อวิ๋นซีขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบ “ไม่เป็ไร เอาตามท่านว่า ไม่ว่าเื่ราวจะดำเนินไปอย่างไรก็ให้มันเป็ไปเช่นนั้น และแน่นอน หากท่านพึงใจในตัวหยวนอวี่ ข้าก็ยินยอมที่จะถอยให้ผู้ที่เพียบพร้อมกว่า อย่างไรเสีย ตัวข้านี้ก็เป็เพียงหมอหญิงต่ำศักดิ์ ส่วนสตรีผู้นั้นเป็ถึงไข่มุกงามบนฝ่ามือ [1] ของหยวนจวิ้นอ๋องผู้มีกำลังทหารมหาศาลอยู่ในมือ เพราะหากท่านแต่งหยวนอวี่เข้ามาจริงๆ ไม่แน่ฮ่องเต้อาจจะมีรับสั่งให้ท่านกลับเมืองหลวงเลยก็เป็ได้”
นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในพระทัยของฮ่องเต้ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่ ทว่าการส่งหยวนอวี่มาเช่นนี้ย่อมหมายความว่า้าให้คนทั่วหล้ารู้ว่าในพระทัยของพระองค์หมายหมั้นให้หยวนอวี่เป็ชายาหานอ๋อง ยิ่งกว่านั้น หากหยวนอวี่ผู้นี้เป็เพียงบุตรสาวของขุนนางใหญ่ทั่วไปก็ช่างเถอะ แต่นางกลับเป็ถึงเสี้ยนจู่แห่งจวนหยวนจวิ้นอ๋อง และเพราะชายาหยวนจวิ้นอ๋องสิ้นไปเร็ว จึงมีบุตรสาวสายตรงผู้นี้เพียงคนเดียว ซึ่งอาจพูดได้ว่า หยวนอวี่นั้นถูกเลี้ยงดูมาเป็อย่างดีราวกับคนเป็สมบัติล้ำค่า ดังนั้น หากหยวนอวี่ได้กลายมาเป็ชายาหานอ๋องจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรหยวนจวิ้นอ๋องก็จะต้องยืนอยู่ข้างจวินเหยียนแน่
สิ่งหนึ่งที่ควรต้องรู้ การสนับสนุนของจวิ้นอ๋องผู้หนึ่งที่มีไพร่พลจำนวนมากอยู่ในถือเป็สิ่งสำคัญมากสำหรับองค์ชายองค์หนึ่ง ในกาลก่อนนั้นที่โอวหยางเทียนหัวคิดอยากจะแต่งลู่หลิงฉิงเข้ามา ก็มิใช่เพราะพี่ชายนางคุมกำลังทหารอยู่ในมือหรอกหรือ ส่วนจวนกั๋วกงนั้นั้แ่ที่ช่วยผลักดันเขาให้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งรัชทายาทได้แล้ว ก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กระทำการใดให้โดดเด่นเสมอมา ดังนั้น เทียนหัวจึงเป็กังวลว่าอาจจะมีสักวันที่แม้แต่อำนาจคุมกำลังทหารของจวนกั๋วกงก็จะรักษาไว้ต่อไปไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจละทิ้งตระกูลเฉียว และเลือกตระกูลลู่ที่มีใจทะเยอทะยานยิ่งมาแทนนั่นเอง
“เปิ่นหวางคิดว่า การได้มีชายารักเพียงคนเดียวก็เทียบได้กับมีทหารนับพันม้านับหมื่น ดังนั้น ข้าจึงไม่้าหยวนอวี่ และไม่้ากระทั่งหยวนจวิ้นอ๋องผู้นั้น” เขายิ้มบางๆ บางทีหากเป็คนส่วนใหญ่ก็อาจจะเลือกหยวนจวิ้นอ๋องและหยวนอวี่ ทว่าผู้อื่นคือผู้อื่น เขาคือโอวหยางจวินเหยียน ย่อมรู้ดีว่าตน้าสิ่งใด
บัลลังก์ เขา้า สตรีนางนี้ เขาก็้าเช่นกัน
อวิ๋นซีกลอกตาอย่างปลงๆ “ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้นหรอก” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจนี้มาจากที่ใด คิดว่านางจะต้องช่วยเขาได้แน่ มิหนำซ้ำยังประเมินเอาไว้สูงเพียงนั้นอีกด้วย
เขาขบคิดอย่างมีนัยยะ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยความมั่นใจอันเปี่ยมล้น “ข้าเชื่อมั่นในตัวเ้า”
“หากว่าข้าพ่ายแพ้เล่า? ” นางเงยหน้ามองเขา ถามด้วยความสงสัย เนื่องจากบนโลกใบนี้มีเื่ราวมากมายที่คนเราไม่อาจควบคุมได้เสมอไป ทุกสิ่งอย่างล้วนแปรเปลี่ยนไปมา ทำให้ยากต่อการคาดเดาเป็ที่สุด หรือต่อให้นางจะรู้เื่ราวบนโลกมากกว่าคนโบราณเหล่านี้อยู่สักหน่อย แต่ตัวนางก็เป็เพียงมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้มีความสามารถในการเบิกฟ้าเปิดปฐี [2]
จวินเหยียนไม่แม้แต่จะคิดก็รีบตอบกลับไป “หากว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหานโจวได้ ไม่สามารถกลับไปยังเมืองหลวงได้ ก็ช่างเถิด” ั้แ่ที่ได้เห็นท่าทางสนิทชิดเชื้อของนางและหวานหว่าน ฉับพลันนั้นในใจเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงน้อยๆ หากตนไม่สามารถกลับไปยังเมืองหลวงได้จริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นตัวเขาก็ขอแค่ยังมีนางอยู่ข้างกาย แม้ว่าจะต้องอยู่หานโจวก็หาได้เป็อะไร
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นนางก็ถึงกับอึ้งค้างไปเล็กน้อย เพียงระยะเวลาไม่นานที่ได้รู้จักกัน นางย่อมแน่ใจว่าการได้กลับไปยังเมืองหลวงนี้มิใช่เพียงการยึดติดของตัวนางฝ่ายเดียว แต่ยังเป็ของบุรุษผู้นี้ด้วย หากว่าไม่สามารถกลับไปได้จริงๆ นี่ก็เท่ากับให้เขาต้องละทิ้งสิ่งที่ควรเป็ของเขา ดังเช่นบัลลังก์นั่น
ปฐมกษัตริย์แห่งแผ่นดินนี้ หรือก็คือเสด็จปู่ขององค์ฮ่องเต้เคยตรัสไว้ว่า ตำแหน่งฉู่จวินจะต้องพิจารณาจากองค์ชายสายตรงก่อน แต่หากโอรสสายตรงไร้ความสามารถจริงๆ ก็ให้คัดเลือกจากองค์ชายองค์อื่นๆ ที่ดีพร้อม ด้วยเหตุนี้ จวินเหยียนที่เป็คนมีความสามารถอย่างประจักษ์ชัด จึงได้คิดร่วมมือกับนางในการหาวิธีเปลี่ยนแปลงหานโจว เพื่อจะได้กลับไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง
ทว่า ตอนนี้บุรุษผู้นี้กลับพูดออกมาว่า หากกลับเมืองหลวงไม่ได้ก็ช่างเถอะ... “จวินเหยียน ท่านรู้หรือไม่ว่าตนกำลังพูดอันใดอยู่” คนเยี่ยงนางจะยินยอมให้โอวหยางเทียนหัวนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นได้อย่างมั่นคง และรอกระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตแล้วให้อีกฝ่ายขึ้นครองราชย์ต่อได้อย่างไร?
ไม่ โอวหยางเทียนหัวจะกลายเป็ฮ่องเต้ไม่ได้ นางไม่มีทางยอมให้เขาเหยียบย่ำเืเนื้อของคนตระกูลเฉียวเพื่อขึ้นไปยังตำแหน่งเก้าห้าอันสูงส่ง [3] เช่นนั้นแน่
จวินเหยียนมองสตรีที่มีสีหน้าหม่นลง จากนั้นจึงเกาะกุมใบหน้านางไว้แล้วก้มลงประทับจูบโดยไม่แม้แต่จะคิด แท้จริงแล้วเขายังไม่หรอกรู้ว่าประโยคต่อไปของนางจะอย่างไร ทว่า ความรู้สึกในใจกลับบอกเขาว่า คำเ่าั้จะต้องเป็สิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินแน่
อวิ๋นซีถูกจูบอย่างกะทันหันก็ให้สับสนมึนงง ทว่าทันทีที่ดึงสติตนกลับมาได้ นางก็ผลักจวินเหยียนออกแล้วจ้องเขาด้วยสายตาเ็า “ท่านเคยตกลงกับข้าว่าจะไม่บังคับฝืนใจให้ข้าต้องทำในสิ่งที่ข้าไม่ยินดีจะทำ”
จวินเหยียนยิ้ม จากนั้นจึงชิงพูดก่อนที่นางจะะเิอารมณ์โกรธ “ขอโทษ” ขอแค่ได้จูบเท่านั้น หากนางไม่พอใจก็แค่เอ่ยปากขอโทษกลับไปมิใช่หรือ ดังนั้น หากให้เขาได้จูบหลายทีหน่อย แล้วค่อยขอโทษอีกหลายคำก็ไม่นับว่าเป็อะไร
อวิ๋นซีถามเสียงขรึม “จวินเหยียน ศักดิ์ศรีของท่านหายไปไหนเสียเล่า? อีกทั้ง ความน่าเกรงขามของตัวท่านด้วย? ” เขาสามารถเอ่ยคำขอโทษออกมาได้อย่างไร้ศักดิ์ศรี ช่างแตกต่างจากเหล่าอ๋องที่นางเคยรู้จักมากขึ้นอีกเื่หนึ่งแล้ว
“ขอโทษเ้าไม่นับว่าเสียหน้าหรอก อีกประการ การอยู่กับเ้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่จำเป็ต้องมีศักดิ์ศรีหรือความน่าเกรงขามอะไรนั่น” เขาตอบด้วยจิตใจที่เบิกบาน อีกทั้งสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ล้วนเป็ความในใจที่แท้จริงในตอนนี้ของเขา หากเป็เมื่อก่อนคงเพราะเขาสนใจในสถานะของตนมากเกินไป สนใจสายตาของบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ว่าจะมองตนอย่างไรมากเกินไป ดังนั้น ่ชีวิตที่ผ่านมาจึงเหน็ดเหนื่อยยิ่งถึงขนาดที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความสุขที่แท้จริงเป็อย่างไร
ถึงแม้จากเมืองหลวงมายังหานโจวจะมีสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังและเป็กังวลอยู่มาก ทว่าในขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกได้ถึงการใช้ชีวิตอย่างอิสระ และมีข้อเสียเพียงประการเดียวคือความเดียวดาย จนกระทั่งได้มารู้จักกับอวิ๋นซี เขาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตนก็สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปได้
ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ เพราะยังมีเื่อีกมากมายที่รอให้เขากลับไปสืบให้ชัดแจ้ง ทว่า หากให้เปรียบเทียบความสำคัญระหว่างเื่เหล่านี้กับอวิ๋นซี ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมเลือกอวิ๋นซี และต่อให้สุดท้ายจะต้องอาศัยฐานะของฉินเหยียนเพื่อไปจัดการเื่เ่าั้ในเมืองหลวงให้เสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็ปัญหา อีกประการ หลายปีมานี้เขาย่อมมีสิ่งที่ได้มา และสูญเสียไปไม่น้อย ดังนั้น ในกรณีของอวิ๋นซี นางถือเป็สิ่งที่เขาอยากจะจับไว้ให้มั่นมากที่สุด
อวิ๋นซีมองเขา กัดริมฝีปากตนโดยแรง “จวินเหยียน ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะจดจำไว้ว่าตนเป็เพียงผู้ร่วมมือของท่าน” ทันทีที่พูดจบ นางก็หมุนกายจากไปด้วยเกรงว่าหากยังรั้งอยู่ จวินเหยียนจักต้องสรรหาคำพูดมาสยบนางเป็แน่
ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าคำหวานของบุรุษเชื่อถือไม่ได้ ทว่า ในบางครั้งการจะควบคุมตนเองก็ไม่ได้เป็ไปอย่างที่ใจคิด
จวินเหยียนมองดูแผ่นหลังของสตรีที่ดูจนตรอกไร้หนทาง ก่อนที่ใบหน้าจะเผยยิ้มขี้เล่นออกมา เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีสักวันที่สตรีนางนี้จะถูกเขาสยบได้ ดังนั้น เมื่อถึงตอนนั้น คำว่าความร่วมมืออะไรนั่นก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
เมื่ออวิ๋นซีจากไป เงาร่างสีเทาอ่อนก็ปรากฏขึ้นที่เื้ัของจวินเหยียน
ผู้มาเยือนกล่าวเสียงขรึม “ท่านอ๋อง นางเชื่อถือได้แน่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็หันกายไปมองบุรุษเื้ั ก่อนจะมองอีกฝ่ายั้แ่หัวจรดเท้า “เว่ยหลง เ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
คนคนนี้คือองครักษ์ของเขา และเป็หนึ่งในคนสนิทของเขา ดังนั้น การที่อีกฝ่ายกล้าถามเช่นนี้ จวินเหยียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาดสักเท่าไร เพราะในใจของเว่ยหลงผู้นี้เห็นผู้เป็นายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
เว่ยหลงส่ายหน้า “กระหม่อมคิดว่า พระชายาเป็สตรีที่เฉลียวฉลาด แต่ก็น่าแปลก หลังจากที่พวกเราสืบทราบเื่ราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับนางกลับพบว่ามีหลายสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็จริง ด้วยเหตุนี้ กระหม่อมจึงไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วพระชายาเป็คนเช่นไร”
ตามข้อมูลที่สืบมาได้พบว่า อวิ๋นซีเป็คนที่มีพร์ด้านวิชาแพทย์สูงส่ง ทั้งยังเป็สตรีที่อ่อนโยนจิตใจดี และไม่เป็วรยุทธ์ จากข้อมูลนี้ในส่วนแรก เว่ยหลงคิดว่าอาจจะถูก เพราะเมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการทำแผลของพระชายาแล้ว เกรงว่าคนน่าจะเป็สตรีที่มีวิชาแพทย์ไม่เลว
แต่ว่า เื่ที่บอกว่าคนทั้งอ่อนโยน จิตใจดี และไม่เป็วรยุทธ์กลับดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่เห็น...
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ไข่มุกงามบนฝ่ามือ(掌上明珠)เปรียบเทียบถึงบุตรสาวผู้เป็ที่รักของบิดา ธิดาผู้เป็ดั่งของล้ำค่าที่ต้องคอยประคับประคองอย่างทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือ
[2] เบิกฟ้าเปิดปฐี(开天辟地)เปรียบเทียบถึงผู้ที่สร้างสิ่งยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
[3] เก้าห้าอันสูงส่ง(九五之尊)คำว่า เก้า ห้า หมายถึง บัลลังก์กษัตริย์ เพราะในตำราอี้จิง เลขเก้ากับเลขห้า เป็เลขที่อยู่จุดสูงสุดของหยินหยาง คำคำนี้จึงหมายถึงผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุด หรือก็คือฮ่องเต้นั่นเอง