ข้อตกลงมารดาท่านสิ!
อวิ๋นอี้โกรธจัดจนหน้าบึ้งตึงตัง ด่าหรงซิวว่าไร้ยางอาย นางพ่นคำด่าเขาเกือบค่อนคืน จนเสียงแหบเสียงแห้ง เมื่อหันไปมอง หรงซิวกลับมองนางด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นอี้หมดคำจะด่าอีกต่อไป
ผู้ชายไม่กินแข็งไม่กินอ่อน [1] รับมือยากที่สุด นางง่วงเกินกว่าจะจัดการกับเขาต่อไป จึงหันหลังกลับไปนอน ไม่รู้จริงๆ ว่านางเกิดโมโหอะไรขึ้นมาถึงได้เถียงกับเขานานเช่นนั้น
วันรุ่งขึ้นเมื่อหรงซิวตื่น เขาก็เริ่มแกล้งนางด้วยการจงใจเขย่าตัวนางให้ตื่น
อวิ๋นอี้ลุกขึ้นนั่งด้วยความโมโหที่สุมอยู่เต็มอก อยากจะกินเขาเข้าไปทั้งร่าง “ทำอันใดเพคะ!”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า อีกครู่ข้าจะไปว่าราชการ” หรงซิวกะพริบตา “นี่เป็หน้าที่ของพระชายา”
ถือสิทธิ์อันใดที่การทำหน้าที่พระชายาคือการต้องปรนนิบัติเขากัน
อวิ๋นอี้นอนลงบนเตียงอีกคราทันที พูดอย่างหน้าไม่อายว่า "ฝ่าาไม่มีมือหรือเพคะ?"
"อวิ๋นเออร์ อดีตเ้าเคยช่วยข้าสวม" เขาไม่ตอบคำถามนาง แต่กลับมองนางสายตาปริบๆ
อวิ๋นอี้หัวเราะในลำคอ “ฝ่าาพูดเอง นั่นเป็ข้าในอดีต ได้โปรดอย่ามองข้าตอนนี้ด้วยสายตาที่ท่านใช้มองอดีต ข้ามิใช่คนในวันวาน ความแสวงหาทางใจของข้าสูงขึ้น มิยินดีจะทำเื่นี้แล้ว ให้สาวใช้ทำให้เถิดเพคะ”
หลังจากพูดจบ ไม่สนใจว่าหรงซิวจะตกลงหรือไม่ นางก็ะโไปนอกประตู จากนั้นก็มีสาวใช้เดินเข้ามา
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฝ่าา” อวิ๋นอี้สั่ง
เดิมนาง้าจะนอนต่อ แต่เสียงเสียดสีของเสื้อผ้านั้นดังขึ้น ในความเงียบงันทำให้เสียงนั้นชัดเจนกว่าเดิม นอนก็นอนไม่หลับเสียแล้ว อวิ๋นอี้ลุกขึ้นนั่งเท้าคางมองเขา
หรงซิวมีรูปร่างดี กำยำ และรูปงาม สวมเครื่องแบบทางการแล้วสง่างามดูราวกับเทพเซียน
เมื่อเขารู้สึกตัวจากการจ้องมองของนาง หรงซิวก็หันกลับมา “อวิ๋นเออร์ เ้าก็คิดว่าข้ารูปงามด้วยหรือ?”
หน้าด้านเสียจริง
อวิ๋นอี้กลอกตาอย่างขุ่นเคือง “ฝ่าา ข้ากำลังคิดอยู่ว่าถ้าข้าทำหน้าที่ชายาไม่ได้ ข้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็ภรรยาท่านใช่หรือไม่? ฝ่าาดูสิเพคะ ข้าไม่ได้ช่วยท่านเปลี่ยนชุด พระชายาอย่างข้าจะมีประโยชน์อันใด! ทำอันใดก็ไม่ได้สักอย่าง ข้ากำลังเรียกร้องความเป็ธรรมให้กับฝ่าา ฝ่าาทรงทิ้งข้าไปเถิดเพคะ!"
อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเดิม
หรงซิวเหลือบมองนางนิ่งๆ "ชาตินี้เ้าอย่าได้คิดเลย ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่"
"หากข้าเป็ดอกซิ่งแดงนอกกำแพงเล่าเพคะ?" [2] อวิ๋นอี้ถาม "สวมหมวกเขียวให้ฝ่าา ท่านจะยังทนได้หรือไม่? เช่นนั้นฝ่าาคงจะเป็ผู้มากความเมตตา"
ในยามนั้นหรงซิวแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้า บีบคาง ก่อนจะก้มกัดปากนาง แล้วพูดออกมาว่า “เช่นนั้นข้าจะโยนเ้าลงบนเตียง แล้วจัดการให้ตายเสีย”
"......"
อวิ๋นอี้เพียงแค่อยากจะยียวนเขา แต่ไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับเช่นนี้ ทำให้นางมีอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างบอกไม่ถูก
นางทำได้เพียงกัดฟันและผลักเขาออกไป "ฝ่าารีบไปเถิดเพคะ! จะไปท้องพระโรงสายแล้ว!"
"เป็เด็กดีหน่อย" หรงซิวยิ้มน้อย ๆ "มิฉะนั้น จะเป็เ้าเองที่ทนมิได้"
เป็คำพูดปกติแท้ๆ แต่อวิ๋นอี้กลับรู้สึกว่ามันลามกมากทีเดียว
ตอนที่หรงซิวกำลังจะออกจากห้อง จู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบเรียกเขาไว้ “ฝ่าา วันนี้ข้าจะกลับจวนอวิ๋นเพคะ”
“รีบไปรีบกลับ”
เมื่อวานที่สนามแข่งม้าได้เจอกับอวิ๋นจ้าน ทั้งบ้านเมื่อรู้ว่านางอยู่รอดปลอดภัยมาได้ ก็คงคิดถึงนางมาก โดยเฉพาะท่านพ่ออวิ๋นเส่าต้าว ที่บ่นถึงนางทุกวัน
ถึงแม้อวิ๋นอี้จะเป็ตัวปลอม แต่หากจะใช้ตัวตนนี้ในการเสวยสุขต่อไป ก็ต้องแสดงบทบาทนี้ให้ดี ตามความเห็นของนาง หรงซิวนั้นไม่น่าไว้ใจ อย่างไรนางก็คิดว่าไม่อยากจะฝากอีกครึ่งชีวิตไว้ที่เขา ดังนั้นการกลับตระกูลอาจจะเป็หนทางที่ดีที่สุด
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ อวิ๋นอี้ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการแต่งตัว และพิถีพิถันในการแต่งหน้า
ตลอดทางที่นั่งบนเกี้ยว ในที่สุดก็มาถึงจวนอวิ๋นด้วยความสุข
อวิ๋นจ้านกลับบ้านมาเมื่อวานนี้ ก็นำข่าวที่นางจะกลับบ้านมาบอกที่บ้านไว้แล้ว เมื่อนางลงจากรถ ก็ใกับภาพที่เห็นทันที
ใต้ประตูจวนที่สูงใหญ่ มีคนรับใช้ยืนเรียงกันอยู่สองแถว และสาวใช้สองแถว พวกเขายืนเรียงหน้ากระดาน แทบจะยืนกันจนเต็มหน้าถนน ทันทีที่พวกเขาเห็นอวิ๋นอี้ ทั้งหมดก็โค้งลงคำนับกันอย่างพร้อมเพรียง ชวนให้บรรยากาศดูน่าเกรงขาม
อวิ๋นอี้มีความสุขยิ่ง ราวกับว่านางคือผู้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้า
ความคิดของนางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ก็พบบุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เขารีบวิ่งเข้ามาหานาง พร้อมเอามือใหญ่โอบไหล่นาง ดึงนางเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด มองอยู่ไปมาเช่นนั้น น้ำตาก็ล้นเอ่อคลอเบ้า
"อวิ๋นเออร์! อวิ๋นเออร์! ใช่เ้าจริงๆ!" เสียงบุรุษผู้นั้นสะอื้นด้วยความตื้นตัน "มาให้พ่อดูชัดๆ ที!" .
ที่แท้นี่ก็คืออวิ๋นเส่าต้าว เขาดูอ่อนเยาว์กว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
อวิ๋นจ้านตามเข้ามา มองดูท่าทางตื่นเต้นของพ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านพ่อ ให้พี่สาวข้าเข้าไปในจวนก่อนค่อยพูดได้หรือไม่?”
“ได้ ได้!” โดนลูกชายเตือน อวิ๋นเส่าต้าวถึงได้สติกลับมา "จริงสิ อวิ๋นเออร์ พวกเราเข้าจวนกันเถิด!"
นางรอดมาได้จากความตายมาได้ อวิ๋นเส่าต้าวจึงได้เตรียมกะละมังไฟ [3] ไว้ให้นาง
หลังจากข้ามกะละมังไฟแล้ว ภายใต้กลุ่มคนที่แออัด พวกเขาต่างก็เดินเข้าจวนอวิ๋น
จวนของครอบครัวนางหลังใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็การจัดวางหรือการตกแต่ง ก็ให้บรรยากาศเป็ประเภท "บ้านข้าร่ำรวย" ไปทุกที่ อวิ๋นอี้ยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหุบเลย
หลังจากเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เมื่อจัดชุดชาเรียบร้อย สาวใช้ก็แยกย้ายออกไป อวิ๋นอี้รู้ว่าถึงเวลาคุยกันแล้ว อวิ๋นเส่าต้าวรู้ว่านางมีอาการความจำเสื่อม จึงได้แนะนำสมาชิกในครอบครัวของนางให้รู้จักเสียก่อน
ท่านแม่ของนางสิ้นไปั้แ่นางยังเล็ก อวิ๋นเส่าต้าวพูดถึงเื่นี้ก็ราวกับว่าน้ำตาจะไหลอีกรอบ
อวิ๋นอี้รีบแสดงความห่วงใย นางเอ่ยขึ้น "ท่านพ่อ อย่าได้เศร้าไปเลย ยังมีอวิ๋นเออร์ที่อยู่เคียงข้างท่าน"
อวิ๋นเส่าต้าวมองมาที่นาง พยักหน้ารับ
แม้ว่าเขาจะเป็มหาเสนาบดีของราชสำนัก แต่อวิ๋นเส่าต้าวไม่มีภรรยาหรืออนุสามสี่คนเหมือนบุรุษอื่นๆ เขามีภรรยาที่รักยิ่งเพียงผู้เดียว หลังจากการตายของภรรยา เขาก็ไม่ได้ต่อสายพิณ [4]
อวิ๋นอี้แอบถอนหายใจ บุรุษเช่นนี้ย่อมเป็คนดีแน่นอน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหรงซิว กระดูกนางยังไม่ทันเย็น ก็รีบอภิเษกใหม่เสียแล้ว เขาเป็เครื่องบินรบในหมู่ชายชั่วจริงๆ [5]
เฮอะเฮอะ ไม่รู้ว่าคำพร่ำบอกรักหวานชื่นที่เขาบอกกับนาง จะต้องฝืนใจเพียงใดถึงพูดออกมาได้
อวิ๋นเส่าต้าวและภรรยามีลูกด้วยกันสี่คน มีเพียงอวิ๋นอี้ที่เป็สตรี ด้วยเหตุนี้นางจึงเป็ที่รักและเอ็นดู คอยได้รับการตามใจและปกป้องจากคนในครอบครัว
พี่ชายคนโตอวิ๋นฉี เป็บุรุษรูปงาม ั์ตาเรียวยาว ว่ากันว่าเขาหน้าคล้ายมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วมาก เป็หมอหลวงประจำราชสำนัก เพราะหน้าตาที่หล่อเหลา จึงได้รับความนิยมเป็อย่างยิ่ง
พี่ชายคนรองอวิ๋นเหยียน แตกต่างจากอวิ๋นฉีอย่างสิ้นเชิง
หากพูดว่าอวิ๋นฉีเป็จันทร์สุกสกาว เขาก็เป็ดวงตะวันที่ร้อนแรง คงเพราะเป็องครักษ์รักษาพระองค์ จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่ง ดวงตาเป็ประกาย เมื่ออวิ๋นเส่าต้าวกำลังพูดอยู่ก็กะพริบตาแกล้งอวิ๋นอี้ไม่หยุด
กะพริบตาจนอวิ๋นอี้อาย อวิ๋นเหยียนก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข
“น้องหญิงของข้าความจำเสื่อมก็ดีอย่าง ข้าว่านางพูดเยอะกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย เมื่อก่อนนางซื่อเกินไป อวิ๋นเออร์พี่หยุดงานวันนี้ รออีกสักครู่ให้พี่พาเ้าไปเดินเล่นในเมืองหลวงดีหรือไม่?”
อวิ๋นเหยียนเป็คนง่ายๆ ตรงไปตรงมา ชอบใจก็ว่าชอบ ไม่ปิดบังอันใด แต่กลับเป็อวิ๋นอี้ที่ทำหน้าแดง นางแสร้งโกรธเคืองพลางเหลือบมองเขา "พี่รองแกล้งข้า!"
"แกล้งกระไร!" อวิ๋นเหยียนยิ้มที ฟันขาวสว่างก็โผล่ให้เห็น “ข้าเอ็นดูเ้าชัดๆ น้องสี่ เ้าว่าเช่นไร?”
เขาดึงอวิ๋นจ้านเข้าร่วมแกล้งนางด้วย
อวิ๋นจ้านเป็บุรุษวัยคะนอง เต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวพี่ชายของเขา โดยเฉพาะการที่เขาชอบขี่ม้ายิงธนู ไม่ต้องพูดถึงความเคารพของเขาที่มีต่อพี่รองผู้นี้เลย
เมื่อได้ยินคำถามของพี่ชาย เขาก็ตอบรับว่าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “ใช่ขอรับ พี่รองพูดสิ่งใดก็ย่อมถูกหมดทั้งสิ้น”
เมื่อในห้องเต็มไปด้วยความเป็กันเอง อวิ๋นเส้าต้าวกล่าวถึงหรงซิว ถามถึงความสัมพันธ์ของนางกับเขา
“ก็เยี่ยงนั่นแหละเ้าค่ะ” อวิ๋นอี้พูด “ข้าบอกเขาว่าข้าความจำเสื่อม มิชอบเขาแล้ว ขอให้เขาปล่อยข้าไป แต่เขามิยอม ยืนกรานจะให้ข้ากระชับความสัมพันธ์กับเขาท่าเดียว”
พูดพลาง นางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นางจึงออดอ้อนกับอวิ๋นเส่าต้าวว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ข้าไม่ชอบเขาแล้วจริงๆ ให้ข้ากลับมาอยู่ที่ตระกูลได้หรือไม่เ้าคะ?”
“มิได้” อวิ๋นเส่าต้าวที่วินาทีก่อนหน้ายังรักและเอ็นดูนางอยู่ กลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “เพลานี้เ้าเป็พระชายาของเขาแล้ว กลับมาอยู่บ้านจะมิกลายเป็เื่ตลกให้เขาเล่าลือกันหรือ?”
“แต่ข้าไม่รู้สึกอันใดกับเขาแล้วจริงๆ อยู่ด้วยกันทุกวันก็เบื่อ เห็นกันจนเกลียดกันได้เลยเ้าค่ะ” อวิ๋นอี้หน้าตาบูดบึ้ง
อวิ๋นเส่าต้าวครุ่นคิด “มันก็มีเหตุผล แต่ความรู้สึกนั้นต้องถูกฟูมฟัก เ้าลองดูก่อนเถิด แต่ก่อนเ้าชอบองค์ชายเจ็ดมากเชียวนะ”
อดีตนั้นนางเคยตาบอด!
ราวกับจะพิสูจน์ความจริงในสิ่งที่เขาพูด อวิ๋นเส่าต้าวได้ตั้งใจเล่าเื่ราวให้นางฟัง บอกว่านางสะกดรอยตามหรงซิว ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าเป็โรคคิดถึงหรงซิว เมื่อเห็นหรงซิวขาของนางก็อ่อนแรงเกินกว่าจะเดินได้
อวิ๋นอี้กุมขมับ ทนฟังมิได้แล้ว ไม่คิดว่าเ้าของร่างเดิมจะคลั่งไคล้ในความรักเช่นนี้
"อวิ๋นเออร์" อวิ๋นเส่าต้าวเรียกนาง "หรงซิวเป็เด็กดี เขาก็ลำบาก เื่ที่เกิดขึ้นยามนั้น ที่จริงแล้วก็นับว่าพ่อติดหนี้เขา"
“เกิดอะไรขึ้นหรือเ้าคะ?” อวิ๋นอี้เริ่มสงสัย ถามเขาต่อ
อวิ๋นเส่าต้าวไม่พูดอะไรอีก โบกมือให้พวกเขาออกไปเดินซื้อของ กลับมาทานข้าวในตอนเย็น
เดิมคิดเพียงว่ามีเพียงแค่พี่รองอวิ๋นเหยียนที่ไปด้วยกัน แต่อวิ๋นฉีและอวิ๋นจ้านเองก็ตามหลังนางมาอย่างใกล้ชิด อวิ๋นอี้ที่รู้สึกอึดอัดในตอนแรก ทว่าเมื่อเดินเข้าไปเดินบนถนน พี่ชายน้องชายทั้งสามรูปงามเป็ที่ต้องตาของผู้คน มีเหล่าสตรี คอยส่งจูบให้อย่างลับๆ ไม่ขาด ราวกับเป็จุดสนใจของคนนับหมื่น ยามนี้นางจึงชอบอกชอบใจอยู่ไม่น้อย
ตลาดในเมืองหลวงกว้างขวางนัก มีโรงเตี๊ยม หน้าร้านต่างๆ เรียงรายกันราวเกล็ดปลา ยังมีอาหารน่าอร่อยกับสุราดีที่มีกลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล เย้ายวนจนท้องของอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยหนอนตะกละ
พวกเขาซื้อของทานไปตามถนนทั้งสาย จนอวิ๋นอี้อิ่มจนท้องกลมป่อง ะโว่ากินไม่ไหวแล้วให้ห่อกลับบ้าน พี่น้องสามคนที่ช่างยียวน หัวเราะกว้างเมื่อได้เห็นนางดูโง่เขลายิ่งนัก
อวิ๋นอี้พึมพำใส่พวกเขา วางตะเกียบลง ยืนขึ้นแล้วพูดว่า "พวกท่านหัวเราะไปเถิด ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย"
"ท่านพี่ จะไปไหนหรือ?" อวิ๋นจ้านทุบหม้อดินไล่ถาม [6] “คงมิได้เขินอายกระมัง?”
นางหรือจะอาย?
“ข้าจะไปปล่อยเบา เ้าจะไปด้วยหรือ?” อวิ๋นอี้พูดหน้านิ่ง “ไปด้วยกันสิ!”
บุรุษทั้งสามคนมองมาที่นางด้วยสีหน้างุนงง
อวิ๋นอี้ออกไปด้วยความเย่อหยิ่ง คิดในใจอย่างเย้ยหยัน นางเป็คนที่อยู่กับหรงซิว เื่ไร้ยางอายจะพ่ายแพ้ได้เช่นไร
เดินไปตามคำบอกของเสี่ยวเอ้อ [7] อวิ๋นอี้จัดการเื่ทางกายเสร็จแล้ว ก็เดินกลับอย่างเบาสบาย
เดินไปถึงชั้นสามก็ต้องชะงัก ก่อนหน้านี้นางอยู่ห้องใดกัน?
ทุกห้องดูเหมือนกันทุกประการ อวิ๋นอี้คิดอย่างรอบคอบแล้วหยุดที่หน้าประตูห้องที่สาม
น่าจะเป็ที่นี่
นางผลักประตูเข้าไปอย่างมั่นใจ เห็นโต๊ะกลมตรงกลาง พร้อมกันกับชายรูปงามราวกับเทพตก์!
บุรุษผู้นั้นช่างสง่างามดูดี หล่อเหลากว่าหรงซิว ไม่สิ หล่อกว่าบุรุษทุกคนที่นางเคยเห็นมาซะอีก!
ผิวของเขาขาวสะอาดหมดจด องคาพยพทั้งห้าของเขาดูอ่อนโยน แต่ทว่าเ็า โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่สุกใสแต่ลึกล้ำราวกับไร้ก้นบึ้ง เขาสวมชุดผ้าไหมสีขาวราวหิมะซึ่งทำให้เขาดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก!
“มีอันใดหรือ?” ชายผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราวกับสายน้ำ
อวิ๋นอี้กลืนน้ำลายอย่างลำบาก ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว
ทันทีที่นางเห็นเขา หัวใจของนางก็เต้นแรง จนแทบจะกระเด็นออกมา
เชิงอรรถ
[1] ไม่กินแข็งไม่กินอ่อน 软硬不吃 หมายถึง คนที่ยืนหยัดในการเจรจาหรือการจัดการกับปัญหา ไม่เปลี่ยนแปลงโลเลได้ง่าย
[2] ดอกซิ่งแดงนอกกำแพง 红杏出墙 หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ไปคบชู้ 红杏คือดอกหรือผลต้นแอพริคอต
[3] กะละมังไฟ 火盆 โดยทั่วไปเป็อุปกรณ์ให้ความอบอุ่น มีความเชื่อที่ว่าหากผู้ได้เผชิญภัยร้าย การเดินข้ามกะละมังไฟจะช่วยปัดเป่าสิ่งอัปมงคล
[4] ต่อสายพิณ 续弦 หมายถึง แต่งงานใหม่หลังจากภรรยาตาย สมัยโบราณเปรียบสามีภรรยาเป็เหมือนพิณ ภรรยาตายเรียกว่า สายพิณขาด
[5] เครื่องบินรบในหมู่ชายชั่ว 渣男中的战斗机 หมายถึง ชายที่ชั่วที่สุดในหมู่ชายชั่ว
[6] ทุบหม้อดินไล่ถาม 打破砂锅问到底 หมายถึง ซักจนถึงตอ ถามจนถึงที่สุด
[7] เสี่ยวเอ้อ 小二 ในร้านอาหาร หมายถึง บริกร หรือพนักงานในร้าน