กู่ซือฝานปีนขึ้นไปบนหลังม้าสีแดงพุทราอย่างดีอกดีใจ ทั้งยังขยิบตาให้นางอีกด้วย อวิ๋นอี้ทำได้เพียงยิ้มให้นาง เมื่อหันหน้ากลับมาสีหน้าพลันครึ้มลงทันใด
มีแต่คนอะไรกัน!
ก่อนหน้านี้มีแม่มดผู้ร้ายกาจอย่างซูเมี่ยวเออร์ แล้วกู่ซือฝานคนนี้ก็โผล่มาอีก จะมองเช่นไรก็สบายใจมิได้เลย
ภายภาคหน้าต้องคบค้าสมาคมกับนางให้น้อยลง!
อวิ๋นอี้กำลังคิดเรื่อยเปื่อย เสียงนกหวีดก็ดังเข้ามาในหู นางหันหน้ากลับ สบเข้ากับสายตาของกู่ซือฝานอีกครั้ง
นางยิ้มและให้กำลังใจตน “พี่สะใภ้เจ็ด! สู้ให้ชนะนะเพคะ!”
ไร้สาระเสียจริง นางเป็แค่มือสมัครเล่นที่เพิ่งจะเคยลงแข่งในคราแรก ขอเพียงแค่ไปอย่างปลอดภัยจนสุดทางได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ปรารถนารางวัลใดๆ อวิ๋นอี้เพียงพยักหน้าอย่างขอไปทีให้กู่ซือฝาน มองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ
กลางสนามแข่งมีผู้คุมยืนอยู่ เขายกมือขึ้นสูงกำลังอธิบายข้อกำหนดของการแข่งม้า สตรีทุกท่านจะต้องขี่ม้ารอบสนามสองรอบ และผู้ใดที่มาถึงคนแรกจะเป็ฝ่ายชนะ อีกสิ่งหนึ่งที่เป็เกณฑ์การตัดสินยังเกี่ยวข้องกับท่าทางบนม้าว่าสง่างามหรือไม่ สีหน้าในการบังคับม้านั้นมีเสน่ห์หรือไม่...
หลังจากฟังข้อกำหนดที่ยาวเหยียด อวิ๋นอี้เกือบงีบหลับไป
“เตรียมพร้อมแล้ว!” กู่ซือฝานที่เว้นระยะห่างจากพระชายาแปด เอ่ยเตือนนางเสียงเบา
อวิ๋นอี้เหยียดหลังตรงเอาจริงเอาจัง รอเพียงคำสั่งให้ออกตัว
เสียงนกหวีดดังขึ้นโดยไม่ได้เตรียมใจ อวิ๋นอี้จับบังเหียนไว้แน่นทันที พร้ะโกนให้ออกตัว ขานางกระแทกเข้าที่ท้องม้าอย่างแรง ร่างทั้งร่างราวกับจะโบยบินออกทะยาน ลมวสันต์ที่กระทบหน้านั้นมิได้อ่อนโยนอีกต่อไป แต่ค่อนข้างรุนแรงและทรงพลัง
อวิ๋นอี้ััได้ถึงเสื้อผ้าที่โบกปลิว แม้แต่ผมยาวของนางก็ถูกลากไปข้างหลัง นางอ้าปากหายใจรับลม รู้สึกสดชื่นเป็อย่างยิ่ง!
ควบม้าวิ่งทำให้รู้สึกดีเยี่ยงนี้เอง!
นางไม่ใช่คนที่เร็วที่สุด เบื้องหน้ายังมีม้านำอยู่ห้าถึงหกตัว ไม่จำเป็ต้องรีบร้อน นางแค่ต้องวิ่งให้จบก็เท่านั้น อวิ๋นอี้วิ่งไปแล้วครึ่งรอบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพระชายากู่ซือฝานที่กำลังควบม้าสีพุทราแดงของนางอยู่นั้นขึ้นนำเป็อันดับแรก!
นางช่างรวดเร็วเสียจริง!
เร็วจนเกือบจะเหลือเพียงเงา ราวกับวิ่งไปกับสายลม
อวิ๋นอี้สบถด่าในใจ หันศีรษะกลับมาหาเงาร่างของหรงซิว นางจะต้องพูดกับเขาให้รู้เื่ เขาอยากจะฆ่านางให้ตายหรืออย่างไร?
โชคดีที่นางไม่ได้ขึ้นม้าตัวนั้น มิฉะนั้นนางต้องตกลงมาอย่างแน่นอน
หรงซิวที่มีรูปโฉมงดงาม แม้อยู่ท่ามกลางองค์ชายรูปงามจากตระกูลผู้รากมากดีมากมาย ก็ไม่ได้ถูกรัศมีกลบเลย นางหันไปก็สบตาเข้ากับเขาเข้าทันที หญิงสาวแล้วจึงแสยะยิ้มให้เขา
หรงซิวแววตาสงบนิ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกห่างเหิน เขามองดูนางแล้วมองไปทางอื่น ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างรวดเร็วขึ้นทันที
เขามองไปที่ใดกัน!
มิรับรู้ถึงสายตาอันดุร้ายของนางหรือ!
อวิ๋นอี้คิดจะส่งสายตาเหี้ยมโหดไปอีกครั้ง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นมาพร้อมกัน
“ช่วยด้วย!"
“์ทรงโปรด!"
"อ๊ากๆๆ!"
อวิ๋นอี้ใยิ่งนัก นางรีบมองไปทางตำแหน่งที่รวมทุกสายตาของทุกคนเอาไว้ ร่างของนางราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง พระชายาเก้าที่ขี่ม้านำไปก่อนนั้น ตอนนี้กลับห้อยอยู่บนหลังม้าครึ่งหนึ่ง นางถูกสะบัดตกลงมาจาก้า แต่ยังจับสายบังเหียนไว้แน่นทั้งสองมือ!
ม้าวิ่งเร็วเกินไป กู่ซือฝานต้องหาโอกาสที่จะปีนกลับขึ้นไป แต่นางทำไม่ได้ เท้าของนางถูกลากไปกับพื้นหลายครั้งและนั่นทำให้เกิดเสียงอุทานอย่างหวาดหวั่น!
อวิ๋นอี้สังเกตได้ว่า ม้าตัวนี้ผิดปกติ!
ดูเหมือนว่ามันกำลังหวาดกลัว หัวม้าที่เชิดสูง เปล่งเสียงโหยหวนด้วยความเ็ป ร้องคำรามไปบนฟ้า กีบม้าควบวิ่งด้วยความรุนแรง เกือบจะสลัดกู่ซือฝานจนหลุด
อันตรายเป็อย่างยิ่ง!
เหล่าองค์ชายที่อยู่ด้านข้าง คนที่มีฝีมือแม้จะเพียงเล็กน้อยต่างก็พากันวิ่งไปที่สนามแข่งทั้งสิ้น ในใจของอวิ๋นอี้บีบรัดแน่นขึ้นมา จ้องเขม็งไปที่ม้าตัวนั้น เห็นว่าหรงซิวลุกขึ้นช้าสุด แต่กลับกลายเป็ว่าเขาไปถึงข้างหน้าเร็วสุด เขาะโขึ้นไปบนหลังม้าอย่างแม่นยำแล้วดึงกู่ซือฝานขึ้นมา ตอนนี้บังเหียนเปลี่ยนไปอยู่ในมือเขา หรงซิวออกแรงกระชับที่มือ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ทันใดนั้นม้าที่กรีดร้องอยู่ ก็วิ่งอาละวาดไปทั่วสนาม
ฝูงชนกระจายออกไปทันที หรงซิวะโว่า "กอดข้าไว้ให้แน่น!"
กู่ซือฝานที่ตอนนี้ไม่สนใจสิ่งใด เกาะเขาไว้แน่น ไม่มีเวลาแล้ว จะรอช้ามิได้ หรงซิวะโลงจากหลังม้าได้ในที่สุด ม้าคึกวิ่งมั่วไปทุกหนทุกแห่ง องค์ชายเก้าร่วมกับกลุ่มทหารรักษาพระองค์ ควบคุมม้าคลั่งนั่นเอาไว้ได้
อุบัติเหตุสิ้นสุดลงเช่นนั้น
ม้าล้มลงพื้นอย่างหมดกำลัง โหยหวนเสียงดัง ขาและปากของมันถูกมัดไว้แน่นด้วยเชือก กลุ่มคนที่ยังอยู่ในสนามใ ไม่มีใครมีอารมณ์จะแข่งขันต่อ รวมตัวกันเป็กลุ่มอยู่กันเงียบๆ
เหล่าบุรุษที่อยู่ในสนาม มีสีหน้าเคร่งเครียด สตรีบางคนแอบสะอื้นไห้เบาๆ อย่างขวัญเสีย
กู่ซือฝานถูกองค์ชายเก้าโอบไว้ในอ้อมอก ปลอบเบาๆ หมอหลวงกำลังตรวจสอบอาการาเ็ให้นาง
อวิ๋นอี้อยู่ในห้วงอารมณ์สับสนหากมิใช่เพราะกู่ซือฝานเปลี่ยนม้ากับนาง คนที่ตกลงมาอาจจะเป็นางเอง ที่เลวร้ายไปกว่านั้น กู่ซือฝานมีทักษะต่อสู้เล็กน้อย แต่นางกลับไม่มีเลย ถ้าม้าอาละวาดจริงๆ นางคงทำอันใดมิได้ คิดเพียงเท่านั้นก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา นอกจากความหวาดกลัวก็เป็ความรู้สึกผิด
อวิ๋นอี้เดินเข้าไปหากู่ซือฝานอย่างหวาดหวั่น “พระชายาเก้า”
ดูเหมือนว่ากู่ซือฝานจะเท้าพลิก หมอหลวงกำลังตรวจเพิ่มเติม นางเงยหน้าขึ้นเห็นอวิ๋นอี้พร้อมกับสีหน้ารู้สึกผิด หญิงสาวกลับยิ้มอย่างไม่ถือสาและโบกมือให้นาง “พี่สะใภ้เจ็ด!”
ง้างมือไม่ตบผู้ยิ้มตอบ [1] ยิ่งไปกว่านั้น นางยังช่วยตนให้พ้นภัยไว้ด้วยครั้งหนึ่ง
อวิ๋นอี้ยิ้มหวานตอบ “พระชายาเก้า เป็เช่นไรบ้าง?"
"เรียกข้าว่าพระชายาเก้าอันใดกัน" กู่ซือฝานพูด "เรียกข้าว่าซือฝานก็พอเพคะ พี่สะใภ้เจ็ดความจำเสื่อมแล้วทำตัวห่างเหินกับข้าหรือเพคะ?"
"......"
"ฮ่าๆ ไม่เป็อันใดหรอกเพคะ ข้าเพียงถลอกปอกเปิกเล็กน้อยเท่านั้น มิเป็อันใดมาก โชคดีที่คนที่อยู่บนหลังม้าเป็ข้า หากเป็ท่านคงแย่แน่" กู่ซือฝานพูดถึงเื่นี้ก็ลูบหน้าอก "โชคดีจริงๆ"
"......"
อวิ๋นอี้พูดอะไรไม่ออก
กู่ซือฝานเห็นว่านางนิ่งไป ตากลมโตก็มองไปรอบๆ แล้วบอกกับนางว่า “ท่านพี่ เข้ามาใกล้ๆ ข้าหน่อยเพคะ”
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่ากู่ซือฝานมีอันใดอยากพูด จึงเชื่อฟังนางเอาหูเข้าไปใกล้
ลมหายใจอุ่นๆ พ่นลงบนผิวของนาง อวิ๋นอี้รู้สึกคันยุบยิบ ในตอนที่กำลังจะเสียสมาธิ ใครจะรู้ว่านางกลับได้ยินเื่ใหญ่เข้า “ก่อนหน้านี้ ข้าเห็นซูเมี่ยวเออร์เข้าไปยุ่งกับม้าตัวนี้ ใจข้าคิดว่านางต้องทำอันใดไม่ดีอยู่เป็แน่ ยามนี้ดูแล้ว ผลที่ได้เป็เช่นนั้นจริงๆ เพคะ!”
ซูเมี่ยวเออร์?
อวิ๋นอี้มองนางอย่างสงสัยและจริงจัง "ซือฝาน เื่เช่นนี้จะพูดมั่วมิได้นะ"
“จริงเสียยิ่งกว่าจริงเพคะ!” กู่ซือฝานยกมือขึ้นสาบาน “ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระอันใดนะเพคะ!”
อวิ๋นอี้จ้องนาง เมื่อมองตากลมโตอันสดใสของนางที่เผยให้เห็นถึงความจริงใจชัดเจนเยี่ยงล้างน้ำมาแล้วนั้น ดูไม่เหมือนว่าจะหลอกลวงอันใดเลย
นิ่งไปครู่หนึ่ง นางพลันนึกถึงสายตาที่ดูิ่และยียวนของซูเมี่ยวเออร์ก่อนหน้านี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พูดกับกู่ซือฝานว่า "เอาล่ะ เช่นนั้นเ้ากล้าออกมาเป็พยานให้ข้าหรือไม่?"
"กล้าสิเพคะ!” กู่ซือฝานยืดอกพูด “ข้ากล่าวว่าเห็นก็คือเห็นจริงๆ ั้แ่เมื่อใดกันที่แม้แต่จะพูดความจริง ยังต้องถามว่ากล้าหรือไม่กันเพคะ?”
ประโยคนี้เอง ที่ทำให้อวิ๋นอี้รู้สึกดีต่อกู่ซือฝานขึ้นมา
ทั้งสองกระซิบปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ซูเมี่ยวเออร์ก็พยุงไทเฮาเข้ามาช้าๆ
การแข่งขันม้าที่ดันเกิดอุบัติเหตุเกือบคร่าชีวิตคนนั้น ทำให้ไทเฮามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เมื่อมาถึงก็กวาดสายตาไปที่ฝูงชน ถามขึ้นว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
องค์ชายเก้าคำนับแล้วตอบ “คารวะองค์ไทเฮาขอรับ ม้าของพระชายาเจ็ดตื่นตระหนก ทำให้ซือฝานาเ็ขอรับ”
ไทเฮามิเข้าใจ “ม้าของชายาเจ็ดตื่นตระหนก เหตุใดถึงทำให้ซือฝานาเ็ได้?” สายตาของนางหันไปทางอวิ๋นอี้ “พระชายาเจ็ดอยู่แห่งหนใด ทุกที่ล้วนไม่สงบสุข! "
ฟังดูสิว่านี่คำพูดประเภทใดกัน!
ไม่ถูกชะตากับใคร แค่อีกฝ่ายหายใจก็ยังผิด
อวิ๋นอี้กำหมัดแน่น ระงับความไม่พอใจไว้ในใจ ก้าวไปข้างหน้าตอบว่า “ทูลไทเฮาเพคะ ม้าของอวิ๋นอี้ ฝ่าาเป็ผู้จัดเตรียมเอาไว้ให้ข้า ฝ่าารักถนอมข้าเป็อย่างยิ่ง มิมีทางที่จะหาม้าพยศมาให้ข้า ม้าทุกตัวที่นำมาได้รับการดูแลจากทหารรักษาพระองค์ของในวัง ก่อนนี้ม้าที่ฝ่าานำมายังดีๆ อยู่ เหตุใดเมื่อนำมาในวังเพียงไม่นาน จึงเกิดปัญหาได้เล่าเพคะ?”
ไทเฮาฟังจบก็ยิ่งไม่พอใจ “เ้ากำลังใส่ความวังหลวงหรือ?”
“มิกล้าเพคะ” อวิ๋นอี้รีบก้มคำนับ “ข้าเพียงแค่คาดเดาไปตามหลักเหตุผล อาจจะเพราะฮวงจุ้ยไม่ดี...ไม่สิ องค์ฮ่องเต้เป็ถึงโอรสั มีองค์ฮ่องเต้อยู่จะฮวงจุ้ยไม่ดีได้อย่างไร? มิกระนั้นก็คงมีคนขยับมือเท้า [2] แล้วเป็แน่!"
"เป็ไปไม่ได้!" ไทเฮาพูด
“เหตุใดจึงเป็ไปไม่ได้เล่าเพคะ?” อวิ๋นอี้หัวเราะเบาๆ
กู่ซือฝานเห็นสัญญาณที่อวิ๋นอี้ส่งให้ นางจึงพูดขึ้นมา "องค์ไทเฮาเพคะ ซือฝานมีเื่จะทูลเพคะ"
ไทเฮามองซือฝาน สีหน้าบึ้งตึงคลายลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจอบอุ่น "เ้าพูดมา"
“ทูลไทเฮาเพคะ ก่อนนี้ซือฝานเห็นซูเมี่ยวเออร์ไปที่คอกม้าก่อนเริ่มการแข่งขัน นางสวมชุดสีเหลืองสดใส โดดเด่นเป็ที่สุด ได้ยินมาว่าไทเฮาเลือกชุดนี้ให้นางเอง สีสดงดงามเช่นนี้ซือฝานมองไม่ผิดแน่นอน หญิงสาวในวังผู้ใด ถ้าไม่ได้รับอนุญาต มิกล้าสวมชุดสีนี้อย่างแน่นอนเพคะ" ั์ตาของกู่ซือฝานดูโกรธเคืองดั่งคบไฟ มองไปที่ซูเมี่ยวเออร์ "เป็ฝีมือของเ้าใช่หรือไม่ซูเมี่ยวเออร์?"
"มิใช่ข้า! " ซูเมี่ยวตอบโต้ "ในที่นี้มิได้มีข้าคนเดียวที่ใส่ชุดสีนี้เสียหน่อย"
อวิ๋นอี้หัวเราะนิ่งๆ “กระนั้นเ้าก็หมายความว่ามิใช่เ้า แต่เป็พระชายาแห่งองค์รัชทายาทหรือ?”
พระชายาแห่งองค์รัชทายาทก็สวมชุดสีเหลืองด้วยเช่นกัน แต่ดูดีกว่าชุดของซูเมี่ยวเออร์มากนัก
เมื่อซูเมี่ยวเออร์ได้ยินคำของอวิ๋นอี้ ก็อยากจะกัดนางหญิงมารยานางนี้ให้ตายเสีย เพียงแค่นางเปิดปาก ก็ทำให้ตนต้องกลายเป็ปฏิปักษ์ต่อพระชายาแห่งองค์รัชทายาทแล้ว
มิได้เด็ดขาด!
“ข้าไม่ได้บอกว่าเป็พระชายาแห่งองค์รัชทายาท" ซูเมี่ยวเออร์พูดปัด “อวิ๋นอี้ แม้เ้าจะบอกว่าข้าเป็คนทำ ทว่าเ้ามีหลักฐานหรือไม่? ผู้ใดก็รู้ว่าเ้ากับกู่ซือฝานสนิทกัน พวกเ้าสองคนร่วมมือกันใส่ร้ายข้า ก็มิใช่ว่าจะเป็ไปมิได้”
“หลักฐานเพียงแค่หาก็ย่อมมีแน่นอน" อวิ๋นอี้เอามือกอดอก นางยังมิได้ทำอันใด หรงซิวก็เดินไปที่ม้าตัวนั้น หญิงสาวนั่งยองๆ ลงและคลำหาอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง
ทุกคนเงียบสงบ ราวกับกำลังรอบทสรุป หลังจากนั้นไม่นาน หรงซิวก็กลับมา เขาค่อยๆ เช็ดมือก่อนเอ่ยว่า "บนแผงคอของม้ามีรอยคมมีดเล็กๆ และผงสีดำอยู่รอบๆ น่าจักโดนวางยาจากหญ้าหม่าซิง”
“โดนวางยา บอกมิได้สักหน่อยว่าข้าเป็คนทำ!” ซูเมี่ยวเออร์พูด "ข้าไม่ได้วางยา”
“เ้าจะวางยาหรือไม่ ยังหาข้อสรุปไม่ได้” หรงซิวไม่ไว้หน้านาง หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วมองมาที่นาง “หากคุณหนูซู้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ยามนี้ยังมีโอกาส ขอเพียงให้พวกเราค้นตัวเ้าก็พอ"
เชิงอรรถ
[1] ง้างมือไม่ตบผู้ยิ้มตอบ 伸手不打笑脸人 หมายถึง ไม่อาจจะใจร้ายง้างมือตบผู้ที่สำนึกผิดหรือขอโทษได้
[2] ขยับมือเท้า 动了手脚 หมายถึง กลอุบาย แอบทำสิ่งไม่ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้