ซูอินจดจ่ออยู่กับการทบทวนนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อถึงราวๆ สามทุ่มเธอจึงเข้านอน วันนี้เกิดเื่มากมาย เธอรู้สึกเหนื่อยมาก แค่หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว
แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อสานสัมพันธ์กับซุนเหรินเป็ที่เรียบร้อย สองสามีภรรยาตระกูลหลิงก็พาหลิงเมิ่งไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เพื่อซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้บุตรสาวแท้ๆ ที่เพิ่งกลับบ้าน
หลิงเมิ่งััได้ถึงสิ่งดีๆ ที่พบเจอั้แ่่บ่าย เธอแสดงตัวดูน่าสงสารตอนที่เห็นห้องนอนของตัวเอง เมื่อออกมากินข้าวเย็น พ่อกับแม่ของเธอก็ไม่ได้พาซูอินมาด้วย
เธอสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยมาห้างสรรพสินค้า แต่ก็ยังแสดงความตื่นเต้นและรู้สึกประหลาดใจราวกับเพิ่งได้มาเป็ครั้งแรก
“มีเสื้อผ้าสวยๆ เยอะแยะเลย สวยกว่าในตลาดมากเลยค่ะ”
อู๋อู๋รู้สึกเศร้าใจ “เมื่อก่อนเมิ่งเมิ่งซื้อเสื้อผ้าจากตลาดหรือจ๊ะ”
หลิงเมิ่งส่ายหน้า “จะเป็ไปได้ยังไงคะ เมื่อก่อนเวลาที่คุณป้ามาตลาดก็จะซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาว หนูก็จะรอรับเสื้อผ้าที่ลูกสาวของคุณป้าไม่้าแล้วค่ะ”
อันที่จริงหลิงเมิ่งแค่เคยรับ่ต่อจากลูกพี่ลูกน้องของเธอตอนยังเล็กเท่านั้น มันเป็่เวลาราวๆ ต้นทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจของประเทศจีนไม่ดีเท่าไรนัก เด็กๆ ก็โตไว ในครอบครัวเดียวกัน คนที่เป็เด็กมักจะรับเสื้อผ้าของคนที่โตกว่าไปใส่ถือเป็เื่ปกติ ล้วนแต่เป็คนที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกลัวเื่เชื้อโรค
ไม่ใช่แค่หลิงเมิ่ง แม้แต่ซูอินที่อยู่ในครอบครัวเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ตอนเด็กๆ อาศัยอยู่ในชนบทกับคุณปู่คุณย่า ก็เคยสวมเสื้อผ้าของพี่สาวข้างบ้าน
เื่ปกติเช่นนี้ หลิงเมิ่งกลับจำฝังใจมาตลอด เมื่อเอ่ยออกมาด้วยความคลุมเครือจึงง่ายที่จะทำให้อู๋อู๋เข้าใจผิด
เธอขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เสื้อผ้าในตลาดราคาไม่เท่าไร ทำไมพวกเขาไม่ยอมซื้อ”
อย่างแรกก็คือเื่ที่โตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยใช้ชักโครก ตอนนี้ก็ต้องมารับ่เสื้อผ้าต่อจากคนอื่นที่ไม่้าใส่แล้ว ตระกูลซูในความทรงจำของอู๋อู๋เดิมก็ไม่สู้ดีนัก ในตอนนี้จึงยิ่งดิ่งลงเหวหนักกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกันความโกรธแค้นที่เธอมีต่อซูอินก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ตอนนี้ดึกมากแล้ว อู๋อู๋ตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้าสักชุดสองชุดเพื่อให้เธอใส่ไปลงทะเบียนเรียนพรุ่งนี้เท่านั้น แต่วันนี้เมื่อได้ยินเมิ่งเมิ่งพูดถึง “ประสบการณ์อันแสนเศร้า” สมองของเธอก็จินตนาการต่อไปเองว่า หลายปีที่เธอไม่รู้ บุตรสาวของเธอต้องเจอความยากลำบากมากมายแค่ไหนกันนะ ในใจของเธอเ็ป ความรู้สึก้าชดเชยทำให้ยิ่งร้อนรน เธอดึงตัวหลิงเมิ่งและเริ่มไปเดินจับจ่ายซื้อของอย่างจริงจัง
เดินซื้อของกันจนห้างสรรพสินค้าใกล้ปิดทำการ ตอนที่พวกเขาสามคนถือถุงเล็กถุงน้อยกลับบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม ซึ่งเวลานั้นซูอินหลับไปได้ราวๆ หนึ่งชั่วโมงแล้ว
เมื่อเข้ามาในบ้านก็พบว่าเงียบสนิท ทั้งสามคนที่เดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามาจนเหนื่อยไม่มีใครนึกถึงซูอิน ต่างแยกย้ายกันกลับห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอน
แน่นอนว่าหลิงเมิ่งยังไม่หลับ เธอนอนอยู่บนเตียงเ้าหญิงสีชมพู เตียงนุ่มๆ ใต้ร่างทำให้เธอรู้สึกราวกับนอนอยู่บนก้อนเมฆ อันที่จริงเธอก็คิดว่าเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้เหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน
เธอเป็บุตรสาวของตระกูลหลิงจริงๆ
คุณพ่อเปิดบริษัท คุณแม่เป็หมอ มีบ้านอยู่ในเมือง ทุกอย่างล้วนดีไปหมดดังที่เธอได้จินตนาการไว้
เด็กที่ได้ใช้ชีวิตในครอบครัวเช่นนี้มาั้แ่เล็กๆ จะมีความสุขมากแค่ไหนนะ หลิงเมิ่งพลิกตัว มองถุงช็อปปิ้งที่วิจิตรตระการซึ่งวางอยู่บนโซฟาหน้าหน้าต่าง
หลิงอิน…ไม่ใช่สิ ซูอินต่างหาก ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้มาั้แ่เด็ก ทั้งที่ทุกอย่างนี้ควรเป็ของเธอ
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ความเกลียดชังก่อตัวขึ้นในใจของหลิงเมิ่ง ฝังรากลึกอย่างรวดเร็ว เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
เธอจะต้องแย่งชิงทุกอย่างที่ควรเป็ของเธอคืนมา
หลิงเมิ่งกำหมัดแน่น แววตาของเธอแสดงความขุ่นเคือง
คืนนี้คนที่นอนหลับไม่สนิทมิได้มีเพียงหลิงเมิ่ง ยังมีอู๋อู๋อีกคน พรุ่งนี้เธอจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียน อู๋อู๋เข้านอนอย่างรวดเร็ว แต่กลับนอนไม่หลับ
คำพูดของเมิ่งเมิ่งตอนที่ซื้อของอยู่ในห้างสรรพสินค้าส่งผลกระทบต่อเธอมาก อู๋อู๋มาจากชนบท เธอเห็นความยากจนและการให้ความสำคัญต่อบุตรชายมากกว่าบุตรสาว เมื่อหลับตาก็อดไม่ได้ที่จะนำสิ่งที่ตนเองเคยเห็นเคยได้ยินมาแทนที่บุตรสาวของตนเอง ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเป็ทุกข์จนนอนไม่หลับ
เธอพลิกตัวไปมาจนทำให้หลิงจื้อเฉิงที่อยู่ข้างกายเริ่มทนไม่ไหว
“คุณเป็อะไร”
อู๋อู๋พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเป็กังวล หลิงจื้อเฉิงถอนหายใจ “ผมคิดว่าคนจากตระกูลซูดูมีความประพฤติค่อนข้างดี ถึงแม้จะยากจน แต่ในปีนั้นสภาพของพวกเราสองครอบครัวก็ไม่ต่างกันเท่าไร พ่อกับแม่ก็ส่งคุณไปเรียนวิทยาลัยอาชีพไม่ใช่หรือ อย่าคิดมากเลย”
แต่ด้วยเหตุนี้…
เสียงนาฬิกาคุณปู่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างดังขึ้น บ่งบอกว่าเป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว อู๋อู๋เริ่มรู้สึกง่วงนอนและหลับไปในที่สุด
จากนั้นเธอก็เริ่มฝัน ในฝันเด็กสาวจากหมู่บ้านเดียวกันถูกผู้เฒ่าในหมู่บ้านทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ ใบหน้านั้นเปลี่ยนไปเป็หน้าของเมิ่งเมิ่ง
คืนนี้พวกเขาทั้งสี่คนในบ้าน มีเพียงซูอินซึ่งอยู่ชั้นล่างเท่านั้นที่นอนหลับสนิทที่สุด
จนเมื่อฟ้าใกล้สางฝนก็ตกหนัก ตื่นนอนตอนเช้า อากาศสดชื่นมาก เช้าตรู่ตีห้าครึ่ง ซูอินที่นอนหลับเต็มอิ่มก็ตื่น ในฤดูร้อนราวๆ ตีสี่ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ในตอนนี้ท้องฟ้าจึงสว่างไสว
แผนการเริ่มต้นเช้าวันใหม่นี้ เธอล้างหน้าล้างตา เปิดหน้าต่างก่อนที่ซูอินจะเริ่มอ่านวิชาประวัติศาสตร์
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง ด้านนอกเกิดเสียงดัง ป้าสวี่ผู้เป็แม่บ้านซื้อปาท่องโก๋มาจากตลาดเช้า จากนั้นเธอก็เริ่มเตรียมทำน้ำเต้าหู้
รอจนน้ำเต้าหู้เกือบพร้อมเสิร์ฟก็เป็เวลาราวๆ หกโมงครึ่ง ในที่สุดครอบครัวตระกูลหลิงที่ขอบตาดำเป็หมีแพนด้าก็ตื่นและลงมารับประทานอาหาร
แต่ในเวลานั้น ซูอินที่เพิ่งอ่านวิชาประวัติศาสตร์จบ ก็ตั้งใจที่จะนำข้อสอบที่ทำเสร็จเมื่อคืนมาทบทวนอีกครั้ง ผลของการทบทวนทำให้เธอประหลาดใจมาก เธอไม่เพียงไม่ลืมเนื้อหา แต่ยังเข้าใจมากขึ้นด้วย
เมื่อจัดกระเป๋านักเรียนเสร็จแล้ว เธอจึงรีบออกจากห้องนอนเพื่อไปกินอาหารเช้า และได้รับการต้อนรับจากดวงตาคล้ำที่รู้สึกไม่พอใจ
“อินอิน ทำไมตื่นสายแบบนี้ ทำให้คนอื่นต้องรอ”
หลังจากฝันร้ายมาตลอดคืน อู๋อู๋ในตอนนี้จะมองบุตรบุญธรรมที่เปรียบดั่งนกกางเขนผู้เข้าบ้านของผู้อื่นได้อย่างสบายตาได้อย่างไร น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแสดงความไม่พอใจ
เมื่อเจอประสบการณ์ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังโดยที่คนอื่นๆ ออกไปกินข้าวข้างนอกกันหมด ซูอินได้ปรับอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เธอเดินไปยังที่นั่งของตัวเองด้วยท่าทีผ่อนคลาย เทน้ำเต้าหู้ใส่ถ้วยก่อนจะหยิบปาท่องโก๋จุ่มลงไป
เธอค่อยๆ ทำสิ่งเ่าั้ด้วยท่าทีไม่รีบร้อนจนเสร็จสิ้น ก่อนจะเอ่ยปาก “หนูตื่นั้แ่ตีห้าครึ่งแล้วค่ะ เพิ่งอ่านหนังสือเสร็จ ที่บ้านไม่ใช่ว่ากินข้าวเช้าตอนหกโมงครึ่งมาตลอดหรือคะ”
เอ่ยจบซูอินหันไปมองนาฬิกาคุณปู่ตรงประตู ซึ่งในเวลานั้นมันส่งเสียง “แก๊ง” หนึ่งครั้งเพื่อบอกเวลาครึ่งนาฬิกา
บรรยากาศเงียบสนิท สีหน้าของอู๋อู๋แสดงถึงความประหม่า
เธอมองตามสายตาของซูอินไปที่นาฬิกาคุณปู่ ก่อนจะมองไปยังตู้ด้านข้าง ้ามีปิ่นโตสี่ชั้นวางอยู่ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานปรากฏขึ้นในความทรงจำ ความประหม่าบนหน้าพลันเปลี่ยนเป็ความหม่นหมอง
สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ซูอินก็สังเกตเห็น
เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หากเป็ชาติก่อนอู๋อู๋แสดงท่าทีโกรธออกมาเช่นนี้ เธอคงใจนก้มหน้าและกล่าวขอโทษอย่างแน่นอน เพราะตัวเธอในตอนนั้นโหยหาความรักจากมารดามาก
แต่เมื่อผ่านความตายมาแล้ว เื่บางอย่างเธอจึงมองออก ชีวิตในโลกนี้หลายต่อหลายเื่ก็ไม่สามารถฝืนให้มันเกิดขึ้น
เธอก้มหน้ากินปาท่องโก๋อย่างช้าๆ จนรู้สึกอิ่มก็หยุด
“หนูอิ่มแล้ว กลับห้องไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
บนโต๊ะอาหารเงียบสนิท อู๋อู๋ทำเหมือนไม่ได้ยิน ผ่านไปสามวินาทีหลิงจื้อเฉิงที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า
“ได้สิ ไปเถอะ”
ซูอินลุกขึ้นเดินตรงไปยังระเบียง ที่นั่นมีชุดนักเรียนที่เพิ่งซัก เธอปลดมันลงมาจากราวตากผ้า ในขณะที่กำลังจะกลับเข้าห้องนอน จู่ๆ ภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ฉายขึ้นมาในหัว