หวานหว่านถูกอวิ๋นซีกอดแน่นไปหน่อยเสียจนอดไม่ได้ให้ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ท่านแม่ เจ็บ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็รีบปล่อยเด็กน้อยทันที นางมองอีกฝ่ายที่ยามนี้มีั์ตาฉ่ำน้ำ ชั่วขณะนั้นรู้สึกราวกับทำอะไรไม่ถูก “หวานหว่าน ข้าทำเ้าเจ็บหรือ? ขอโทษนะ ขอโทษ” นางถูกคำว่า ‘ท่านแม่’ ของเด็กคนนี้ทำให้ตกอกใเข้าให้แล้ว เนื่องจากนับแต่ที่คลอดลูก นางเองก็รู้ตัวแล้วว่า โอวหยางเทียนหัวย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงคิดว่าตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง และยิ่งไม่มีวันจะได้ยินเสียงเด็กน้อยเรียกตนว่าท่านแม่ดังเช่นในยามนี้อย่างแน่นอน
มิคาดในจวนหานอ๋องแห่งนี้จะทำให้นางได้ยินคำคำนี้ออกจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ทางสายเืกับตน หัวใจนางพลันอ่อนยวบลงในทันทีถึงขนาดที่อดไม่ได้ให้รู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ลึกๆ
“ในเมื่อท่านแม่สำนึกผิดแล้ว เช่นนั้นหวานหว่านก็จะยกโทษให้ท่านแม่แล้วกัน” นางกระพริบตาปริบๆ ทั้งยังรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่แท้จริงจากผู้เป็มารดา นางรู้สึกสบายใจ อบอุ่นใจเป็อย่างยิ่ง และชื่นชอบท่านแม่ผู้นี้มากจริงๆ ชอบที่อีกฝ่ายจะได้มาอยู่เป็เพื่อนตนไปตลอด
สาวใช้และผอจื่อข้างกายหวานหว่านรีบรุดมาด้านหน้าเพื่อน้อมคำนับอวิ๋นซี อวิ๋นซีทำเพียงรับความนอบน้อมนั้นไปเรียบๆ คำหนึ่ง จากนั้นก็อุ้มหวานหว่านเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนชั้นสี่นี้เต็มไปด้วยศาลา หอสูง และศาลาริมน้ำ อวิ๋นซีอุ้มเด็กน้อยไปยังหอสูงหลังหนึ่ง จากนั้นจึงวางอีกฝ่ายลง แล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เหตุใดจู่ๆ หวานหว่านถึงได้เรียกข้าว่าท่านแม่หรือ? ”
ไม่มีใครทราบได้หรอกว่า คำว่าท่านแม่ คำนี้มีความหมายต่อนางมากเพียงใด ในชั่วขณะหนึ่งที่ได้ยิน นางเผลอคิดไปแล้วว่า ต่อให้ตนจะต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้เด็กคนนี้ นางก็ยินดี
หวานหว่านมองไปยังนาง ยิ้มแล้วพูด “เสด็จพ่อบอกข้าว่า ท่านเป็คนดี และจะต้องเป็มารดาที่ดีแน่ แล้วก็ยังบอกอีกว่า เพื่อจะหายามารักษาข้า ท่านเกือบจะถูกงูหลามเขมือบเข้าไปด้วย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ หวานหว่านก็ปีนขึ้นมาบนตักของอวิ๋นซีแล้วกอดคอนางไว้ “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ข้าไม่้าให้ท่านแม่ถูกงูหลามเขมือบเข้าไป ดังนั้น หวานหว่านไม่รักษาแล้ว ท่านแม่อย่าตาย”
หลังจากทราบความจากบิดา หวานหว่านน้อยก็ได้ไปถามต่อแม่นมจนได้รู้ว่างูหลามนั้นน่ากลัวมาก หากคนผู้หนึ่งเจอเข้าก็มีความเป็ไปได้แปดเก้าส่วนว่าต้องตาย เด็กน้อยที่มีประสบการณ์ต้องพิษดังเช่นหวานหว่านย่อมต้องรู้ดีว่า ความตายหมายถึงอะไร ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อยากให้เื่นี้เกิดขึ้นกับมารดา ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายต้องตาย
อวิ๋นซีฟังเด็กน้อยที่ยามนี้พูดไปพลางสะอื้นไห้ไปพลาง นางััได้ถึงห้วงอารมณ์ที่ลึกล้ำและรุนแรงยิ่งภายในจิตใจ สำหรับจวินเหยียนหาใช่เื่ยากที่นางจะปฏิเสธ แต่สำหรับหวานหว่านผู้นี้ นางกลับมีความรู้สึกใกล้ชิดกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้น อวิ๋นซีก็รู้สึกว่าใจนางได้แหลกสลายไปหมดแล้ว “หวานหว่าน ข้าไม่เป็ไร ข้ายังอยู่ดีอยู่นี่ไง เห็นไหม”
แม่นมที่อยู่อีกด้านเห็นการกระทำของคนทั้งสอง นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกล่าวเสริม “พระชายาและจวิ้นจู่น้อยมองดูไปแล้ว ก็ราวกับเป็แม่ลูกกันแท้ๆ เลยนะเพคะ” ตอนที่จวิ้นจู่น้อยหวานหว่านอายุได้ไม่กี่เดือนก็เป็นางที่เริ่มเข้ามาดูแล ดังนั้น ในใจของแม่นมที่มีต่อจวิ้นจู่น้อยก็มองเห็นอีกฝ่ายเป็ดั่งลูกแท้ๆ ของตน ทว่า วันนี้ได้เห็นเด็กตัวน้อยมีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับพระชายาถึงเพียงนี้ นางเองก็รู้สึกดีใจ
ฐานะมารดาแท้ๆ ของจวิ้นจู่น้อยยังคงเป็ปริศนามาโดยตลอด ไม่ว่าใครก็ทราบเพียงว่าสตรีนางนั้นได้ตายไปแล้วตามคำบอกกล่าวของท่านอ๋อง ทว่า ตอนนี้ที่พระชายาเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว ใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของแม่นมก็คล้ายจะวางลงได้แล้ว เพราะพระชายาดูแล้วน่าจะเป็คนที่เข้าหาได้ง่าย อีกทั้งเมื่อคืนตอนที่ท่านอ๋องกับจวิ้นจู่น้อยสนทนากัน นางก็ล้วนได้ยินทั้งหมด
สตรีนางหนึ่งยอมใช้ชีวิตตนเป็เดิมพันเพื่อเก็บสมุนไพรหายากมารักษาให้จวิ้นจู่น้อย แสดงว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็คนที่มีจิตใจดีงามมากๆ เป็แน่ ดังนั้น นางจึงเชื่อมั่นว่า พระชายาผู้นี้จะต้องดีต่อจวิ้นจู่น้อยอย่างแน่นอน
อวิ๋นซีมองหวานหว่าน ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวต่อ “นางก็แค่เรียกข้าว่าท่านแม่” สำหรับเด็กน้อยคนนี้ นางคงไม่มีวันพูดคำว่าไม่ออกมาได้ สายตารักใคร่เมตตาของนางยังคงทอดมองดวงหน้าของหวานหว่าน ยิ่งมอง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดูคุ้นตา
จวินเหยียนบอกว่าหวานหว่านไม่ใช่บุตรสาวของเขา แต่เป็หลานสาวของสหายรัก ทว่า ทุกสิ่งจะเป็เช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ? นางได้แต่หัวเราะหึหึในใจ แน่นอนไม่ว่าผลสรุปจะเป็เช่นไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความชอบของนางที่มีต่อเด็กคนนี้
หวานหว่านกอดคออวิ๋นซีไว้อย่างไม่ยอมปล่อยแม้เพียงจิบชา “ท่านแม่ ท่านแม่”
ก่อนหน้านี้คำสองคำนี้ สำหรับนางแล้วเป็เพียงคำที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่านับแต่นี้ต่อไป นางจะมีท่านแม่เป็ของตัวเองแล้ว ยิ่งกว่านั้น ตามที่บิดาได้กล่าวไว้ก็หาได้ผิดเพี้ยนเลยสักนิด ความรู้สึกของการมีท่านแม่นี้ ช่างดีจริงๆ
อวิ๋นซีตบหลังหวานหว่านเบาๆ จากนั้นก็พูดกับแม่นม “เช้าวันนี้จวิ้นจู่น้อยกินอะไรไปบ้าง? ”
“ทูลพระชายา ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้ให้คนไปซื้อมันเทศมาจากแดนใต้จำนวนไม่น้อย มื้อเช้าของวันนี้ จวิ้นจู่น้อยจึงเสวยเพียงขนมเปี๊ยะมันเทศเพคะ” แม่นมรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อยถึงเหตุผลที่ท่านอ๋องให้จวิ้นจู่น้อยกินของจำพวกมันเทศเช่นนี้
อวิ๋นซีนึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะจดจำคำของตนได้ นางยิ้มพลางลูบศีรษะของหวานหว่านเบาๆ แล้วจึงถามต่อ “หวานหว่าน ขนมเปี๊ยะมันเทศอร่อยหรือไม่? ”
หวานหว่านพยักหน้า “อร่อย อร่อย นิ่มๆ หวานๆ แต่ว่าแม่นมให้ข้ากินแค่สองชิ้นเท่านั้น นางบอกว่า ของเ่าั้หวานเกินไป กินมากไม่ได้” เมื่อพูดถึงตอนสุดท้าย หวานหว่านก็มองอวิ๋นซีด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ ก่อนจะฟ้องในสิ่งที่แม่นมทำ
ทันทีที่แม่นมได้ยินก็ใจนหน้าเปลี่ยนสี แต่เมื่อคิดจะอธิบาย กลับเป็อวิ๋นซีที่เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “แม่นม หากวันหน้ามื้อเช้าจวิ้นจู่น้อยอยากกินมันเทศ เ้าก็ปล่อยให้นางกินเถิด เพียงแต่หากมื้อเช้ากินไปแล้ว มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นในวันนั้นก็ไม่ต้องให้นางกินมันเทศอีก”
มันเทศมีคุณประโยชน์อยู่มากมาย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ล้วนดีต่อร่างกายทั้งสิ้น แล้วทำไมจะต้องห้ามไม่ให้เด็กกินด้วยเล่า
“เพคะ” แม่นมถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่พระชายามิได้ดุด่าว่าตน
อวิ๋นซีเห็นท่าทางที่ดูราวกับได้ยกูเาออกจากอกของแม่นมก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “แม่นมรู้สึกว่ามันเทศเป็เพียงวัตถุดิบพื้นๆ ที่จวิ้นจู่น้อยไม่สมควรกินใช่หรือไม่? ”
ด้วยคำถามนี้ชั่วขณะนั้นแม่นมก็ไม่รู้ว่าตนควรตอบอย่างไรดี เพราะตัวนางเองก็คงไม่อาจตอบพระชายาได้ว่า ตนมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ
อวิ๋นซีเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่า ในใจย่อมต้องคิดอะไรอยู่ นางจึงไม่คิดรอฟังคำตอบนั้นแล้วกล่าวเสริม “มันเทศดูเหมือนเป็เพียงอาหารหยาบๆ ทว่ามันกลับแฝงไว้ด้วยคุณประโยชน์มหาศาลที่ร่างกายเรา้า นับว่าเป็ของดีที่ดีเสียยิ่งกว่าข้าว”
เมื่อแม่นมได้ยินคำอธิบายนั้นก็อดเบิกตากลมโตไม่ได้ มันเทศน่ะหรือที่ว่าดีกว่าข้าว? นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่นางได้ยินคนกล่าวเช่นนี้ ความคิดของพระชายาช่างแปลกเกินไปแล้ว
เมื่อหวานหว่านได้ยินว่าวันหน้าสามารถกินมันเทศให้มากขึ้นได้อีกหน่อย นางก็ยิ้มดีใจ “ท่านแม่ดีที่สุดเลย”
ในเวลานั้นเอง เดิมทีจวินเหยียนที่คิดจะกลับไปหาอวิ๋นซี มิคาดจะได้มาเห็นฉากรักที่ทั้งงดงามและปรองดองถึงเพียงนี้ ถึงแม้หวานหว่านจะไม่ใช่ลูกของตน ทว่านางเองก็ถือเป็คนหนึ่งที่สำคัญกับตนมาก ยิ่งกว่านั้น วันนี้ได้มาเห็นนางยอมรับในตัวอวิ๋นซี ทั้งยังเรียกอีกฝ่ายว่าท่านแม่ด้วยท่าทีออดอ้อน มิหนำซ้ำคนทั้งสองยังเข้ากันได้เป็อย่างดี ทำให้ตัวเขารู้สึกดีใจมากจริงๆ
เหล่าสาวใช้และผอจื่อเมื่อสังเกตเห็นการมาถึงของเขาต่างก็พากันเดินขึ้นหน้าแล้วยอบกายคารวะ ชายหนุ่มทำเพียงโบกมือให้ เหล่าสาวใช้แต่ละนางก็พากันออกไปอย่างพร้อมเพรียง ไม่นานสถานที่นี้ก็เหลือเพียงพวกเขาสามคน ขณะนั้นเมื่อหวานหว่านเห็นว่าผู้เป็บิดามาถึงแล้วก็ยิ้มดีใจ ก่อนจะโถมกายเข้าไปในอ้อมกอดเขา “เสด็จพ่อ ข้าชอบท่านแม่มากเลย”
“พ่อเองก็ชอบมารดาเ้ามาก” เขาอุ้มหวานหว่านแล้วจึงหันมองไปทางอวิ๋นซี ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เมื่อหวานหว่านได้ยินแล้วก็หันมองอวิ๋นซีตาละห้อย “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูสิ ข้าและเสด็จพ่อล้วนชอบพอในตัวท่านมาก แล้วท่านเล่าชอบพวกเราหรือไม่เ้าคะ? ”