ทิวทัศน์ยามวสันต์ฤดูอบอวลไปทั่วทั้งสนามแข่ง แสงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านยอดไม้ที่เพิ่งแตกกิ่งใหม่ ระยิบระยับจับตา
สนามแข่งกว้างขวาง มีคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ยืนรวมกลุ่มพูดคุยกันอย่างครื้นเครง แต่เสียงบรรยากาศที่ครึกครื้นก็ค่อยๆ สงบลง เมื่อหรงซิวและอวิ๋นอี้ปรากฏตัว ทุกคนมองที่พวกเขาเป็ตาเดียว สายตาแต่ละคู่ล้วนแพรวพราว ต่างความรู้สึกกันไป
อวิ๋นอี้ตกตะลึง
เหตุใด...ทุกคนล้วนมองมาที่นางเล่า?
นางตกอยู่ในความงุนงงอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบุรุษร้องใ
ยังไม่ทันจะได้สติ นางพลันเห็นบุรุษรูปงามในชุดคลุมสีม่วงเบียดออกมาจากฝูงชน กระโจนเข้าใส่นาง จับนางหมุนเป็วงกลม ก่อนจะะโอย่างตื่นเต้นว่า “อวิ๋นเออร์! เป็เ้าจริงๆ! ดีจริงๆ ที่เ้ายังไม่ตาย!”
ฝ่ายตรงข้ามดูตื้นตันยิ่งนัก ในเวลาเพียงสั้นๆ ที่พูด น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม
อวิ๋นอี้รู้สึกกลัวท่าทีตื้นตันเช่นนี้ นางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนที่เข้ามาดูตื่นเต้นยิ่งนัก เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนไม่ปล่อย
เขาตบหลังนางและทุบไม่หยุด "อวิ๋นเออร์! อวิ๋นเออร์!"
"เ้าทุบข้าให้ตายเสียเถิด" อวิ๋นอี้เอ่ยอย่างสิ้นหวัง
หัวใจของนางแทบจะหลุดออกมาแล้ว นางพูดต่ออย่างโกรธเคืองว่า "ตื่นเต้นย่อมทำได้ แต่ทุบข้าเยี่ยงนี้ไม่มากไปหรือ?"
ทั้งยังทุบอยู่นานมาก! เจ็บเหลือเกิน!
บุรุษผู้นั้นนับว่ายังมีสติ ได้ยินเช่นนั้นก็เว้นระยะห่างออก มองมาที่นางแล้วพูดว่า “อวิ๋นเออร์? เหตุใดเ้าถึงพูดกับข้าเช่นนี้? เมื่อก่อนเ้าไม่เคยเป็เช่นนี้! ในอดีตเ้ารักและเอ็นดูข้าจะตาย!”
อวิ๋นอี้กลืนน้ำลายแล้วเหลือบมองหรงซิวเงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของเขา ก็เริ่มคิดว่า อย่าบอกนะว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้านางเป็อดีตคนรักของนางหรือ?
ต่อหน้าผู้คนมากมาย หมวกเขียวลอยมาตรงหน้า เป็ผู้ใดก็คงไม่ชอบใจ ตอนนี้นางอาศัยจวนเขา กินของเขา อยู่เงียบๆ คงจะดีกว่า
อวิ๋นอี้ตัดสินใจว่าก่อนที่นางจะหาขาที่ใหญ่กว่ายาวกว่าได้ [1] นางจะกอดขาของหรงซิวไว้ให้แน่นก่อนก็แล้วกัน
นางจึงผลักบุรุษผู้นั้นออกไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “อดีตก็คืออดีต แต่ตอนนี้ข้าความจำเสื่อม ความสัมพันธ์ของเราถือเป็โมฆะ!”
เป็โมฆะหรือ? บุรุษชุดสีม่วงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ “พวกเราเป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ [2] มิตรภาพสิบกว่าปีจะเป็โมฆะได้เยี่ยงไร ข้าไม่ยอม!”
เขาโวยวาย มือเท้าสะเอว ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยความโกรธ ราวกับว่าเขาจะกินหัวนางในวินาทีต่อมา
อวิ๋นอี้ตัวสั่น นางขยับตัวเข้าไปหาหรงซิว ก่อนจะพบบุรุษอีกผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา
บุรุษที่ะโออกมาภายหลังนั้นอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปี ภายนอกดูยังเด็กมาก ทว่าดูเชื่อถือได้ทีเดียว
เขาเข้ามาแล้วดึงบุรุษชุดสีม่วงไปด้านข้าง ก่อนที่จะเริ่มติเตียน “ตู้อี้ซ่าว พี่สาวข้าความจำเสื่อม ต้องจำเ้าไม่ได้อยู่แล้ว บางทีอาจจะจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ นางยังมีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว เ้าทำให้นางใเยี่ยงนี้ ถ้านางเตลิดจนเป็เื่จะทำเช่นไร?"
"ใช่เลย!" อวิ๋นอี้เห็นด้วยเป็อย่างยิ่ง
เด็กนี่ดูยังเยาว์นัก ไม่คิดเลยว่าความคิดความอ่านจะเข้าท่าอยู่เช่นกัน
ชายที่ชื่อตู้อี้ซ่าวพึมพำอย่างไม่สบายใจ "มิใช่เพราะข้าตื่นเต้นเกินไปหรือ?"
จากการบอกเล่าของเด็กหนุ่ม อวิ๋นอี้จึงได้รู้จักตัวตนของทั้งสอง รวมถึงความเป็มาของครอบครัวของนางด้วย ชายที่ชื่อตู้อี้ซ่าวเป็บุรุษที่เป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับนางจริงๆ เป็มิตรภาพบริสุทธิ์ชนิดที่เรียกได้ว่าโก่งตูดเล่นโคลนด้วยกันมาเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเขาชอบตื่นเต้นเป็กระต่ายตื่นตูม ราวกับคนไม่มีเหลี่ยมไม่มีคม แต่ท่านพ่อของเขาเป็ถึงขุนนางผู้เคร่งขรึมจริงจังแห่งกรมพิธีการเลยทีเดียว
และเด็กหนุ่มที่เรียกนางว่าพี่สาว เขามีนามว่าอวิ๋นจ้าน เป็น้องชายคนที่สี่ของนาง นอกจากนี้นางยังมีพี่ใหญ่เป็หมอหลวงนามว่าอวิ๋นฉี มีพี่ชายรองที่เป็ราชองครักษ์นามว่าอวิ๋นเหยียน พี่ชายทั้งสองของนางแข็งแกร่งราวกับผาหิน บิดาของนางอวิ๋นเส่าต้าวก็เก่งกล้าเช่นเดียวกัน ประวัติครอบครัวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ว่ากันว่า ตอนนี้อวิ๋นเส่าต้าวเป็มหาเสนาบดี เขามีผู้ใต้บัญชากว่าหมื่นคน ในอดีตอวิ๋นเส่าต้าวได้ติดตามฮ่องเต้ไปรบทั่วยุทธจักร ขึ้นชื่อเื่ความกล้าหาญและสง่างาม
อวิ๋นจ้านและตู้อี้ซ่าวเล่าจนปากเปียกปากแฉะ อวิ๋นอี้ฟังนานๆ เข้า เอวและหลังของนางก็ยิ่งยืดตรง
นางมีเป็คนที่มีอำนาจเื้ั!
ไม่เพียงเท่านั้น ภูมิหลังของนางยังฟังดูดีมากอีกด้วย!
นางเหลือบมองหรงซิวที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารออย่างเงียบเชียบ ั้แ่ที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกันแล้ว สง่างามราวกับต้นอวี้ที่ยืนกลางสายลม ขาคู่ที่เรียวยาวและตรง ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับโอรสแห่ง์ ด้วยคิ้วและตาคู่งามทำให้หลายคนไม่อาจละสายตาไปได้ ในแง่รูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว หรงซิวก็นับว่าเป็บุรุษแบบฉบับที่นางชอบจริงๆ
มิรู้ว่าเหตุอันใดดลใจ ราวกับผีเข้า อวิ๋นอี้ลดน้ำเสียงถาม "ไหน เล่าเื่ข้ากับหรงซิวหน่อย!"
"เขามีอันใดน่าเล่ากัน" ตู้อี้ซ่าวแสดงสีหน้าดูแคลน “เขาน่ะเต็มไปด้วยเล่ห์อุบาย ข้าไม่ชอบเขาั้แ่ไหนแต่ไร หากมิใช่ว่าข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ข้าคงต่อยกับเขาทุกคราที่พบเจอเป็แน่"
“......” อวิ๋นอี้คิดว่า ตู้อี้ซ่าวนี่โง่จริงๆ
เอาชนะไม่ได้จะพูดเพื่อการใด เหตุใดจึงหยิ่งผยองทั้งที่เอาชนะไม่ได้กัน ยอดเยี่ยมนักหรือ?
ความรู้สึกความอัปยศเล่า!
ความน้อยเนื้อต่ำใจเล่า!
ไม่ทันที่อวิ๋นอี้จะได้วิพากษ์วิจารณ์ อวิ๋นจ้านก็ต่อคำขึ้นมา “ตู้อี้ซ่าว เ้าน่ะพอได้แล้ว! ฝ่าาไม่ดีเช่นไร? พี่สาวข้ากับฝ่าารักกันด้วยใจจริง ฝ่าาปฏิบัติต่อท่านพี่มิได้ขาดตกบกพร่อง ยามที่ท่านพี่หายไป ฝ่าากินไม่ได้นอนไม่หลับจนซูบผอม ข้าเห็นก็อดสงสารมิได้ ตอนนี้ท่านพี่กลับมาแล้ว นางมีคู่ครองแล้ว หากเ้ามีความคิดอื่นใดอยู่อีก ก็จงหยุดเสีย”
ตู้อี้ซ่าวเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "ข้าจะคิดอื่นใดต่อพี่สาวเ้าได้? ข้ามิได้ชอบคนเช่นนาง เป็เพียงแค่ความรักทางมิตรภาพอย่างที่เติบโตมาด้วยกันก็เท่านั้น!"
"ข้าก็มิได้ชอบคนอย่างเ้า" อวิ๋นอี้ถูกคนรังเกียจ จึงตอกกลับไปอย่างไร้มารยาทเช่นกัน
ตู้อี้ซ่าวถูกหักหน้า กระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ย "อวิ๋นเออร์ คนอย่างข้าเป็เช่นไร? ข้ามีเงิน มีหน้าตา มีความสามารถ ไม่อาจบอกได้ว่าเป็ชายในฝันของหญิงสาวมากมายขนาดไหน!"
เ้าก็หลงตัวเองไปเถิด
มีหรงซิวอยู่เบื้องหน้า เอาเ้ามาวางข้างๆ ก็ไม่แม้แต่จะสะดุดตา
สีหน้าของอวิ๋นอี้ทำให้ตู้อี้ซ่าวอึดอัด เขาเหลือบเห็นหรงซิวอยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างกลับตาลปัตร “อวิ๋นเออร์ ครานี้เ้ารอดตายราวปาฏิหาริย์ แต่เ้าต้องดูให้ชัดสิ จักต้องให้ข้าพูดว่าอย่าหลงกลรูปลักษณ์ของคนบางคน มิแน่เขาอาจจะมีความคิดอื่นใดต่อเ้า มีเจตนาใดแอบแฝง ครานั้นที่เ้าตกจากหน้าผายังไม่รู้ว่าเกินอันใดขึ้นกันแน่!”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!" อวิ๋นจ้านผลักตู้อี้ซ่าวออก "การแข่งม้าจะเริ่มขึ้นแล้ว"
ทั้งสองทิ้งนางเอาไว้ด้านหลัง แล้วผลักกันไปผลักกันมา อวิ๋นอี้เขย่งเท้า กะว่าจะลองหาสาเหตุ แต่แล้วก็มีมือคู่หนึ่งััลงบนร่างของนางเบาๆ
นางหันกลับมา เห็นว่าเป็หรงซิว
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงซิวยิ้มค่อยๆ เขาพูดว่า "เราไปด้านหน้ากันเถิด"
มือของนางถูกกุมอยู่ในฝ่ามือของหรงซิว อบอุ่นและหยาบกร้าน อวิ๋นอี้อยากจะดึงออกมา แต่ก็ถูกเขาจับไว้แน่นขึ้นอีก
ในด้านพละกำลัง บุรุษย่อมแข็งแกร่งกว่าสตรีเป็ธรรมดา
อวิ๋นอี้ยอมแพ้
ถูกพาไปยังที่หมายทั้งแบบนั้น มีคนตั้งกลุ่มกันอยู่มากมาย ยามที่เคลื่อนผ่านฝูงชนไป อวิ๋นอี้ก็มองเห็นไทเฮาและข้างกายนางก็มีซูเมี่ยวเออร์ผู้แสนสะดุดตา
ซูเมี่ยวเออร์ใส่ชุดขี่ม้าสีเหลืองสดใส!
ให้ตายสิ!
เสื้อผ้าสีเหลืองสดใส เลือกรูปลักษณ์ของผู้ใส่ สตรีที่มีผิวขาวผ่องและหน้าตาที่งดงามเท่านั้นจึงจะดูดีเมื่อสวมใส่ แต่ซูเมี่ยวเออร์ไม่นับว่าขาวมาก ทั้งยังหน้าตาก็ดูธรรมดา อย่างดีที่สุดก็นับได้ว่าน่ามอง ทว่ายามที่นางสวมชุดสีนี้ ราศีไม่จับเลยสักนิดจริงๆ!
อวิ๋นอี้ทนดูไม่ไหว ชื่นชมในความกล้าหาญของนางอย่างเงียบๆ เมื่อมองดูซูเมี่ยวเออร์ที่อกผายไหล่ผึ่งสะโพกงอน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับคิดว่าตนงามมากกระมัง
เฮอะเฮอะ
องค์ไทเฮาเป็ผู้จัดแข่งม้า นางมาที่นี่ก็เพื่อเป็ผู้ชนะ ชำเลืองมองดูคนรอบข้าง จากนั้นสายตาหยุดก็อยู่ที่อวิ๋นอี้ ซึ่งไม่เป็มิตรสักเท่าไรนัก
อวิ๋นอี้เสียวสันหลัง ในใจคิดว่านางแม่มดเฒ่าผู้นี้จะวางแผนกลั่นแกล้งอันใดนางอีก?
เป็เช่นนั้น องค์ไทเฮาเอ่ยปากอย่างที่คาดไว้ กล่าวว่า “ปีนี้พระชายาเจ็ดลงแข่งด้วยหรือ? ข้าจำได้ว่า แต่ก่อนเ้าไม่เคยจะก้าวออกจากเรือน กิจกรรมเหล่านี้มิเคยจะเข้าร่วมเลยนี่นา”
อวิ๋นอี้ยิ้มอย่างเหนียมอาย "องค์ไทเฮาเพคะ หลานจำอันใดมิได้ นิสัยก็เปลี่ยนไปมากนัก อดีตเคยมิชอบ เพลานี้ชอบขึ้นมาแล้ว ไทเฮาทรงกรุณาเชื้อเชิญอวิ๋นเออร์ อวิ๋นเออร์ย่อมยินดีเข้าร่วมสิเพคะ"
"พระชายาเจ็ดขี่ม้า เราทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอเชียวล่ะ!" องค์ไทเฮากล่าว
ผู้คนรอบข้างต่างสอพลอต่างๆ นานา ครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ปรองดองขึ้น อวิ๋นอี้ี้เีเกินกว่าจะอ้าปากสอพลอ สายตากวาดมองไปรอบๆ ฝูงชน สังเกตเห็นว่าซูเมี่ยวเออร์กำลังจ้องเขม่นมาที่นาง
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่นางจะกลอกตาขาวใส่ ผยองตนอย่างหาใดเปรียบ
อวิ๋นอี้หมดคำจะพูด ไม่รู้ว่านางจะหยิ่งทะนงไปเพื่ออันใด
มองขาดเื่นับหมื่นพัน เว้นเพียงประจบสอพลอ [3] ความครื้นเครงในการประจบสอพลอดำเนินต่อไปนานกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาก็รายงานว่าการแข่งม้าสามารถเริ่มต้นได้แล้ว องค์ไทเฮาจึงหันกลับมารับสั่งอย่างจริงจัง
การแข่งม้าแบ่งออกเป็สองกลุ่ม บุรุษสตรีอย่างละกลุ่ม
การแข่งม้าสำหรับบุรุษ แข่งขันกันที่ความดุดัน ความเร็ว และความกระตือรือร้น จะถูกจัดขึ้นใน่หลัง
การแข่งม้าของบรรดาสตรี จะลดความตื่นเต้นลง แข่งเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ดังนั้นสตรีจึงแข่งก่อน
อวิ๋นอี้ฟังคำสั่ง จากนั้นจึงตามกลุ่มคนไปยังบริเวณที่ให้เตรียมตัว
เมื่อมาถึงบริเวณเตรียมตัวแล้ว นางเพิ่งจะยืนเข้าที่ ชายเสื้อก็ถูกคนดึงเอาไว้ อวิ๋นอี้หันหน้าไปอย่างสงสัย ก็เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเฉลียวฉลาดเข้า
สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีริมฝีปากแดงฟันขาว ตาสองชั้นลึกดูกลมโตและน่ารัก นางยิ้มจนั์ตาเป็เสี้ยว “พี่สะใภ้เจ็ด! ข้าคือชายาเก้า! เก้ากู่ซือฝาน! อดีตเราเคยเป็เพื่อนสนิทกันเพคะ!"
จริงหรือ?
อวิ๋นอี้ไม่ได้พูดอันใด กู่ซือฝานนิสัยร่าเริง ไม่ปล่อยให้บรรยากาศเงียบ นางกล่าวต่อ "สองวันก่อนข้าได้ยินฝ่าาบอกว่าท่านพี่กลับมาแล้ว ข้ายังคิดว่าเขาโกหกข้าอยู่เลยเพคะ วันนี้ได้พบท่าน ข้าตื้นตันจริงๆ!”
พูดอยู่ดีๆ นางก็เริ่มปาดน้ำตา
ผู้คนที่อยู่รอบด้านมากมายนัก อวิ๋นอี้ไม่อยากถูกมองอีกแล้ว จึงปลอบนางว่า “มันก็แค่อดีตน่า ที่สำคัญคือตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ หยุดพูดเื่นี้ก่อนเถิด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะให้เราขึ้นม้าแล้ว”
กู่ซือฝานเช็ดน้ำตาของนางด้วยผ้าเช็ดหน้า พูดออกมาทั้งที่อยากร้องไห้และอยากหัวเราะว่า "ใช่ๆๆๆ ยังมีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด!"
สตรีที่ลงแข่งม้ามีทั้งสิ้นสิบสองคน ทุกคนเตรียมม้ามาเองคนละหนึ่งตัว
ม้าของอวิ๋นอี้ หรงซิวเป็คนจัดเตรียมเอาไว้ให้ เป็ม้าสีแดงพุทราที่งดงามยิ่ง สีสวยชวนชม รูปลักษณ์ก็ดี ทันทีที่มันปรากฏก็ได้รับคำชมเป็เสียงเดียวกันจากคนทั้งสนาม กู่ซือฝานยิ่งชมนางไม่หยุด "พี่สะใภ้เจ็ด! พี่สะใภ้เพคะ! ม้าของท่านงามนัก! เราเปลี่ยนม้ากันได้หรือไม่เพคะ? ท่านขี่ม้าตัวของข้าได้หรือไม่เพคะ?"
นางขอร้องเสียงดังจนทุกคนในที่นั้นได้ยิน
อวิ๋นอี้ไม่ค่อยชอบใจ นางรู้สึกว่ากู่ซือฝานจงใจ แค่ม้าไม่ใช่หรือ หากนางไม่ตกลง ทุกคนจะต้องคิดว่านางตระหนี่เป็แน่ ทว่าหากนางตกลง นางก็วางใจไม่ลง!
“พี่สะใภ้เจ็ด! ได้โปรดเถิดนะเพคะ!” กู่ซือฝานพยายามเป็อย่างยิ่ง
อวิ๋นอี้มีคำว่ามาม่ายพี [4] อยู่เป็หมื่นคำในใจ แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
เชิงอรรถ
[1] ขาที่ใหญ่กว่ายาวกว่า更粗更长的大腿 หมายถึง ที่เพิ่งหรือผลประโยชน์ที่ดีกว่า การกอดขา抱大腿ใครไว้ จึงเป็การเลียแข้งเลียขาเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้จากอีกฝ่าย
[2] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ 青梅竹马คือคู่รักที่มีใจให้กันั้แ่เด็กๆ คบกันจนแก่เฒ่า
[3] มองขาดเื่นับหมื่นพัน เว้นเพียงประจบสอพลอ 千穿万穿,马屁不穿 ความหมายเดิมค่อนข้างตามตัวคือ สามารถมองขาดเื่นับหมื่นพัน ยกเว้นคำพูดประจบที่ใครๆ ก็อยากได้ยิน ปัจจุบันหมายถึงการประจบ
[4] มาม่ายพี 妈卖批 คือคำแสลงบนอินเทอร์เน็ต เป็คำด่าบุพการี หรือคำสบถที่หยาบคาย