนั้น”
“เหม่อ”
“อ่า ขอโทษทีครับ” แพทก้มหัวให้อีกฝ่ายเพื่อเป็การขอโทษและอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมี มีเพียงแค่เสียงเปิดพลิกหนังสือของไซม่อนเท่านั้น อย่างน้อย ๆ ถึงจะไม่ยอมตอบคำถามอะไรของเขาเลยก็ตามแต่การที่อีกฝ่ายเปิดอ่านหนังสือที่เขาอัดแน่นไปด้วยความรู้ด้วยตนเองในทุกหน้า ๆ ก็คงถือว่าเป็เื่ที่ดีมาก ๆ แล้วละ
ฝ่ามือเล็กลูบข้างแก้มตัวเองเรียกสติน้อย ๆ ่นี้เขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองเหม่ออย่างที่ไซม่อนบอกจริง ๆ นั่นแหละ บางทีก็เหม่อบ่อยซะจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร แต่เป็เพราะเขาคิดและกังวลเื่การทำงานครั้งนี้จนเกินตัวนี่แหละ ความรู้สึกท้าทายมันมีเข้ามาทุกวัน ยิ่งในฐานะคุณครูฝึกสอนให้กับไซม่อนแล้วละก็ ไม่มีวันไหนที่เขาจะได้หยุดท้าทายการควบคุมอารมณ์และความสามารถของตัวเองได้เลยสักวัน
ก็ดูไซม่อนสิ
มาปกติแบบคนอื่นเขาที่ไหน
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง ห้องที่เงียบสงัดก็มีเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นสลับกับการพลิกกระดาษทุกแผ่น ทำให้แพทรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเริ่มเบื่อกับการอ่านหนังสือแล้ว
“คุณควินท์เรล”
“อื้ม” เขาละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองแพททันที
“เรามาลองตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเองกันดูไหม?”
“ไม่ละ”
“นิดนึง”
“ไม่มีอะไรให้ตอบ”
ก็ยังไม่ได้ถามเลยจะตอบได้ยังไงไอ้บ้านี่
และยังไม่รอให้แพทได้ถามอะไรเพิ่ม ทายาทตระกูลควินท์เรลก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจผิดกับในตอนแรกที่ดูจะเบื่อการอ่านหนังสือซะเหลือเกิน สงสัยการอ่านหนังสือหนาเป็ร้อย ๆ หน้ามันคงจะสนุกกว่าการตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเองจริง ๆ
แต่ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ
“คุณควินท์เรล”
“..”
“รู้นะว่าไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือขนาดนั้น”
เขาชะงักเล็กน้อยทันทีที่แพทริเซียเอ่ยทักแต่เขาก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี
“นี่ คุณควินท์เรล”
“อื้ม” เขาส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“ปกติแล้วชอบเรียนวิชาอะไรมากที่สุดเหรอ?”
“..”
“แค่วิชาเดียวก็ได้”
“..การค้าระหว่างประเทศ”
“เก่งเหมือนกันนี่” แพทพยักหน้าพร้อมจดรายละเอียดเกี่ยวกับอีกฝ่ายลงในโน้ตที่ตัวเองตั้งใจทำเอาไว้เพื่อเรียนรู้อีกฝ่ายโดยเฉพาะ หากได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับไซม่อนมากขึ้น เขาก็คงจะเขียนแผนการสอนที่เหมาะกับอีกฝ่ายได้มากกว่านี้
ความตั้งใจของแพทริเซีย มอร์แกนน่ะมีมากถึงขนาดนี้เชียวละ
อยากให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้เห็นจริง ๆ เลย
“แล้วคุณควินท์เรลมีสถานที่โปรดบ้างไหม?”
“..”
“มีหรือเปล่านะ”
“ห้องนอน”
“ไม่สิ สถานที่โปรดอย่างเช่น ทะเลสาบ, ร้านกาแฟสักร้านในเมือง, หรือห้องสมุดเอดมันตันอะไรแบบนั้น หรือจะเป็ต่างประเทศก็ได้นะ”
“ไม่มี”
“สักที่ก็ไม่มีเลยเหรอ”
“ไม่”
“เข้าใจแล้วครับ”
แพทพยักหน้าตอบรับพร้อมกับจดโน้ตไปด้วยจนคนที่ถูกซักไซร้ถามเริ่มสงสัย เขาวางหนังสือเล่มโตไว้ข้าง ๆ ก่อนจะจ้องมองแพทพร้อมกับเอามือกอดอกไว้
ฝ่ายแพทที่กำลังหาคำถามต่อไปแต่เมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายช้า ๆ พร้อมส่งหัวเราะแห้ง ๆ ให้ไป
“ทำอะไร?”
“แค่กำลังลองเขียนทฤษฎีอะไรบางอย่างแค่นั้นเอง คุณควินท์เรลอย่าคิดมากเลย”
“ทฤษฎีเกี่ยวกับอะไร?” เขายักคิ้วขึ้นข้างนึงด้วยความสงสัย
“เกี่ยวกับ.. เื่ทั่วไป”
“เื่ทั่วไปต้องมีทฤษฎีด้วย?”
ให้ตายเถอะ
ร้อยวันพันปีไม่เคยอยากจะคุยอะไรกับเขา
ทำไมวันนี้อัลฟ่าหน้าหมาตรงหน้าถึงช่างจ้อขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้
อีกฝ่ายค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวขายาว ๆ นั้นมาเพียงไม่กี่ก้าวก็ประชิดโต๊ะยาวที่แพทนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว แพทเงยหน้ามองอีกฝ่ายพร้อมกับค่อย ๆ เลื่อนมือเก็บสมุดโน้ตที่ตัวเองเพิ่งเขียนลงไปช้า ๆ
“ขอดูหน่อย”
“ไม่ได้หรอกคุณควินท์เรล นี่ของส่วนตัว”
“ของส่วนตัวแต่ถ้าเขียนข้อมูลของคนอื่นลงไปมันจะเรียกว่าส่วนตัวอยู่ไหม?”
“ก็..”
“ขอดูหน่อย”
แพทริเซียกลืนน้ำลายอึกโตทันทีที่อีกฝ่ายถามเสียงเรียบนิ่งแบบนั้น แต่เขาก็ยังคงใจดีสู้เสือไม่ยอมยื่นสมุดโน้ตให้ง่าย ๆ แม้อีกฝ่ายจะแบมือมากดดันเขาก็เถอะ แพทหยิบสมุดไว้ก่อนจะไขว้หลังไปซ่อนไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นทันที
“มีพิรุธ”
“ไม่มีพิรุธสักหน่อย”
“มี ถ้าไม่มีต้องเอามาให้ดู”
“โอ๊ย คุณควินท์เรล ก็นี่มันของส่วนตัวแถมเราก็ยังไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับคุณลงไปด้วยซ้ำ ทำไมอยู่ ๆ มาขอดูแบบนี้ล่ะ มันไม่ถูกต้องนะ” แพทสวนไฟแลบทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มใช้มือค้ำยันโต๊ะข่มให้เขาจนมุม
คนตัวเล็กเลื่อนถอยเก้าอี้ที่นั่งอยู่จนพนักพิงชนกับกำแพงและค่อย ๆ ลุกขึ้นกอดสมุดโน้ตของตัวเองไว้แน่น อัลฟ่าตัวโตเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจและกอดอกมองเขาอีกครั้ง
“หยุดนะคุณควินท์เรล ห้ามมามองกันด้วยสายตาอย่างนี้”
“สั่ง?”
“ใช่”
“คิดว่าตัวเองเป็ใคร?”
“เป็คนที่สั่งคุณควินท์เรลได้นั่นแหละ”
“เพ้อเจ้อ”
ก๊อก ก๊อก
ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้อ้าปากต่อล้อต่อเถียงกับทายาทควินท์เรลอีกครั้ง เสียงเคาะประตูจากแม่บ้านและพี่เลี้ยงของไซม่อนก็ดังขึ้น สองสาวยืนส่งยิ้มให้อยู่หน้าประตูพร้อมกับเสียงของแซมมี่ที่เห่าทักทายสองสาวอย่างคุ้นเคย
โอเมก้าตัวเล็กส่งยิ้มให้คนที่อยู่หน้าประตูพร้อมกับโค้งให้เล็กน้อย
“หมดเวลาเรียนแล้วละคุณควินท์เรล มีคนมาตามแล้ว”
“สมุด”
“อยากอ่านเหรอ?”
“ใช่”
แพทริเซียส่งยิ้มให้เขาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้และกระซิบเบา ๆ ทิ้งท้ายให้พร้อมกับผายมือเชิญอีกฝ่ายออกจากห้องเรียนอย่างสุภาพ
“ไว้เจอกันคลาสหน้าจะลองพิจารณาดูอีกทีนะ”
เมื่อแม่บ้านและพี่เลี้ยงส่วนตัวที่ยืนอยู่หน้าประตูได้เห็นว่าเขาผายมือให้กับอัลฟ่าตัวโตแล้ว ทั้งสองสาวก็รีบเข้ามาพาตัวเ้านายออกจากห้องไปทันทีทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายนั้นยังยืนยันที่อยากจะดูสมุดในมือของเขาอยู่
จริง ๆ แล้วในสมุดเล่มนั้นมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอแพทได้เห็นว่าทายาทบ้านควินท์เรลนั้นอยากดูซะเหลือเกิน
เขาก็เลยต้องใช้มาเป็เหยื่อล่อซะหน่อยละนะ
เจอกันคลาสหน้านะไซม่อน
- Simon’s theory -