ซูเมี่ยวเออร์โกรธเป็อย่างยิ่ง ใบหน้าขาวๆ แดงก่ำราวกับตับหมู นางจ้องหรงซิว พร้อมกัดริมฝีปากแน่น
นางไม่เห็นด้วย!
สีหน้าของหรงซิวไม่หลงเหลืออารมณ์ใด ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องเขม็งมาที่นาง พลังอำนาจแผ่กำจาย
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อจนหาข้อสรุปมิได้
ผู้ชมที่รายล้อมอยู่โดยรอบ ต่างยืดคอมองดูการเปลี่ยนแปลง ไทเฮาเป็คนแรกที่รู้สึกตัว นางกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “ซิ่วเออร์ เมี่ยวเออร์เป็เด็กที่เติบโตมากับข้าั้แ่แบเบาะ นางมิใช่คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
“ท่านย่าหมายความว่าซือฝานใส่ร้ายคุณหนูซูหรือเพคะ?” กู่ซือฝานพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “หรือว่าซือฝานมิใช่คนที่เติบโตมากับท่านย่าั้แ่เล็กหรือเพคะ?"
นี่มัน...
ไทเฮารู้สึกลำบากใจเป็อย่างยิ่ง หน้ามือหรือหลังมือล้วนเป็ลูกเป็หลาน
มิใช่ว่านางไม่รู้ ให้พูดจริงๆ ก็คือ ซูเมี่ยวเออร์ย่อมมิอาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดไปมากกว่ากู่ซือฝาน ท้ายที่สุด นางก็คือหลานสะใภ้ของตน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ทรงขมวดคิ้ว นางทำการใดกับเด็กพวกนี้มิได้ เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ก็รู้สึกกริ้วขึ้นมา วันแข่งม้าดีๆ เช่นนี้ เป็เพราะอวิ๋นอี้ผู้นี้อีกแล้ว ทั้งยังทำให้สถานการณ์อุดอู้ด้วยหมอกควัน [1] ทำให้นางทำการใดมิได้เลย
ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าสตรีนางนี้มีดีอันใด
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางต้องจัดการสถานการณ์ในยามนี้ให้จบเสียก่อน
ไทเฮาตัดสินใจเดินไปคว้าหลังมือของกู่ซือฝาน พูดปลอบ "ซือฝานวางใจเถิด เื่นี้ข้าจะให้ซิวเออร์ไปจัดการตรวจสอบให้ละเอียด การแข่งขันของวันนี้จะล่าช้าเพราะเื่นี้มิได้"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทุกคนก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ไทเฮาจะทำให้เื่หนักกลายเป็เบา และปล่อยให้มันผ่านพ้นไป
หรงซิวเม้มปาก กำลังจะพูดตอบ กลับได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของอวิ๋นอี้ดังขึ้นมา “ขออนุญาตไทเฮาเหนียงเนี่ยงเพคะ อวิ๋นอี้กลับคิดว่ามีเื่แบบนี้เกิดขึ้นในวังจะต้องมีการตรวจสอบให้ชัดแจ้ง เชือดไก่ให้ลิงดู ป้องกันไม่ให้ผู้ใดได้รับาเ็อีกเพคะ ผู้ที่กล้าลงมือในครานี้ ต้องกินหัวใจหมีดีเสือดาว [2] เข้าไปเป็แน่! หากละเลยไป เกรงว่าผลร้ายที่ตามมาจะต้องเป็สิ่งที่คาดไม่ถึงแน่เพคะ"
นางยิ้มและมองไทเฮาอย่างหนักแน่น ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
ท่านอยากจะให้เื่นี้โมฆะไปหรือ ข้ามิยอมหรอก!
ถึงตอนนี้ เหล่าองค์หญิงองค์ชายก็ตระหนักได้แล้วว่าอวิ๋นอี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หากเปรียบเทียบกับในอดีต นางในตอนนี้ดูใจกว้างและกล้าหาญมากกว่าเดิม ไม่ขี้ขลาดอีกต่อไป ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจและความหยิ่งผยอง
ช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน
หรงซิวหรี่ตาลงมองนาง มุมปากที่แทบจะมองไม่เห็นพลันหยักยกขึ้นน้อยๆ
น่าสนใจ
คาดไม่ถึงเลยว่าดอกไม้สีขาวน้อยๆ ที่เคยอ่อนแอ จะกลายเป็พริกเม็ดน้อยที่ชวนให้สำลัก
หรงซิวไม่ได้พูดอันใดออกมา ทำเพียงแค่มองดูสถานการณ์เฉกเช่นคนนอก
กลับกัน กู่ซือฝานช่วยนางพูดอีกแรง "ท่านย่าเพคะ ซือฝานเองก็คิดว่าต้องให้ความสำคัญกับเื่นี้เพคะ"
นางมองซูเมี่ยวเออร์และพูดจาชัดถ้อยชัดคำ "ครานั้นซือฝานเห็นชัดเจนเพคะ หากมิใช่คุณหนูซูจริงๆ ก็ต้องค้นร่างกายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เหตุใดคุณหนูซูถึงไม่ยอมเล่าเพคะ?”
“เื่เกี่ยวกับชื่อเสียงของข้า ชื่อเสียงของสตรีจะถูกย่ำยีด้วยเื่เช่นนี้ได้อย่างไร?” ซูเมี่ยวเออร์ไม่ยอมอ่อนข้อ
เมื่อเห็นว่าการปะทะคารมของทั้งคู่ใกล้จะเริ่มขึ้นอีกครา ไทเฮาก็รีบะโขึ้นมาทันที “หุบปากกันให้หมด! เมื่อเห็นแล้วว่าในเมื่อม้ามันเกิดปัญหาในคอกม้า ก็เริ่มจากในคอกม้าก่อน ไปเรียกคนคุมคอกม้าออกมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
ขันทีข้างไทเฮารีบร้อนออกไปอย่างเชื่อฟัง ยามที่เขาหันกลับจะเดินจากไปนั้น สายตาจับจ้องไปที่อวิ๋นอี้อย่างมีความนัย
อวิ๋นอี้ใจเต้นแรง กำหมัดแน่น ลางสังหรณ์ไม่ดีโผล่ขึ้นมา ไม่นานหลังจากนั้น เื้ัขันทีร่างใหญ่ก็ตามเข้ามาด้วยคนคุมคอกม้าหนุ่มผู้หนึ่ง
คนคุมคอกม้าตัวสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยังไม่ทันที่จะเดินเข้ามาถึงด้านใน เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและะโว่า "องค์ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย! องค์ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"
ไทเฮาพูดอย่างหนักแน่น "ข้ายังมิได้ถามสิ่งใด เ้าขอชีวิตอันใดเล่า!”
คนคุมคอกม้าผู้นั้นสะดุ้ง และกล่าวอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ "ข้าน้อย...ข้าน้อยได้ยินเื่ที่ม้าถูกวางยา องค์ไทเฮาโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"
“ข้าเพียงจะถามว่า คุณหนูซูได้ไปที่คอกม้าหรือไม่?”
เขาพยักหน้า "ไปขอรับ"
กู่ซือฝานยิ้มมุมปาก แล้วพูดกับไทเฮาว่า "ท่านย่า ซือฝานมิได้พูดเท็จ"
ไทเฮาตอบรับ จากนั้นจึงหันไปพูดกับซูเมี่ยวเออร์ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ "เ้าไปทำการใดที่คอกม้า?"
ซูเมี่ยวเออร์คำนับทันที “องค์ไทเฮาเพคะ เมี่ยวเออร์เพียงแค่ไปดูม้าของตัวเองเท่านั้น คนคุมคอกม้าผู้นี้เป็พยานได้”
คนคุมคอกม้าถูกเอ่ยขาน ก็พยักหน้าอย่างเร่งรีบ “จริงขอรับ คุณหนูซูเพียงแค่ไปดูม้า ส่วนเื่วางยา...เป็คนอื่นขอรับ”
ผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่ขมวดคิ้วพร้อมๆ กัน รอคอยคำตอบจากคนคุมคอกม้าท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย คนคุมคอกม้าไม่กล้าใช้อุบายใดๆ เล่าเื่อย่างหนึ่งห้าหนึ่งสิบ [3]
ที่แท้ลูกน้องคนหนึ่งของคนคุมคอกม้าผู้นั้น แยกไม่ออกระหว่างหญ้าหม่าซิงกับหญ้าคราม เพราะพืชทั้งสองคล้ายกันยิ่งนัก เขาเก็บหญ้าหม่าซิงกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ป้อนให้ม้าของอวิ๋นอี้ จึงได้เกิดเื่โกลาหลเช่นนี้ขึ้น
คนคุมคอกม้าเรียกลูกน้องของเขาออกมา เป็ขันทีอายุสิบสองสิบสามปี ยังไม่ถึงวัยเสียงแตก หมอบอยู่บนพื้นอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
วุ่นวายอยู่กว่าค่อนวัน ไทเฮาเห็นว่าเื่วุ่นวายนี้นับว่าได้สะสางแล้ว ก็อยากจะมันจบโดยเร็วเสียที
นางโบกมือ ให้คนมานำขันทีน้อยไปลงโทษ
ขันทีน้อยร้องไห้น้ำมูกโป่ง ดึงชายกระโปรงอวิ๋นอี้ ทำให้นางทนไม่ไหว
ทหารไม่กี่คนเข้ามาคว้าตัวขันทีน้อยแล้วลากออกไป อวิ๋นอี้และกู่ซือฝานชำเลืองมองกัน กู่ซือฝานรีบเดินเข้าไปพูดอย่างเคารพ "ท่านย่า"
"มีอันใด" ไทเฮาพูดอย่างอดทนอดกลั้น
“ในเมื่อเป็การเข้าใจผิด ก็ช่างมันเถิดเพคะ ข้าเห็นว่าขันทีคนนี้เข้าวังมาได้ไม่นาน อย่าให้มีครั้งหน้าก็เพียงพอเพคะ”
พวกเขารู้ชัด เป็ไปได้ว่าขันทีคนนี้เป็เพียงแค่แพะรับบาป
เป็ในตอนนั้นเอง องค์ชายเก้าที่เฝ้ามองอยู่นานก็กล่าวขึ้น “ท่านย่า ในวันดีๆ เยี่ยงนี้ จะดีกว่าหากว่า...”
“ก็ได้ ก็ได้!” ไทเฮาพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าล่ะไม่เข้าใจพวกเ้าเสียจริง ผู้คุม พวกเ้าเอาขันทีนั่นไปสั่งสอนให้ดี คราหน้าเ้าย่อมไม่โชคดีเยี่ยงวันนี้แน่!”
ผู้คุมซาบซึ้งในความกรุณาเมตตาอันเหลือล้น เขารีบหันไปจูงขันทีตัวน้อยออกไปอย่างรวดเร็ว
เื่วุ่นวายจบลง การแข่งม้าของฝั่งสตรีเกิดเื่โกลาหลไปแล้ว ครานี้ต้องแก้สถานการณ์ ไทเฮารับสั่งว่าจะดูการแข่งขันม้าของฝ่ายบุรุษ
เหล่าบุรุษที่มาเข้าร่วมการแข่งม้ามีจำนวนมาก จึงแบ่งออกเป็ห้ากลุ่ม กลุ่มละสิบคน ผู้ชนะของแต่ละกลุ่มจะได้แข่งกันในรอบถัดไป อวิ๋นจ้านและตู้อี้ซ่าวบังเอิญถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่สาม หรงซิวอยู่ในกลุ่มสุดท้าย
บุรุษทั้งหมดอยู่บนหลังม้า พร้อมที่จะออกตัว มองดูจากระยะไกล พวกเขาล้วนหล่อเหลาและห้าวหาญ การแข่งขันของเหล่าบุรุษนั้นย่อมนั้นเข้มข้นกว่า
การแข่งขันของกลุ่มแรก สิ้นเสียงประกาศ ม้าก็ออกตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในทันที
สตรีหลายคนกลั้นหายใจ สายตาจ้องไปที่ม้าที่วิ่งไล่ตามกันตาไม่กะพริบ มีเพียงอวิ๋นอี้และกู่ซือฝานที่ถูกเื่เมื่อครู่ทำให้อารมณ์เสีย พวกนางทั้งคู่นั่งตัวติดกัน พูดคุยโดยไม่ได้สนใจการแข่ง เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจ้านและตู้อี้ซ่าวลงสนาม ถึงพยายามดึงสติกลับมาให้ความสนใจ
ทั้งสองคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สดใส รูปลักษณ์งดงาม โดยเฉพาะตู้อี้ซ่าว เขาดูราวกับผีเสื้อที่นั่งอยู่บนหลังม้า ดวงตาลูกท้อคู่นั้นไม่เคยหยุดนิ่ง เขาขยิบตาให้เหล่าสตรีอย่างบ้าคลั่ง ขาดแค่เพียงบนหน้าไม่ได้มีคำว่า "โปรดนัด" [4] เขียนอยู่ก็เท่านั้น
อวิ๋นอี้ทนดูต่อไปไม่ไหว โชคดีที่ประกาศให้ออกตัว บรรดาหนุ่มเืร้อนก็พากันควบม้าออกตัวทันที
ม้าตัวที่นำในตอนแรกอยู่กลับเป็ตู้อี้ซ่าว
อวิ๋นอี้ตะลึงงัน เมื่อผลในรอบสอง ตู้อี้ซ่าวถูกทิ้งให้รั้งท้ายอย่างโเี้ และสุดท้ายก็ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับที่สี่
เฮอะๆ เ้าหมอนปักใบงามแต่ใช้งานไม่ได้
หลังจากการแข่งขันของกลุ่มที่สามจบลง ไม่นานก็จะถึงรอบของกลุ่มที่ห้า
หรงซิวมีใบหน้าที่หล่อเหลา เมื่อเทียบกับคนอื่น เขาก็ยิ่งโดดเด่น คิ้วและดวงตาสีเข้มของเขา ราวกับมีหมอกบางๆ ปกคลุม ใบหน้าด้านข้างแสนเยือกเย็น มีท้องฟ้ายาวเป็พื้นหลัง เขาสง่างามทว่ายังมีกลิ่นอายความเยือกเย็น เฝ้ามองได้แต่จับต้องไม่ได้
หรงซิวััได้ถึงสายตาอันร้อนแรงที่จ้องมองมาของอวิ๋นอี้ ก็หันไปหานางทันที
ตาทั้งสองคู่สบกัน เขาขยับยิ้มเล็กๆ และขยิบตาให้นาง
ตาเถร!
รูปงามอะไรเช่นนี้!
อวิ๋นอี้หัวใจเต้นรัว รีบหลบสายตา และรอ เมื่อได้ยินเสียงนกหวีดจึงได้หันกลับไปมอง
หรงซิววิ่งเร็วอย่างไม่เห็นฝุ่น นำโด่งอยู่ไกลๆ ไม่เพียงเท่านั้น ในรอบชิง เขายังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้ คว้าที่หนึ่งอย่างเป็เอกฉันท์ ไทเฮาที่ทั้งรักและเอ็นดูหรงซิวมาโดยตลอด เมื่อเห็นเยี่ยงนี้ ก็อดที่จะชื่นชมและตกรางวัลให้กับเขาอย่างไม่ขาดสาย
สิ้นสุดการแข่งม้า ในค่ำคืนนั้นมีงานเลี้ยงในวัง องค์ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ทรงเข้าร่วมงานด้วย ทุกคนอยู่ในงาน เป็ภาพที่แสนสงบสุข
อวิ๋นอี้เงียบราวกับไก่ตลอดทั้งงาน ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเรียบร้อย พยายามไม่เป็จุดสนใจให้มากที่สุด หรงซิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทุกที่ที่เขาผ่านไป หลังจากพูดคุยกับไทเฮา ฮ่องเต้และฮองเฮาเองก็ล้วนเอาอกเอาใจเขา นอกจากนี้ยังมีซูเมี่ยวเออร์ที่คอยเสริมโรงเข้ามาเป็ระยะด้วย
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเปิดปากแม้ในขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ หลังจากทานอาหารเสร็จ ผู้คนก็ต่างเดินทางกลับ อวิ๋นอี้เดินตามหรงซิวออกจากวังไปก็พบว่ามีฝนตกปรอยๆ
ด้านหลังมีขันทีนำร่มมาส่งให้ เดิมทีจะพาพวกเขาไปส่งถึงประตูวัง แต่หรงซิวกลับหยิบร่มออกมาเอง ชายหนุ่มโอบนางเข้าไปในอ้อมแขน แล้วทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันเข้าไปในม่านฝน
ทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่งนัก กลิ่นอายใสสะอาดของเขาลอยอวลอยู่ที่ปลายจมูกของนางอยู่ตลอดเวลา นอกจากเสียงฝนโปรยปรายในหูแล้ว ยังมีเสียงเดินของทั้งคู่ที่ดังสะท้อนไปมา
เขาไม่พูดอันใด นางก็เช่นกัน
เมื่อถึงประตูพระราชวัง พวกเขาเข้าไปในรถม้า อวิ๋นอี้จึงกล่าวขอบคุณเขาด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“ขอบคุณเื่อันใด” หรงซิวมองนางแล้วยิ้ม “เ้ากับข้าเป็คู่ครองกัน ข้ายินดีปีนูเามีดลงทะเลเดือด [5] เพื่ออวิ๋นเออร์ คราหน้าอย่าได้พูดขอบคุณข้าอีก”
ยินดีปีนูเามีดลงทะเลเดือดหรือ?
อวิ๋นอี้หัวเราะ ช่างคุยโม้โอ้อวดได้เก่งเสียจริง
วันนี้เกิดเื่ที่สนามแข่งม้า เขากลับทำเพียงแค่เฝ้าดู หากรักนางมากอย่างที่ปากว่า คงจะไม่ปล่อยให้นางได้รับแม้แต่ความคับข้องใจเพียงน้อยนิด
อวิ๋นอี้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด ระหว่างนางกับหรงซิว
ไม่สามารถพูดได้ชัดเจนว่าเป็สิ่งใด ทว่าท่าทีของเขาที่มีต่อนางทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
“เป็อันใดไป?” เมื่อเห็นนางไม่พูด หรงซิวโน้มกายเข้ามาใกล้ถามเสียงต่ำ
อวิ๋นอี้ส่ายหน้าและเว้นระยะห่างออกไป นางมองออกไปข้างนอก ค่ำคืนช่างมืดมิด แต่จิตใจของนางกลับมิอาจสงบลงได้
หลังจากกลับมาที่จวน เมื่ออาบน้ำเสร็จ หรงซิวก็อยู่ในห้องไม่ออกไปไหน อวิ๋นอี้ไล่อย่างไรก็มิเป็ผล เมื่อคิดถึงข้อตกลงระหว่างทั้งสอง นางก็ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
ทั้งสองนอนเคียงข้างกันบนเตียง ไม่นานหรงซิวก็เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด นางขมวดคิ้ว ไม่พูดอันใด ทำได้เพียงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงใหญ่
ผู้ใดจะรู้ ทันทีที่นางขยับตัว หรงซิวก็ขยับตามและเขยิบเข้ามาไปใกล้นางมากขึ้นอีก
ระยะห่างระหว่างคนสองคน ไม่ได้กว้างออกไป กลับยิ่งใกล้มากขึ้นกว่าเดิม
ในความมืด นางลืมตาและมองไปยังร่างที่อยู่ข้างหน้านาง ก่อนจะพูดว่า “หรงซิว ท่านจะทำอันใด?”
“ทำ?” เขายิ้มเบา ๆ “ได้หรือไม่?”
“.......”
อวิ๋นอี้พ่นลมหายใจเ็า กำลังจะยกขาเตะเขา ที่ไหนได้ หรงซิวกลับตอบสนองเร็วยิ่ง มือข้างหนึ่งคว้าข้อเท้านางไว้แล้วดึงเบาๆ อวิ๋นอี้เจ็บ สาปแช่งเขาในใจ
ริมฝีปากของชายหนุ่มหยักยกยิ้มอย่างงามสง่า “อดใจที่จะกอดข้าไม่ไหวแล้วหรือ?”
"ใครอยากกอดท่าน!" อวิ๋นอี้หงุดหงิดเล็กน้อย แล้วดึงขากลับด้วยความรุนแรง
หรงซิวไม่ยอมปล่อย นางกัดฟันพูดอย่างเดือดดาล “หากฝ่าาอยากจะกอดก็ไปหาซูเมี่ยวเออร์เถิด! แค่ท่านให้สัญญาณ นางก็อดใจรอขึ้นเตียงมิไหวแล้ว! เื่วันนี้ ฝ่าารู้ทั้งรู้ว่าเกี่ยวกับนาง เห็นข้าโดนไทเฮาด่า ท่านกลับไม่พูดช่วยข้าสักคำ นับว่าข้ามองได้ทะลุปรุโปร่ง อยู่กับท่านแล้วมีแต่เื่ไม่ดี! ไม่ใช่คราก่อนที่ตกหน้าผา ก็ครานี้ที่เกือบจะตกม้า พวกเราเลิกกันเพื่อความสงบสุขเถิด!”
"กระไรนะ?" เขาฟังนางพูดด้วยความโกรธเคืองอยู่นาน ก็เลิกคิ้วขึ้น “เ้าลองพูดอีกรอบสิ?”
พูดก็พูด!
นางครุ่นคิดมาทั้งคืน กำลังอัดอั้นตันใจอยู่พอดี!
“ข้าบอกว่า เลิกกันเพื่อความสันติเถอะ! ข้าไม่้าท่านแล้ว!”
“เ้าลืมข้อตกลงระหว่างเราแล้วหรือ?” หรงซิวหัวเราะ “สัญญาบอกไว้ว่าครึ่งปี เ้าจะกลับคำมิได้"
เชิงอรรถ
[1] อุดอู้ด้วยหมอกควัน 乌烟瘴气 หมายถึง บรรยากาศที่เลวร้าย
[2] กินหัวใจหมีดีเสือดาว 吃了熊心豹子胆 หมายถึงใจกล้าบ้าบิ่น ไม่เกรงกลัวสิ่งใด
[3] หนึ่งห้าหนึ่งสิบ 一五一十 หมายถึง เล่าเื่ได้อย่างละเอียดชัดเจนตามความจริง
[4] โปรดนัด 求约 ความหมายคำว่า นัด 约ในศัพท์วัยรุ่น ไม่ได้หมายถึงการนัดพบ หรือนัดเดท แต่หมายถึง นัดกันไปทำเื่อย่างว่า
[5] ปีนูเามีดลงทะเลเดือด上刀山下火海หมายถึง บุกน้ำลุยไฟ บุกป่าฝ่าดง