อวิ๋นอี้มิอยากออกไป ทั้งที่รู้ว่ามาผิดห้อง
มีความงามที่หาที่เปรียบมิได้อยู่ตรงหน้า ทั้งยังเป็แบบที่นางชอบด้วยแล้ว โอกาสที่ดีเยี่ยงนี้ ถ้านางไม่สู้ก็มิใช่คนแล้ว
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับชายหนุ่มรูปงาม
สงบ สุกใส ราวกับสระน้ำ
์ทรงโปรด นางเหมือนจะถูกความรักวิ่งชนเข้าเสียแล้ว
“มีอันใดหรือ?” เมื่อเห็นว่านางเงียบ ไม่พูดอยู่นาน บุรุษผู้นั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
อวิ๋นอี้ฟื้นคืนสติทันที หลังจากปรับอารมณ์ จู่ๆ ก็มีความคิดขึ้น พูดว่า"พี่ชายท่านนี้ ข้ารู้สึกคุ้นตาท่านมาก เราเคยเจอกันที่ใดมาก่อนหรือไม่?"
นางรู้ว่าวิธีจีบเช่นนี้ช่างล้าสมัยนัก แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าบุรุษรูปงาม นางแทบจะคิดอันใดไม่ออก และนั่นก็คือสิ่งที่นางโพล่งออกมา
เขาตะลึงเล็กน้อย และมองนางเงียบๆ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของอวิ๋นอี้ ไม่นาน ก็ค่อยๆ ส่ายหัว "ข้าจำมิได้ บางทีอาจเป็ที่ใดสักแห่งกระมัง"
อา...
อวิ๋นอี้มิรู้จะพูดอันใดดี
ในโลกนี้ยังมีบุรุษรูปงามที่ใสซื่อและไม่โอ้อวดอยู่อีกหรือนี่!
การที่เขาตอบคำถามของนางอย่างจริงจัง ทำให้ใจของนางเมามัว นางอยากจะบอกความจริงแก่เขา อวิ๋นอี้เล่าเื่ที่หลงทางให้เขาฟังอย่างตั้งใจ
ชายหนุ่มตรงข้ามครุ่นคิดและพูดว่า "เหตุใดเ้าจึงไม่ลงไปถามเสี่ยวเอ้อที่ชั้นล่างเล่า?"
อวิ๋นอี้รีบกล่าวชม "เป็ความคิดที่ดี ทำไมท่านถึงเก่งกาจเยี่ยงนี้ คิดออกได้เช่นไร?"
ชายหนุ่มมิได้ถือสา ขยับริมฝีปากน้อยๆ "นี่คือสิ่งทั่วไปที่คนจะทำ"
"......"
หากอยู่ในยามปกติ หรงซิวกล้าดูิ่นางเยี่ยงนี้ นางคงจะโกรธจนหัวฟูแล้วเป็แน่
แต่ผู้ใดสั่งให้เขาดูดีเล่า!
ความหล่อเหลาคือความถูกต้อง ไม่ว่าเขาจะพูดอันใดก็ถูก อวิ๋นอี้ยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่แล้ว นี่เป็เื่ทั่วไป"
"เช่นนั้นแม่นางก็ออกไปได้แล้ว" ก่อนที่รอยยิ้มของนางจะหมดลง ชายหนุ่มรูปงามก็เริ่มไล่นาง
อวิ๋นอี้ตอบรับเบาๆ แม้ว่านางจะกระตือรือร้นเป็อย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่ควรจะหน้าหนาปฏิเสธบุรุษผู้นี้ นางจึงต้องค่อยๆ ออกไปจากห้องนั้น
นางไม่เคยเข้าหาบุรุษผู้ใดมาก่อน คำที่พูดเมื่อครู่นั้น เป็สิ่งเดียวที่นางรู้
เมื่อเห็นว่าระยะห่างจากบุรุษรูปงามยิ่งไกลออกไป บางทีการพบกันครั้งนี้อาจเป็ครั้งเดียวในชีวิตของพวกเขา
ไม่ได้!
อวิ๋นอี้ส่ายหัว มือของนางแตะประตู ในยามนั้นนางพลันกล่าวว่า "พี่ชาย ข้าขอช่องทางติดต่อได้หรือไม่?"
“คือสิ่งใด?”
"......"
อวิ๋นอี้ต้องอธิบายช้าๆ "ก็คือ ข้าจะพบกับท่านอีกได้เช่นไร?"
คิ้วบางของชายผู้นั้นขมวดเล็กน้อย "เ้าจะพบข้าอีกคราไปเพื่ออันใด?"
ดูเหมือนเขาจะถามซื่อๆ มิใช่หัวเราะเยาะ ดวงตาของเขาบริสุทธิ์ราวกับแกะตัวน้อย แต่ก็เป็เพราะการสนทนาที่ไร้ทักษะอย่างสิ้นเชิงนี้ ทำให้ม้าในใจของอวิ๋นอี้วิ่งวุ่น [1]
เขาถามขึ้น นางก็หน้าแดง ร้อนผ่าว นางจึงได้แต่กระซิบว่า “เป็เพราะว่าท่านรูปงามยิ่งนัก ข้าอยากเจอท่านทุกวัน”
แม่เ้า
นางฉีกหน้าตัวเองเสียแล้ว
อวิ๋นอี้กล่าวจนจบประโยค และรอคำตอบอย่างเงียบๆ
หัวใจเต้นแรงขึ้น เต้นแรงกว่ายามแรกเห็นเสียอีก
มือเรียวยาวของบุรุษรูปงามจับถ้วยชาเบาๆ ขนตายาวของเขาปิดบังอารมณ์ในดวงตา ทำให้ยากต่อการคาดเดา
อวิ๋นอี้กลั้นหายใจ ไม่ละสายตา ได้ยินเขาพูดว่า "หากมีชะตาต่อกัน ก็จะได้เจอกันอีก"
ไม่รู้ว่าเขาพูดออกมาตามที่คิด หรือปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่อวิ๋นอี้ไม่ได้ถามอันใดอีก
นางลงไปข้างล่างก็เจอกับเสี่ยวเอ้อ ถามว่าห้องของนางอยู่ที่ใด เสี่ยวเอ้อบอกทันทีว่าจะพานางไป
ระหว่างทาง นางถามเสี่ยวเอ้อถึงบุรุษรูปงาม แม้แต่เสี่ยวเอ้อที่รู้ข่าวซุบซิบมากที่สุดก็ยังส่ายหน้า “มิเคยเห็นมาก่อนเลยขอรับ หากว่าเป็คนในเมืองหลวง รูปลักษณ์โดดเด่นเช่นนี้ เกรงว่าจะกลายเป็ที่เล่าขานกันในทุกตรอกซอกซอยแล้วล่ะขอรับ"
"นั้นหมายความว่าเขาคือมาจากที่อื่นหรือ?" อวิ๋นอี้สงสัย
“ฟังสำเนียงดูท่าจะมาจากเจียงหนานขอรับ” เสี่ยวเอ้อยิ้มค่อยๆ “แม่นาง ท่านชอบเขาหรือขอรับ?”
“...…” การแสดงออกของนางชัดเจนเกินไปหรือ?
อวิ๋นอี้จ้องมองเขา "นำทางไปดีๆ อย่ามัวแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้า"
"ขอรับ ขอรับ!" เสี่ยวเอ้อพยักหน้า โค้งคำนับ
โชคดีที่ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็ขึ้นไปที่บนชั้นสาม ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง เขาก็บอกนาง “เชิญขอรับ ถึงห้องท่านแล้ว"
อวิ๋นอี้เดินเข้าไป ก็เห็นอวิ๋นฉีกับอวิ๋นเหยียนที่นั่งรออยู่นานแล้ว
ใบหน้าของทั้งสองนิ่งสนิท เมื่อเห็นนาง พวกเขาก็พูดด้วยความประหลาดใจทันที “อวิ๋นเออร์ เ้ากลับมาแล้วหรือ? ไปที่ใดมา พวกข้านึกว่าจะทำเ้าหายอีกแล้ว!”
“ไม่หรอกเ้าค่ะ” นางรีบโบกมือไปมา "ข้าเพียงแค่หลงทาง"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!" อวิ๋นเหยียนหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ไว้หน้า ทำให้อวิ๋นอี้หมดคำจะพูด
ทั้งสามคนไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยมนานนัก สักพักก็พากันกลับ
เมื่อกลับถึงจวนอวิ๋น ก็เห็นอวิ๋นเส่าต้าวกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับสหายร่วมงาน อวิ๋นฉีจึงพานางไปดูห้องส่วนตัวก่อน
ห้องส่วนตัวของอวิ๋นอี้นั้นใหญ่ยิ่งนัก เน้นย้ำถึงความหรูหราของตระกูลผู้ร่ำรวยอีกครั้ง การตกแต่งในห้องเป็ของมีค่าทั้งหมด ผนังถูกปกคลุมด้วยภาพวาดและการเขียนพู่กัน จัดวางอย่างมีศิลปะ
น่าเสียดายที่อวิ๋นอี้มิเข้าใจเลยสักนิด
อวิ๋นฉีสังเกตมองนางอย่างละเอียด เห็นได้จากการแสดงสีหน้าของนางว่าไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ จึงพูดขึ้นว่า "พวกนี้เป็ของที่เ้าวาดไว้ในอดีต"
นางพยักหน้ารับคำ แล้วพลิกดูไปมา แต่ก็ยังไม่เกิดความคุ้นเคยใดๆ
อวิ๋นฉีพูดคุยกับนางอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านางดูง่วงแล้วจึงให้นางพักผ่อนเสียหน่อย ค่อยรอรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวในตอนเย็น อวิ๋นอี้คิดว่าพี่ชายทั้งสองของนางช่างเป็ผู้ที่น่าสนใจจริงๆ คนหนึ่งอ่อนโยน อีกคนก็แจ่มใส บุคลิกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็คนดี
อวิ๋นอี้ลองนอนลงบนเตียงหลังใหญ่ มันนุ่มและส่งกลิ่นหอม ความง่วงทำให้นางเผลอหลับไป
ในความฝัน นางฝันถึงบุรุษรูปงามที่นางพบในวันนี้
บุรุษรูปงามผู้นั้นยังคงนั่งดื่มชา บางคราตาก็หรี่สายตาลงเล็กน้อย บ้างก็กวาดสายตาไปมา แต่ไม่ว่าเขาจะเป็เช่นไร ก็ทำให้นางว้าวุ่นในหัวใจ
นางพยายามจะเข้าใกล้ แต่เมื่อนางเดินเข้าไปถึงด้านหน้าของบุรุษผู้นั้น ก็พลันตื่นขึ้น
มีสตรีตัวเล็กๆ หน้าตาเฉลียวฉลาดยืนอยู่ข้างเตียง กำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม "พระชายา ตื่นแล้วหรือเพคะ?"
นางพยักหน้า ข้าลืมตาเช่นนี้ ดูไม่ออกหรือว่าข้าตื่นหรือยัง?
หญิงสาวตัวน้อยรีบเข้าไปช่วยพยุงให้นางลุกขึ้น พูดอธิบายว่า “ข้าคือเซียงเหอ ในอดีตข้าได้รับใช้ท่านมาตลอดเพคะ แต่ปีก่อนท่านได้ตกหน้าผาไปอย่างกะทันหัน ฝ่าาทรงทรมานยิ่งนัก พ่อบ้านในจวนเกรงว่าฝ่าาเห็นข้าแล้วจะยิ่งเ็ป จึงบอกให้ข้ากลับจวนมาก่อนเพคะ”
อวิ๋นอี้พูดอ้อเสียงยาว
เซียงเหอพูดมาถึงจุดปวดใจ น้ำตาก็ร่วงลงมา "พระชายา ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆ เพคะ! คราที่พวกนายท่านคนอื่นๆ บอกกับข้า ข้านึกว่าพวกเขาเพียงปลอบใจข้าเท่านั้น!"
อวิ๋นอี้ตบไหล่นางเบาๆ ก็ถูกนางกอดเข้าทันที ปาดน้ำมูกน้ำตาอยู่บนไหล่ของนาง
"……"
ก็ได้
หลังจากที่เซียงเหอร้องไห้เสร็จก็นึกเื่สำคัญขึ้นมาได้ บอกกับนาง “จริงด้วยเพคะพระชายา ฝ่าาก็มาที่จวนด้วยนะเพคะ บอกว่ามารับท่านกลับ”
“กระไรนะ?” อวิ๋นอี้ใ " หรงซิวมาทำการใดที่นี่! ข้าก็แค่กลับบ้าน เขาจะมารับข้าเพื่ออันใดเล่า?"
เซียงเหอจัดเสื้อผ้าให้นางเสร็จ ก็พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า "พระชายาเพคะ เป็คราแรกที่องค์ชายมารับท่านกลับบ้านด้วยพระองค์เองเลยนะเพคะ ท่านควรจะมีความสุขสิเพคะ!"
ประโยคนี้ทำให้อวิ๋นอี้สงสัยมากขึ้นไปอีก
พวกเขามิได้รักกันมากหรือ? เหตุใดครานี้ถึงเป็การมารับนางคราแรกกัน?
ระหว่างทาง อวิ๋นอี้ก็ลองถามเซียงเหอดูจึงได้รู้ว่าหรงซิวงานยุ่งนัก ดังนั้นปกติแล้วนางจึงกลับไปคนเดียว แต่องค์ชายจะเตรียมรถม้ารับส่งให้เสมอ นางถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย นับว่ารับรู้แล้ว
บุรุษจะยุ่งการใดเล่า เป็เพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ
ตอนนี้หรงซิวไม่ยุ่งหรือ?
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องโถงใหญ่ อย่างที่คาดไว้ นางได้พบกับหรงซิว เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ กำลังคุยกับอวิ๋นเส่าต้าวที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูงด้านข้าง
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว พวกเขาก็หันมามองพร้อมกัน สีหน้าของหรงซิวพลันดูอ่อนโยนขึ้นมาทันที และเรียกด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาว่า “อวิ๋นเออร์~”
อวิ๋นอี้ขนลุกไปทั้งตัว
นางแอบเบ้ปาก เมื่ออวิ๋นเส่าต้าวส่งสายตามาให้ นางจึงได้เข้าไปใกล้ๆ หรงซิว พูดอย่างออดอ้อนว่า “ฝ่าา~”
“อวิ๋นเออร์!”
“ฝ่าา!”
นางพูดเสียงแหลม ดวงตากลมโตอันงดงามของนางกะพริบไม่ได้หยุด เพียงแค่เหลือบมองก็รู้ว่านางจงใจทำให้เขารู้สึกแขยงนาง
หรงซิวยิ้มเล็กน้อยและโอบเอวนาง สตรีตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาตัวแข็งทื่อทันที
"อวิ๋นเออร์ มานั่งนี่สิ"
ก่อนที่นางจะโกรธ หรงซิวจึงยอมปล่อย
ที่นี่คนเยอะ อวิ๋นอี้จะโกรธไม่ได้ จึงทำได้เพียงทนไป
นางนั่งลง ตาดูจมูกจมูกจ้องใจ [2] ฟังการสนทนาระหว่างหรงซิวกับอวิ๋นเส่าต้าวต่อ
เนื้อหาการสนทนาระหว่างทั้งสองช่างเป็การเป็งาน เป็เหตุการณ์ลำบาก เกิดน้ำท่วมที่ใด ที่ใดอาหารไม่เพียงพอสำหรับบรรเทาทุกข์ของชาวบ้าน อวิ๋นอี้ฟังไม่เข้าใจ เพียงแค่รู้สึกง่วง
ตกเย็น อวิ๋นเส่าต้าวชวนหรงซิวมาทานอาหารเย็นด้วยกัน
อวิ๋นอี้รีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ ฝ่าาเพิ่งบอกข้าว่าเขามีงานที่จะต้องทำต่อ จึงขอกลับไปทำก่อน ข้าว่าอาหารมื้อนี้เราทานกันเองเถิด!”
หรงซิวมองนางอย่างประหลาดใจ เขาพูดเมื่อใดกัน?
อวิ๋นเส่าต้าวไม่ได้สังเกตการโต้ตอบระหว่างทั้งสองคน ฟังคำของอวิ๋นอี้ก็มองหรงซิวอย่างสงสัย "ในเมื่อฝ่าามีเื่ที่จะต้องทำ ข้าก็จะไม่รบกวน ้าให้ข้าเรียกคนไปส่งท่านหรือไม่? "
"ไม่จำเป็หรอกเ้าค่ะ" อวิ๋นอี้ขัดขึ้น "ท่านพ่อ ฝ่าากลับเองได้"
“ใช่” หรงซิวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “มิต้องรบกวนท่านพ่อตาหรอก เดิมหรงซิวมีงาน แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามิใช่เื่สำคัญเร่งด่วนอันใด ข้าตัดสินใจจะร่วมทานอาหารกับท่านก่อน เราไม่ได้ทานข้าวเป็ครอบครัวกันนานแล้ว”
ประโยคสุดท้ายทำให้อวิ๋นเส่าต้าวซาบซึ้งอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนเขาจะนึกอันใดบางอย่างได้ ไม่สนใจดวงตาที่กลมโตของอวิ๋นอี้ที่จ้องมา ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งครอบครัวนั่งลง พี่ชายสองคน น้องชายหนึ่งคน มาครบกันหมดทุกคนนั่งรอบโต๊ะ มีหรงซิวอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศช่างแตกต่างออกไป
อวิ๋นอี้เบื่อหน้าหรงซิวจะตายแล้ว
เหตุใดเขาถึงก่อกวนนางทุกวัน ไม่เห็นจริงๆ หรือว่านางรำคาญเขาจากใจจริงน่ะ?
นี่คงจะเป็อาหารค่ำที่น่าอึดอัดนัก
คงเป็เพราะอวิ๋นเส่าต้าวกับหรงซิวคุยกันมาเยอะแล้ว เมื่อถึงโต๊ะอาหาร ก็ไม่มีอันใดให้คุยแล้ว
อวิ๋นอี้ก้มหน้าทาน ทันใดนั้นก็มีตะเกียบคู่หนึ่งคีบอาหารวางลงในถ้วยของนางอย่างนุ่มนวล
เชิงอรรถ
[1] ม้าในใจวิ่งวุ่น 小鹿乱撞 หมายถึง หวั่นไหว หัวใจเต้นแรง เช่นเดียวกับอาการผีเสื้อบินในท้อง
[2] ตาดูจมูกจมูกจ้องใจ 眼观鼻鼻观心หมายถึง ก้มหน้าก้มตาเพราะความเขินอาย รวบรวมสมาธิไม่ว่อกแว่ก