เมื่อได้เห็นสายตาของสองพ่อลูก ชั่วขณะหนึ่งอวิ๋นซีเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร หากนางตอบว่าชอบหวานหว่าน แต่กลับละเลยบิดาของอีกฝ่ายไป หวานหว่านจะต้องไม่พอใจมากเป็แน่ แต่หากตอบไปว่าชอบพวกเขาทั้งคู่ เช่นนี้จะมิใช่การขุดหลุมให้ตัวเองตกลงไปหรือ?
แน่นอนว่า หากนางพูดออกไปเช่นนั้น บุรุษผู้นี้จักต้องได้คืบจะเอาศอกเป็แน่
ถึงกระนั้นหากนางนิ่งเฉย โดยไม่พูดอะไรออกไป บุรุษผู้นี้ก็ย่อมมีวิธีที่จะทำให้นางปริปากพูดจนได้
“หวานหว่าน แม่ชอบเ้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ส่วนเสด็จพ่อของเ้าทำผิด แม่จึงยังโกรธเขาอยู่” ชายหนุ่มอุ้มบุตรสาวให้นั่งลงข้างกายนาง ก่อนจะจ้องมองนางด้วยดวงตาอันร้อนแรง ร้อนแรงราวกับจะให้ร่างนางกลายเป็รูพรุนอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อหวานหว่านได้ยินคำตอบนั้นก็รีบถามอวิ๋นซีกลับด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านแม่ เสด็จพ่อทำอันใดผิดไปหรือเ้าคะ? ท่านอย่าได้โกรธเคืองเสด็จพ่อจะได้ไหมเ้าคะ”
จวินเหยียนมองนาง ทั้งคิ้วและแววตาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า การที่อวิ๋นซีชอบหวานหว่านนั้นก็ถือเป็เื่ดีเื่หนึ่ง หรืออย่างน้อยๆ หวานหว่านก็นับเป็สุดยอดตัวช่วยในการเกี้ยวพาภรรยาตน ดังนั้น ขอแค่มีเ้าตัวน้อยคนนี้ หากคิดอยากจะแทรกเข้าไปในใจของอวิ๋นซีละก็ ยามนี้เขาคงเหลือเพียงนับวันรอแล้วกระมัง
อวิ๋นซีมองเด็กน้อยตรงหน้าที่ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยพูดกับตน ก่อนที่ใจจะคิดอยากพูดอะไรบางอย่างออกไปที่สามารถทำให้คนใจเจ็บได้ ทว่า สุดท้ายนางกลับพบว่าตนไม่อาจทำเช่นนั้น และทำได้แค่ถลึงตาใส่จวินเหยียนด้วยความดุร้าย ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะหวานหว่านเบาๆ “หวานหว่านเด็กดี แม่ไม่โกรธเคืองเสด็จพ่อของเ้าแล้ว”
หากไม่โกรธสิแปลก โอวหยางจวินเหยียน ท่านรอก่อนเถอะ ข้าจะจัดการท่านให้ตาย ถึงขนาดกล้าหลอกใช้หวานหว่านเพื่อขุดหลุมให้ข้าะโลงไป เ้าคนสารเลวน่ารังเกียจ ถึงกระนั้นต่อให้จะโกรธมากเพียงใด แต่นางก็ไม่อาจแสดงสีหน้าท่าทางเ่าั้ออกมาต่อหน้าหวานหว่านได้
เมื่อหวานหว่านได้ยินคำตอบของอวิ๋นซีก็ฉีกยิ้มแล้วจุมพิตที่ข้างแก้มจวินเหยียน “เสด็จพ่อ ทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่เพคะ? ท่านแม่ไม่โกรธแล้ว”
จวินเหยียนพยักหน้า เขาคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่า หากมีบุตรสาวอยู่ด้วยก็เสมือนตนมีอาวุธชั้นเลิศอยู่ในมือ ชายหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้อวิ๋นซี ทำเอาอวิ๋นซีโกรธจนแทบอยากตีบุรุษผู้นี้ให้หมอบเสียเดี๋ยวนี้ ทั้งยังเข้าใจแล้วว่า นี่ต่างหากที่เป็นิสัยที่แท้จริงของบุรุษตรงหน้า ส่วนภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งเ็าอะไรเ่าั้นับว่าเป็การหลอกลวงทั้งเพ
“ท่านแม่ ในเมื่อท่านไม่โกรธเสด็จพ่อแล้ว เช่นนั้นท่านชอบเสด็จพ่อหรือไม่เ้าคะ? ” หวานหว่านซักถามไม่หยุดราวกับเป็เด็กน้อยขี้สงสัย ทั้งยังคงไม่หยุดถามคำถามก่อนหน้านี้
อวิ๋นซีสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ยิ้มพยักหน้า “ชอบ ชอบมาก” ข้าชอบบุรุษผู้นี้มากจนแทบทนรอไม่ไหว อยากให้เขาไปตายเสียเดี๋ยวนี้
เมื่อจวินเหยียนได้ยินถ้อยคำนั้นที่มาพร้อมการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของนางก็อดหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาไม่ได้ “เด็กดี เปิ่นหวางเองก็ชอบพวกเ้าสองแม่ลูกมาก” ไม่รู้เพราะเหตุใด ยิ่งทุกอย่างเป็เช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าตนกับนาง รวมถึงหวานหว่านยิ่งเหมือนครอบครัวเดียวกันมากขึ้นไปอีกคลับคล้ายว่าเป็ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมลำบากมาด้วยกันไม่น้อย
ความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ เขาที่มีอายุยี่สิบกว่าแล้ว นี่นับเป็ครั้งแรกที่ได้รู้สึกเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้น บนร่างของอวิ๋นซีก็มักมีแรงดึงดูดอันแปลกประหลาดที่ทำให้คนยิ่งอยากเข้าใกล้
นางเห็นเขาหัวเราะก็ยิ่งโกรธจัดเสียจนต้องกัดฟัน จากนั้นจึงตัดสินใจเหยียบเท้าเขาโดยแรงไปทีหนึ่ง และแม้จวินเหยียนจะรู้สึกเจ็บ แต่เขากลับไม่แสดงออกแม้เพียงนิด ซ้ำร้ายยังยิ้มหวานส่งกลับมาให้นางได้อีก เมื่ออวิ๋นซีเจอรอยยิ้มของเขาเข้าก็เกิดตาลายไปชั่วขณะ ทั้งยังคิดในใจว่า ที่ตนเคยบอกไว้ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบเป็ดั่งปีศาจร้ายก็ถือว่าไม่ผิดสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าตนมีรูปลักษณ์งดงามจนทำให้ทั้งทวยเทพและคนเป็ต้องริษยาเคียดแค้น แล้วยังจะมีหน้ามายิ้มเช่นนี้อีก ตั้งใจยิ้มให้งดงามเพียงนี้เพื่อจะมาดึงดูดคนหรืออย่างไร?
“ท่านแม่ เที่ยงนี้พวกท่านมากินข้าวกับข้าได้หรือไม่เ้าคะ? ” เมื่อหวานหว่านนึกถึงว่าตอนเที่ยงตนจะต้องกินข้าวคนเดียวอีกแล้วก็ให้รู้สึกหดหู่ขึ้นมา ท่าทางไม่มีความสุข
การที่ได้อยู่กับเสด็จพ่อและท่านแม่เช่นนี้ ทำให้นางมีความสุขเหลือเกิน ทว่าในยามปกติเสด็จพ่อมักทรงงานหนักจนแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่เป็เพื่อนนาง และโอกาสดังเช่นวันนี้ก็ยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
อวิ๋นซียังไม่ทันได้ตอบตกลง แต่เป็จวินเหยียนที่มองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็บีบจมูกของหวานหว่าน แล้วพยักหน้ารับ “ได้ ตอนเที่ยงพ่อและมารดาเ้าจักกินข้าวเป็เพื่อนเ้า”
อวิ๋นซีได้ยินเขาเรียกแทนนางว่า มารดา ก็ให้เหงื่อตก บุรุษผู้นี้สามารถสวมบทบาทพ่อแม่ลูกได้เร็วเสียเหลือเกิน แม้นางจะรับได้กับที่หวานหว่านเรียกตนว่า ท่านแม่ ทว่าเมื่อคำคำนี้ออกมาจากปากจวินเหยียน นางกลับรู้สึกแปลกๆ
เมื่อหวานหว่านได้ยินคำตอบของบิดาก็ดีใจยิ่งนัก จากนั้นจวินเหยียนก็ส่งตัวนางให้แม่นม แล้วหันไปพูดกับอวิ๋นซี “ข้ามีเื่จะต้องพูดกับเ้า”
อวิ๋นซีเห็นสีหน้าหนักใจของเขาก็คิดได้ว่า บางทีเื่นี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการที่ลู่เหวินเจิ้นมาที่จวนในวันนี้ นางจึงทำเพียงตอบอืมไปเบาๆ แล้วเดินออกไปยังสวนดอกไม้พร้อมเขา
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กัน ก่อนที่นางจะเป็ฝ่ายเริ่มถาม “ท่านมีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือ? ”
จวินเหยียนขบคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวตอบ “เมื่อครู่ลู่เหวินเจิ้นมาแจ้งข่าวด่วนจากเมืองหลวง ฮ่องเต้ส่งอวี่เสี้ยนจู่ ธิดาของหยวนจวิ้นอ๋องมาที่หานโจว ซ้ำยังระบุชัดว่าให้นางพำนักอยู่ที่จวนอ๋องในระหว่างที่มาพักผ่อน”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็หันมองเขาด้วยความแปลกใจ อวี่เสี้ยนจู่แห่งจวนหยวนจวิ้นอ๋องผู้เป็สตรีที่มีกิริยาหวานหยดผู้นั้น ตัวนางเองก็รู้จัก ยามนี้คนคงมีอายุได้สิบเจ็ดแล้ว แต่กลับไม่ยอมแต่งงานเสียที ทว่า วันนี้คนกลับคิดจะจากเมืองหลวงมายังหานโจวแห่งนี้ นางยิ้มเ็า “คิดว่าผู้อื่นคงพุ่งเป้ามาที่ตัวท่าน หานอ๋องกระมัง”
พักผ่อน?
ช่างเป็ข้ออ้างที่ดีจริงๆ หากไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็คงจะคิดไปว่านี่เป็เื่จริง แต่ที่น่าเสียดายก็คือ อวิ๋นซีเคยเติบโตมาในเมืองหลวงย่อมคุ้นเคยกับเหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงเป็อย่างดี ส่วนอวี่เสี้ยนจู่ท่านนี้ นางเองก็รู้จักมักคุ้นอยู่พอตัว คนเป็สตรีที่อ่อนโยนงดงาม ไหนจะชาติกำเนิดสูงศักดิ์ รูปลักษณ์งดงาม และยังถนัดการเล่นกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน วาดภาพ ไม่ว่าจะด้านใดก็ล้วนชำนาญยิ่ง ดังนั้น คุณชายสูงศักดิ์แห่งเมืองหลวงไม่น้อยจึงอยากได้สตรีเช่นนี้ตบแต่งเข้าตระกูล
ทว่าบุคคลเช่นนี้กลับยินดีที่จะมาหานโจวเพื่อจวินเหยียน ถึงแม้จะมาตามความ้าของฮ่องเต้ แต่ที่มากกว่านั้นคงจะเป็ความยินยอมของตัวนางเองกระมัง
จวินเหยียนไม่อยากเห็นอวิ๋นซียิ้มเ็าที่แฝงแววเยาะหยันใส่เขาจริงๆ จึงได้ยื่นมืออกไปจับไหล่ทั้งสองข้างของนางไว้ แล้วพูดเสียงขรึม “อวิ๋นซี ฟังข้านะ ไม่ว่าหยวนอวี่จะมาที่นี่ด้วยเื่ใดก็ไม่มีทางที่นางจะมาเปลี่ยนแปลงเื่ราวระหว่างเรา เ้าเป็ชายาของข้า ชายาเพียงคนเดียวของข้า ส่วนหยวนอวี่นั้น หากว่านางจะมา จวนอ๋องแห่งนี้ก็เพียงต้องเพิ่มถ้วยเพิ่มตะเกียบมาอีกชุดหนึ่งก็เท่านั้น แต่หากเ้ารู้สึกไม่ชอบใจนาง เช่นนั้นเราก็พาหวานหว่านไปอยู่ที่อื่นด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเ้าเองก็อยากจะพัฒนาการเกษตรหรอกหรือ เช่นนั้นเปิ่นหวางจะพาลูกและเ้าไปทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จด้วยกัน”
อวิ๋นซีััได้ถึงความซื่อสัตย์อันหนักแน่นในดวงตาเขา ทว่าเมื่อคิดถึงหยวนอวี่ สตรีผู้มากฝีมือคนนั้นแล้ว นางก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ไม่มีประโยชน์หรอก ในเมื่อฝ่าาจงใจส่งหยวนอวี่มา นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าพระองค์มีพระทัยแน่วแน่ที่จะให้นางมาเป็ชายาท่าน และหากนางมาแล้ว ไม่ว่าข้าจะไปยังที่แห่งใดก็ล้วนเป็หนามยอกอกของนางทั้งสิ้น”
อวิ๋นซีสลัดมือของจวินเหยียนออก พูดด้วยน้ำเสียงเ็า “อีกทั้ง พวกเราสามารถไปจากจวนอ๋องได้อย่างมากก็แค่เดือนหรือสองเดือน แต่มีหรือที่จะจากไปได้เป็ปี? อีกประการ ท่านปล่อยให้สตรีแปลกหน้านางหนึ่งเข้ามาพำนักอยู่ในจวนอ๋อง ท่านไม่กลัวหรือไรว่านางอาจจะเล่นไม่ซื่ออะไรขึ้นมา? ”
การทำตามคำแนะนำของจวินเหยียนเรียกได้ว่า หนีพระได้หนีวัดไม่พ้น [1] อีกทั้งบิดาของนางเองก็ยังอยู่ที่นี่ หากตนเป็เหตุที่ทำให้สตรีนางนั้นโกรธเข้าก็ไม่แน่ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวพันไปถึงบิดาอวิ๋นด้วย หากเป็เช่นนั้นก็คงไม่ดีแน่
“เช่นนั้นเ้าว่า พวกเราควรทำเช่นไรดี? ” เขามิได้กังวลเื่หยวนอวี่แต่อย่างใด เพียงแต่กังวลว่าอวิ๋นซีจะคิดมาก ยิ่งกว่านั้น กว่าเขาจะคิดแผนตบแต่งนางเข้ามาในจวนได้ก็นับว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้น หากพวกเขาทั้งสองจะต้องมาผิดใจกันเพราะใครที่ไหนไม่รู้อีก เขาก็เกรงว่าตนจะบังคับใจไม่ให้สังหารหยวนอวี่ทิ้งเสียมิได้
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หนีพระได้หนีวัดไม่พ้น(跑得了和尚跑不了庙)หมายถึง หลบซ่อนได้ชั่วขณะ แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น