ลู่เหวินเจิ้นตั้งใจมาแจ้งข่าวถึงจวนในวันนี้ก็เพียงเพื่อ้าเพิ่มความยุ่งยากให้หานอ๋อง อย่างไรเสียเมื่อวานท่านอ๋องก็เพิ่งจะแต่งงานไป ทว่ามาวันนี้กลับถูกฮ่องเต้ยัดเหยียดคนมาให้ถึงจวนอีกคนหนึ่ง เื่นี้ไม่ว่าเป็ใครก็ยากจะรับได้ โดยเฉพาะคนดื้อดึงและดุร้ายเยี่ยงอวิ๋นซี
ทว่าท่าทีนี้ของหานอ๋องหลังจากที่ทราบข่าวกลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก สงบนิ่งถึงเพียงนี้? หรือว่าอีกฝ่ายจะยอมรับที่ท่านผู้อยู่ในวังผู้นั้นยัดเหยียดสตรีนางหนึ่งมาให้ได้ ทั้งๆ ที่หลายปีมานี้กลับไม่ถามไถ่ถึงความเป็อยู่ของอีกฝ่ายเลย เื่เช่นนี้ไม่ว่าใครก็สามารถยอมรับได้ด้วยหรือ?
เขาขบคิดอีกชั่วครู่แล้วจึงกล่าวเสริม “สารที่มาจากเมืองหลวงบอกว่า ยามนี้อวี่เสี้ยนจู่ออกเดินทางมาได้หนึ่งเดือนครึ่งแล้ว คาดว่าน่าจะมาถึงที่นี่ภายในสองวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” หึหึ ต่อให้จะตบแต่งสตรีที่หมายปองเข้ามาในจวนตนได้แล้วจะอย่างไร ขอแค่มีเสี้ยนจู่มาคนหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรจวนอ๋องของท่านก็ไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก
ยิ่งกว่านั้น เื่การแต่งงานของหานอ๋องนี้ยังไม่ได้แพร่ไปถึงเมืองหลวง แต่ฮ่องเต้กลับส่งคนมาก่อนแล้ว นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า อวี่เสี้ยนจู่ผู้นั้นเป็ชายาหานอ๋องที่ฝ่าาตั้งพระทัยไว้ ดังนั้น เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะรอดูว่าสตรีที่น่ารังเกียจดังเช่นอวิ๋นซีจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร
จวินเหยียนอืมออกมาหนึ่งเสียง “เื่นี้เปิ่นหวางรับรู้แล้ว” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องคิดหาวิธีเพื่อบอกเื่นี้กับอวิ๋นซี โดยหวังว่านางจะไม่โกรธ อีกทั้ง อีกฝ่ายคือหยวนจวิ้นอ๋อง ซึ่งเป็คนสนิทของฮ่องเต้ที่มีกำลังทหารหลวงจากทัพเวยเว่ยฝ่ายซ้ายจำนวนห้าหมื่นนายอยู่ในมือ
เขาไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะปรารถนาดีต่อตนจนถึงขั้นส่งบุตรสาวของจวิ้นอ๋องมาหานโจว ด้วยเื่นี้จะต้องมีบางสิ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ซ่อนอยู่เป็แน่
เื่ของอวี่เสี้ยนจู่ ลู่เหวินเจิ้นบอกไว้เพียงเท่านั้น เพราะที่เหลือหาได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา จากนั้นจึงรายงานเื่การจัดการดูแลต่างๆ ในนครหานโจวต่อไป
ขณะเดียวกัน อวิ๋นซีก็ได้ยินสาวใช้เข้ามารายงานว่า ฮูหยินลู่พาลู่อวี้ฉิงเดินเรื่อยเปื่อยชมดอกไม้นานาอยู่ในสวนดอกไม้ที่เรือนชั้นนอก นางจึงสั่งให้สาวใช้ข้างกาย เพ่ยเอ๋อร์ไปบอกลู่อวี้ฉิงว่า องค์ชายทรงอนุญาตให้พวกนางเข้ามาเดินเล่นชมดอกไม้ในเรือนชั้นสองได้
เพ่ยเอ๋อร์น้อมรับคำสั่งและรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนชั้นนอกทันที ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีได้แต่มองตามแผ่นหลังของสาวใช้ตนอย่างมีเลศนัย
เหตุเพราะที่บ้านอวิ๋นมีเตี๋ยชุ่ยเป็สาวใช้เพียงคนเดียว ดังนั้นอวิ๋นซีจึงไม่วางใจให้บิดาต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ตอนแต่งออกมาจึงให้เตี๋ยชุ่ยรั้งอยู่ ส่วนตนในตอนนี้มีเพ่ยเอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์ ฉุนเอ๋อร์ หวนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย ซึ่งพวกนางล้วนเป็คนของจวินเหยียนทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้น เขายังได้บอกนางว่าสาวใช้ทั้งสี่คนนี้สามารถเชื่อใจได้ ทั้งยังเป็วรยุทธ์ หากมีเื่อันใดก็สามารถสั่งให้คนทั้งสี่นี้ไปทำได้
ถึงกระนั้นไม่ว่าสาวใช้ทั้งสี่จะเก่งกาจสักเพียงไร แต่สำหรับอวิ๋นซี พวกนางล้วนภักดีแค่กับจวินเหยียนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นางจึงยังจำเป็ต้องมีคนสนิทที่เป็ของตนถึงจะใช้ได้ อวิ๋นซีเดินไปนั่งในศาลาพลางขบคิดไปว่าตนควรจะไปหาซื้อสาวใช้มาฝึกฝนสักหน่อย
“พระชายาเพคะ พระองค์จะให้พวกนางเข้ามาในเรือนชั้นสองจริงๆ หรือเพคะ? ” หวนเอ๋อร์ หนึ่งในสี่สาวใช้ที่ช่างพูดช่างคุยเป็ที่สุดเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เนื่องจากเรือนชั้นสองของจวนอ๋องนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ใครนึกอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ มิหนำซ้ำพระชายาเองก็ทราบเื่นี้ดี แต่ก็ยังให้เพ่ยเอ๋อร์ไปบอกว่าท่านอ๋องทรงอนุญาตให้พวกนางเข้ามาได้
นี่เป็การชักนำสองแม่ลูกนั่นชัดๆ แต่ว่า พระชายา้าจะทำอันใดกันแน่?
“เพื่อหานโจวแล้ว นายอำเภอลู่นับได้ว่าลำบากยิ่ง ทั้งยังมีผลงานเยี่ยมยอดที่ประจักษ์ชัดอยู่มากมาย ดังนั้น ในเมื่อภรรยาและบุตรสาวของเขามาเยือนยังจวนอ๋อง หากเราปฏิบัติต่อสองแม่ลูกเหมือนที่ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นนั้นท่านนายอำเภอคงให้ผิดหวังแล้ว อีกทั้ง หานโจวก็ถือเป็เขตปกครองที่ฝ่าาพระราชทานให้ท่านอ๋อง หากประชาชนทุกคนอยู่ดี ท่านถึงจะได้อยู่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็เพราะเราได้รับความช่วยเหลือจากท่านนายอำเภอ” นางหาเหตุผลเพื่อตอบกลับไปแบบมั่วๆ ถึงกระนั้นการที่นางให้ลู่อวี้ฉิงกับมารดาเข้ามาในเรือนหลังนี้ก็เป็ที่แน่นอนว่า เป็เพราะนางเองก็้าพบอีกฝ่าย
เหตุที่อยากเจอก็เพียงเพราะนางมีความสงสัยในตัวฮูหยินลู่ผู้ที่กล้าปิดบังสามี ลอบมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นมาสิบกว่าปี แล้วยังให้กำเนิดบุตรสาวให้กับอีกฝ่ายอีกด้วย ซึ่งแต่เดิมอวิ๋นซีเป็คนที่เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็เื่ใด หรือกับสิ่งใดก็ล้วนต้องลองหาโอกาสเพื่อศึกษา ไม่เว้นกระทั่งมนุษย์ด้วยกัน
พวกเซียงเอ๋อร์ที่ได้ฟังต่างก็สบตากัน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ทว่า คนทั้งสามล้วนไม่เชื่อในถ้อยคำนี้ เพราะท่านอ๋องเคยตรัสไว้ว่า พระชายาเป็หญิงประหลาด ทั้งยังไม่เชื่อว่าพระชายาจะไม่รู้ว่าท่านอ๋องเกลียดชังลู่เหวินเจิ้นเป็ที่สุด ดังนั้น ในสถานการณ์ที่รู้เื่นี้ดีอยู่แล้ว แต่ยังปล่อยให้แม่ลูกตระกูลลู่เข้ามาในเรือนชั้นสอง นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าพระชายาย่อมมีเื่ที่้าจะทำ
และเื่นี้ก็ยังมีความเกี่ยวพันกับสองแม่ลูกตระกูลลู่
“พระชายาเพคะ ทรง้าให้หม่อมฉันไปเตรียมขนมมาสักหน่อยหรือไม่เพคะ? ” เซียงเอ๋อร์ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ผู้เป็เ้าของใบหน้างดงามน่ารักต้องใจคนเดินขึ้นมาคารวะเบื้องหน้าแล้วไต่ถาม
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้ว ก็มองเซียงเอ๋อร์อย่างมีนัยยะ จากนั้นก็พยักหน้า “ไปเถอะ แล้วก็เตรียมโจ๊กรังนกมาสองถ้วยด้วย อย่างไรเสียมีแขกมาเยือนถึงบ้านทั้งที เราจะละเลยก็คงไม่ได้”
เซียงเอ๋อร์ยิ้มและพยักหน้า
ฉุนเอ๋อร์และหวนเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้งผ่านั์ตาของอีกฝ่าย การกระทำของพระชายาทั้้งหมดนี้มีเป้าหมายจริงๆ ด้วย
เมื่อลู่อวี้ฉิงได้ยินว่าเป็หานอ๋องที่อนุญาตให้ตนเข้าไปเดินชมในเรือนชั้นสองได้ จิตใจของสาวน้อยพลันเบิกบาน และหายหงุดหงิดเป็ปลิดทิ้ง จากนั้นจึงยิ้มแย้มและให้สาวใช้รีบนำทางไป ทว่าในจวนอ๋องนี้สาวใช้จากเรือนชั้นนอกสามารถเดินไปมาได้แค่บริเวณเรือนชั้นนอกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สาวใช้นำทางกลุ่มแรกจึงไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้าไปในเรือนชั้นสอง และต้องเป็เพ่ยเอ๋อร์ที่เดินนำสองแม่ลูก รวมถึงสาวใช้ข้างกายของอีกฝ่ายเข้าไปในเรือนชั้นสองแทน
ตลอดทางที่เดินเข้ามาด้านใน ลู่อวี้ฉิงก็เอาแต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า ในจวนอ๋องแห่งนี้มีทั้งหมดกี่ชั้นกันแน่ เพ่ยเอ๋อร์ตอบกลับในทุกๆ คำถามอย่างอดทน จวนอ๋องนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ทว่าหานอ๋องที่มาอยู่ที่นี่นานหลายปี แขกที่สามารถก้าวเข้าไปในเรือนชั้นสองนี้ได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ดังนั้น เรือนชั้นสามยิ่งไม่ต้องพูดถึง สาวใช้อย่างเพ่ยเอ๋อร์สามารถนับจำนวนด้วยนิ้วทั้งสิบได้
เมื่อลู่อวี้ฉิงได้รู้ว่าคนที่สามารถเข้าไปในเรือนชั้นสองได้มีไม่มาก นางก็ให้รู้สึกว่าตนช่างโชคดีเหลือเกิน ทั้งยังคิดไปอีกว่า เหตุที่ท่านอ๋องทรงอนุญาตให้ตนเข้าไป หรือว่าในใจของเขาจะมีตนที่พิเศษกว่าคนอื่น?
ทว่า เมื่อคิดได้ว่าตนเป็ดังดอกไม้ที่ปลิดปลิวเป็ต้นหลิวที่เหี่ยวเฉา [1] แล้ว นางก็เริ่มรู้สึกไม่ยินยอมอีกครั้ง ความเคียดแค้นในใจที่มีต่อมารดาก็ยิ่งถลำลึกขึ้น รวมถึงความแค้นที่มีต่อลู่เหวินเจิ้นด้วย หากไม่ใช่เพราะคนทั้งสองที่ทำร้ายตน ไม่แน่ว่าวันนี้คนที่ได้แต่งเข้ามาในจวนอ๋องนี้อาจเป็นาง ลู่อวี้ฉิง ก็เป็ได้
อวิ๋นซีเห็นสองแม่ลูกตระกูลลู่กำลังเดินเข้ามายังเรือนชั้นสองมาแต่ไกล นางจึงหันไปพูดกับฉุนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย “เ้าไปบอกลู่อวี้ฉิงกับมารดานางว่า องค์ชายได้สั่งให้คนจัดเตรียมขนมไว้ให้ หากพวกนางเดินจนเหนื่อยแล้วก็ให้แวะพักและลองชิมขนมกับโจ๊กรังนกที่ศาลาแห่งนี้”
ฉุนเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่คิดถามให้มากความ
อวิ๋นซีมองดูฉุนเอ๋อร์ที่รีบรุดจากไปตามคำสั่ง จากนั้นนางก็ยืนขึ้นแล้วพูดกับหวนเอ๋อร์ “ไปเถอะ พวกเราไปดูจวิ้นจู่น้อยกัน” ที่นี่คงไม่มีเื่อะไรให้นางต้องสนใจอีกแล้ว แต่นางก็ยังเชื่อว่า วันหน้าลู่อวี้ฉิงจะต้องมอบสิ่งตอบแทนที่คาดไม่ถึงแก่นางอย่างแน่นอน
การกระทำต่างๆ ของอวิ๋นซีนี้ทำให้สาวใช้ทั้งสี่สับสนมึนงง พวกนางล้วนไม่เข้าใจว่าพระชายาจะยืมชื่อของท่านอ๋องเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ไปทำไม แล้วจะมีประโยชน์อันใด?
เพียงไม่นาน อวิ๋นซีที่เพิ่งก้าวเข้าไปยังเรือนชั้นสี่ก็เห็นเด็กน้อยวิ่งโร่มาทางตน โดยข้างกายของอีกฝ่ายยังมีสาวใช้และผอจื่อติดตามมาด้วยอีกห้าหกคน ทันทีที่หวานหว่านเห็นอวิ๋นซี บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มไร้เดียงสา “ท่านแม่”
อวิ๋นซีได้ยินเสียงะโเรียกว่า ‘ท่านแม่’ เสียงๆ นี้ทำให้ทุกอณูในร่างกายถึงกับชะงักค้าง ความเ็าและหนักแน่นที่อยู่ในจิตใจคลับคล้ายค่อยๆ พังทลายลงไปพร้อมๆ กับเสียงเรียกขานนั้น ก่อนจะปรากฏด้านที่อ่อนโยนออกมา
นางรู้สึกแสบจมูก หากไม่ใช่ว่าตนต้องพบเจอกับเื่ราวที่น่าอนาถนั้น บุตรสาวของนางเองก็คงจะะโเรียกนางเช่นนี้เช่นกัน เมื่อเรียกสติคืนมาได้แล้ว นางก็รีบเดินขึ้นหน้าไปดึงตัวหวานหว่านเข้ามาไว้ในอ้อมแขน และสวมกอดเด็กตัวน้อยไว้ในอ้อมอกอย่างแแ่ราวกับเกรงว่าหากนางปล่อยมือ เด็กน้อยคนนี้ก็อาจจะหายไป
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ดอกไม้ที่ปลิดปลิวเป็ต้นหลิวที่เหี่ยวเฉา(残花败柳)หมายถึง สตรีที่ไร้ซึ่งเกียรติยศและความงามของวัยเยาว์ไปแล้ว