หลังจาก “ได้พบปะคนในครอบครัว” เมื่อ่บ่ายจบลง ซูอินก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อทำการบ้านอย่างบ้าคลั่ง
แต่ชั้นบนที่คั่นด้วยเพดาน หลังจากส่งญาติของตนเองกลับไปแล้ว หลิงจื้อเฉิงและอู๋อู๋สองสามีภรรยาก็พาบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมชมบ้าน
อู๋อู๋จูงมือหลิงเมิ่ง หลิงจื้อเฉิงเดินตามหลัง ทั้งคู่พาบุตรสาวเยี่ยมชมทุกซอกทุกมุมของบ้าน ระหว่างที่เดิน อู๋อู๋ได้อธิบายด้วยความอดทนและอ่อนโยนว่าห้องไหนมีไว้ทำอะไรบ้าง จนกระทั่งมาถึงห้องของเธอ
“เดิมทีนี่เป็ห้องนอนสำหรับแขก แต่พวกเราเพิ่งจะย้ายเข้ามาเมื่อปีก่อน ห้องนี้ไม่เคยมีคนอยู่ พอรู้ว่าหนูจะกลับมา แม่ก็ให้คนเข้ามาตกแต่งใหม่ ผ้าม่าน หน้าต่างทั้งหมดเป็ของใหม่ พ่อได้ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ลูกหนึ่งเครื่องด้วย เมิ่งเมิ่ง ดูสิว่าชอบไหม”
ทั้งสามคนยืนอยู่หน้าห้องนอนสำหรับแขก อู๋อู๋ผลักประตูเข้าไป มองหลิงเมิ่งด้วยรอยยิ้ม
หลิงเมิ่งตกตะลึงกับภาพตรงหน้าที่ดึงดูดสายตา ห้องนอนนี้ใช้โทนสีขาวครีมเป็พื้นหลัง ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ เตียง โต๊ะทำการบ้าน ผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน รวมไปถึงคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดเป็ Hello Kitty สีชมพู ทุกอย่างเหมือนกับห้องเ้าหญิงที่เธอเคยเห็นในโทรทัศน์ไม่มีผิด สวยกว่าห้องของเ้าหญิงเสียอีก
ความดีใจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ภายใต้ความตื่นเต้นทำให้เธอเกือบลืมหายใจ
“นี่…นี่คือห้องของหนูจริงๆ หรือคะ”
อู๋อู๋และหลิงจื้อเฉิงสบตากันพร้อมรอยยิ้ม ก้าวไปข้างหน้าและลูบศีรษะของเธอด้วยความรักก่อนจะแนะนำว่า “เข้าไปดูข้างในสิจ๊ะ”
หลิงเมิ่งค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างระวัง เมื่อเข้าไปเธอก็เห็นทันทีว่ามีห้องน้ำส่วนตัวด้วย มีประตู ด้านในมีอ่างล้างมือ ชักโครก และฝักบัวอาบน้ำสำหรับอำนวยความสะดวก
“คนในเมืองอย่างพวกคุณใช้ห้องน้ำแบบนี้กันหมดหรือคะ”
คำพูดไร้เดียงสาเพียงประโยคเดียวทำให้ดวงตาของอู๋อู๋แดงก่ำ เธอเหลือบมองในขณะที่ยกมือขึ้นปิดปาก หลิงจื้อเฉิงโอบไหล่เธอ ประคองและปลอบโยนโดยไม่พูดอะไร
หลิงเมิ่งไม่ได้สังเกตท่าทีผิดปกติของบิดามารดา ตอนนี้เธอกำลังจมอยู่กับความรู้สึกตื่นเต้น เดินไปมาทั่วห้อง หยิบจับสิ่งนั้นมองดูสิ่งนี้ บนตู้เสื้อผ้ามีลวดลายแกะสลักที่ละเอียดอ่อน เหล็กดัดบนหัวเตียงมีลวดลายแปลกตา รวมไปถึงคอมพิวเตอร์…โรงเรียนมัธยมต้นของเธอมีห้องคอมพิวเตอร์เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่อนุญาตให้นักเรียนเข้าไปใช้
ผ่านไปพักใหญ่เธอจึงดึงสติกลับมาจากความตื่นเต้น จากนั้นก็มีคำถาม “ห้องที่พี่สาวเคยอยู่ก็เป็ห้องแบบนี้เหมือนกันหรือคะ”
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เธอก็รู้สึกอึดอัดใจ
อู๋อู๋รู้ว่า “พี่สาว” ที่ลูกพูดถึงหมายถึงใคร เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของเมิ่งเมิ่งสลดลง เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ หลายปีก่อนอินอินใช้ชีวิตอยู่ที่ตระกูลหลิง มีชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องกังวลเื่อาหารและเครื่องนุ่งห่ม ทว่าบุตรสาวแท้ๆ ของเธอกลับต้องใช้ชีวิตอย่างทนทุกข์ทรมานอยู่ในชนบท โตจนป่านนี้แล้ว แต่กลับไม่เคยใช้ชักโครกเลยสักครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันควรจะเป็ของเมิ่งเมิ่ง อินอินต่างหากที่ควรใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากอยู่ในชนบท
เดิมทีเธอก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับซูอินสักเท่าไร ในเวลานี้ความขุ่นเคืองจึงยิ่งผุดขึ้นในใจ
ยิ่งอู๋อู๋นึกถึงเื่นี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น ความเกลียดชังที่มีต่อซูอินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเมื่อจะออกไปกินอาหารเย็นข้างนอก เธอจึงจงใจเพิกเฉยต่อซูอิน
แต่หลิงจื้อเฉิงไม่ลืม เมื่อเห็นว่าเก็บของเสร็จแล้วและเตรียมจะออกจากบ้าน เขาก็เอ่ยปาก “ไปเรียกอินอินสิ ตลอด่บ่ายไม่เห็นเด็กคนนี้เลย”
“จื้อเฉิง วันนี้เป็วันแรกที่เมิ่งเมิ่งกลับมาอยู่ที่บ้าน ครอบครัวของเราสามคนกลับมารวมตัวกันเป็ครั้งแรกในรอบหลายปี ไปกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ไม่ต้องเรียกคนนอกหรอกค่ะ”
อินอินจะเป็คนนอกไปได้อย่างไร หลิงจื้อเฉิงไม่เห็นด้วย แต่สายตาที่น่าสงสารของสองสาวที่หันมา ทำให้เขาต้องยอมแพ้
“ไปกันเถอะ”
หลังจากที่ซูอินพลิกตำราเพื่อทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมีจนเสร็จลงอย่างยากลำบาก ก็พบว่าท้องฟ้ามืดแล้ว เธอรู้สึกหิว ผลักประตูห้องนอนออกมาเพื่อหาอะไรกิน ทว่าสิ่งที่ต้อนรับเธอคือบ้านที่มืดและเงียบ
แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างสูงจากพื้นจดเพดาน เมื่อเธอเปิดไฟก็พบห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง สะอาด และว่างเปล่า
อีกทั้งในตู้เย็นก็สะอาดหมดจด หลังจากที่ตระกูลหลิงย้ายมาอยู่บ้านในเมือง ตระกูลหลิงได้จ้างแม่บ้าน ก่อนหน้านี้เนื้อกับผักจะเป็หน้าที่ของแม่บ้านที่ไปตลาดและซื้อเข้ามา วันนี้ที่บ้านมีเื่สำคัญ อู๋อู๋จึงได้ให้แม่บ้านลาหยุด ที่บ้านจึงไม่มีใครทำอาหาร พวกเขาคงจะออกไปกินข้าวข้างนอก
เพียงแต่…ไม่ได้เรียกเธอไปด้วย
ซูอินรู้สึกหดหู่ ทว่าไม่นานเธอก็ตอบรับได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสียนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ชาติก่อนใน่สิบปีหลัง เธอเจอเหตุการณ์เช่นนี้หลายครั้ง ความรู้สึกในตอนแรกคือใ ทุกข์ใจ จนเริ่มคุ้นเคยและชินชา
ไม่เรียกก็ไม่เรียก เธอโตขนาดนี้แล้ว จะปล่อยให้หิวงั้นหรือ เธออยู่ดีกินดีได้ด้วยตัวเอง
เมื่อคิดออกแล้ว ต่อมาเธอก็หาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจอในตู้ข้างๆ เธอเปิดเตาแก๊ส ใส่ไข่ลงไป นั่งกินคนเดียวจนหมด ล้างถ้วยและทำความสะอาดเตาก่อนจะเก็บเข้าที่ จากนั้นกลับเข้าห้องเพื่ออ่านหนังสือต่อ
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ อีกสองสัปดาห์ก็จะสอบเข้ามัธยมปลาย แต่เธอต้องเริ่มทบทวนั้แ่พื้นฐาน
่บ่ายเธอยังอวดกับเมิ่งเถียนเฟินอยู่เลยว่าจะสอบเข้าห้องเรียนโอลิมปิกเพื่อจะได้เรียนฟรี ไม่ให้พวกเขาต้องเป็กังวล แต่สถานการณ์ปัจจุบันของเธอ อย่าว่าแต่ห้องโอลิมปิกเลย จะสอบเข้าได้หรือเปล่ายังไม่รู้
เวลาบีบคั้น เธอจำเป็ต้องแข่งกับเวลา
เธอบิดี้เีก่อนจะกลับมานั่งที่หน้าโต๊ะทำการบ้าน เปิดตำราคณิตศาสตร์ ตัดสินใจเริ่มจากตัวอย่างและกฎพื้นฐานที่สุด
จะอย่างไรมันก็เป็สิ่งที่เคยเรียน ตอนเรียนครั้งแรกเธอสามารถทำความเข้าใจได้สบายๆ ยิ่งในตอนนี้ซูอินมีแกนผูกมัดของผู้ใหญ่ที่อยู่ในร่างกาย ความสามารถในการทำความเข้าใจก็มีมากกว่าตอนอายุสิบหกอยู่ไม่น้อย จึงอ่านตำราเหล่านี้เข้าใจมากขึ้น
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคือ เมื่อก่อนเธอเป็เด็กตั้งใจเรียน จดเล็กเชอร์อย่างละเอียดและตั้งใจ สิ่งเหล่านี้มาจากการสรุปสิ่งที่อาจารย์อธิบายในเวลานั้น
สูตรพื้นฐานหนึ่งสูตร เมื่ออ่านตำราควบคู่กับการจดบันทึก เธอก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก หันไปทำแบบฝึกหัดในชั้นเรียนตามตำรา ขีดเขียนลงบนกระดาษจดเล็กเชอร์ ซึ่งเธอสามารถทำออกมาได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าแบบฝึกหัดในคาบเรียนหากเทียบกับข้อสอบจริงๆ ถือว่าง่ายมาก แต่การพัฒนานี้ก็สร้างความมั่นใจให้เธอไม่น้อย
“ก็ไม่ยากเท่าไรนี่” ซูอินยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ในเวลานี้เธอลืมหมดแล้วเื่ที่ครอบครัวตระกูลหลิงสามคนออกไปกินข้าวโดยทิ้งเธอไว้ เธอระดมทุกเซลล์สมองและให้ความสนใจกับการทบทวนอย่างเต็มที่
ขณะที่ซูอินจมอยู่กับทะเลความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ความบากบั่นคือนาวาท่องไป ครอบครัวตระกูลหลิงทั้งสามคนก็ท่องอยู่บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่างมีความสุข
บุตรสาวที่แท้จริงของตนเองกลับมาแล้ว อู๋อู๋พยายามแสดงออกอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยสิบหกปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่ทำห้องให้ใหม่ ในส่วนอื่นๆ เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถเช่นกัน ถึงแม้การสอบเข้าชั้นมัธยมปลายจะเหลือเวลาเพียงสองสัปดาห์ แต่เธอก็ปรารถนาจะส่งบุตรสาวไปยังโรงเรียนที่ดีที่สุดในเมือง
โชคดีที่เพื่อนร่วมชั้นของหลิงจื้อเฉิง ซุนเหริน ปัจจุบันเป็ครูที่ปรึกษาเกรดสามอยู่ที่โรงเรียนทดลอง[1] ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขา จะทำให้มีที่ดีพอสำหรับเด็กนักเรียน ครั้งนี้เมื่อได้ออกมากินข้าวพวกเขาได้เจอกันโดยบังเอิญ อู๋อู๋ไม่สนใจเื่ “สมาชิกสามคนกินอาหารร่วมกันโดยไม่มีคนนอก” เธอได้พยายามเรียนเชิญซุนเหรินให้มาร่วมโต๊ะ นอกจากนี้สถานที่จัดงานยังเปลี่ยนมาเป็ร้านอาหารสุดหรูที่สุดในเมือง
ภายในกล่องที่ตกแต่งอย่างดี อาหารทะเลและหอยเป๋าฮื้อเต็มโต๊ะ ซุนเหรินได้รับเชิญให้นั่งตรงที่นั่งแขกกิตติมศักดิ์ ถัดไปด้านข้างคือหลิงจื้อเฉิงซึ่งรับหน้าที่ผลัดถ้วยคืนจอก[2] ในขณะที่อู๋อู๋นั่งยิ้มเพื่อเชื่อมโยงความรู้สึก ในใจเธอ้าเพียงสิ่งเดียว ปรารถนาให้ซุนเหรินช่วยดูแลหลิงเมิ่ง
ที่ปรึกษาซุนเป็ชายวัยกลางคนที่มี “หัวล้านตรงกลาง” ปกติเขาไม่มีงานอดิเรกอะไรเป็พิเศษ ทว่าชอบดื่มสุรา เขากินและดื่มอาหารมื้อนี้อย่างสบายใจ และพูดจาดีมาก
“ถ้าอย่างนั้นให้เธอนั่งเรียนโต๊ะเดียวกับอินอินดีไหม” อู๋อู๋เสนอ
เพราะเห็นแก่หลิงเมิ่งที่เธอเป็กังวล เป็ห่วงว่าจะไม่ชินกับสภาพแวดล้อม และกลัวว่าจะถูกเด็กเกเรในโรงเรียนรังแก มากไปกว่านั้นยัง้าให้เธอได้คะแนนดี ซึ่งจำเป็จะต้องมีเพื่อนร่วมโต๊ะดีๆ คอยช่วยเหลือ คิดไปคิดมา อินอินเป็เด็กดีและอ่อนโยน ผลการเรียนก็ไม่เลว อีกทั้งในตอนนี้เธอต้องพึ่งพาตระกูลหลิง เธอจะต้องดูแลเมิ่งเมิ่ง ซึ่งนั่นถือเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
“ไม่มีปัญหา ผมรับผิดชอบเอง”
ซุนเหรินชนจอกสุรากับหลิงจื้อเฉิง ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมด
--------------------------------------------------------------------
[1] โรงเรียนทดลอง หมายถึง โรงเรียนที่ได้รับมอบหมายให้สำรวจและทดสอบทฤษฎีการศึกษาบางอย่างหรือทดลองปฏิรูปการศึกษา โดยพัฒนาด้านการผลิต วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นักการศึกษามักจะจัดตั้งโรงเรียนทดลองเพื่อนำไปปฏิบัติและทดสอบแิด้านการศึกษา
[2] ผลัดถ้วยคืนจอก หมายถึง การอุปมาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันในหมู่เพื่อนฝูง คนสนิท การเคารพซึ่งกันและกัน หรืออาจใช้กับการกินดื่มร่วมกัน