เหลิ่งเหยียนคุ้มครองซูฉีฉีพลางตอบโต้การโจมตีของศัตรูกระนั้นทุกกระบวนท่าของเขายังแม่นยำ หมายจะปลิดชีวิตของฝ่ายตรงข้าม
แต่เพราะคนเ่าั้กำลังใช้ค่ายกลที่แสนประหลาดทำให้เขามิอาจหาทางทำลายลงได้ในเวลาอันสั้นนี้ยังมิทันที่เขาจะแทงโดนจุดสำคัญบนร่างกายของศัตรูก็ไม่รู้ว่ามีดาบจากทางใดแทงเข้าใส่จุดสำคัญบนร่างกายเขาแทน
อีกทั้งซูฉีฉีนั้นไม่มีวรยุทธ์แม้แต่น้อยทำได้เพียงแค่ให้เหลิ่งเหยียนคุ้มกันตน
ตอนนี้เหลิ่งเหยียนกลับไม่มีความคิดที่จะทอดทิ้งซูฉีฉีเขารู้ว่าขอเพียงม่อเวิ่นเฉินไม่ทอดทิ้งนาง ตนก็ไม่สามารถทอดทิ้งนางได้
ทำได้เพียงแค่สู้จนลมหายใจสุดท้ายกับศัตรูแล้ว
ไอสังหารในดวงตาของม่อเวิ่นเฉินกำลังโหมกระหน่ำแต่เขากลับไม่เข้าร่วมสนามรบตรงหน้าในทันทีทำเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นมองดูเหลิ่งเหยียนกำลังพยายามฝืนทนสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เขากำลังวิเคราะห์ค่ายกลตรงหน้านี้อยู่
และซูฉีฉีเองก็พยายามทำใจของตนเองให้สงบลง
นางพยายามสังเกตทุกคนอย่างละเอียดมิว่าจะเป็วิธีการโจมตีท่าทาง อีกทั้งการขยับก้าวเดินของพวกเขา
นางมิได้รอบรู้เกี่ยวกับห้าธาตุแปดทิศมากเท่าใดนักตอนนี้นางจึงมองมิค่อยเข้าใจนัก
นางเพียงใช้จุดตำแหน่งที่ขัดแย้งกันมาวิเคราะห์เพื่อหาว่าจุดรวมพลังของคนทั้งยี่สิบกว่าคนนี้มาจากที่ใด
ดวงตาที่ใสกระจ่างนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นซูฉีฉีในตอนนี้น่ากลัวนัก เป็การมุ่งมั่นที่น่ากลัวมาก
ดาบเล่มหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาทางด้านหลังฝั่งหัวใจของเหลิ่งเหยียนซูฉีฉีมองเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านข้างของคนที่กำลังยกดาบขึ้นแทงนั้นมีคนอีกสองคนกำลังใช้ดาบหนุนท่าทางของคนด้านหน้าขอเพียงเหลิ่งเหยียนโจมตีกลับก็จะถูกการโจมตีของคนทั้งสามอย่างแน่นอน
“แทงตรงตำแหน่งเอวของคนด้านซ้าย”ทันใดนั้นซูฉีฉีก็เอ่ยออกมาเสียงเบา
นางมีสีหน้าจริงจัง ไอสังหารในดวงตาค่อยๆลุกฮือขึ้น แผลตรงบริเวณหน้าอกของนางยังมิได้จัดการให้เรียบร้อยแต่ตอนนี้นางกลับไม่มีเวลามาสนใจเื่เ่าั้แล้ว
เหลิ่งเหยียนมิได้ลังเลแม้แต่น้อยตอนนี้สภาพเขาเริ่มจะย่ำแย่แล้วจึงได้แต่ยกดาบขึ้นแทงออกไปอย่างมิสนใจสิ่งใด
ดาบแทงออกไปอย่างแม่นยำ
ม่อเวิ่นเฉินในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ขยับตัวแล้วดาบยาวพลิ้วไหวไปมาดุจอสรพิษและรวดเร็วดุจแสงเงาหลังจากที่วาดดาบออกไปแล้วรอบหนึ่ง ห่างไปทุกๆ สองคนก็จะมีคนล้มลงหนึ่งคน
ดาบไม่ได้แทงไปโดนจุดสำคัญและไม่ได้ฟันโดนที่แขนแต่กลับเป็ตำแหน่งเอวหรือตำแหน่งท่อนขา้าแทน
ชั่วขณะการโจมตีที่มีต่อเหลิ่งเหยียนก็ได้หยุดลง
ซูฉีฉีกวาดตาไปโดยรอบอย่างคร่าวๆม่อเวิ่นเฉินได้ฟันคนจนล้มลงถึงแปดคน
รอจนกระทั่งคนทั้งแปดได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งค่ายกลที่แสนประหลาดก็พังทลายไปแล้ว
จำเป็ต้องรวมกลุ่มตั้งค่ายกลใหม่
และซูฉีฉีในตอนนี้ก็ได้สังเกตเห็นแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่รู้จักวิธีการใช้ค่ายกลพวกเขาเพียงแค่ย่างก้าวกลับที่เดิมและใช้วิธีเดิมในการสร้างค่ายกล
การที่คนทั้งแปดล้มลงนั้นทำให้พวกเขาไม่อาจตั้งค่ายกลได้ใหม่ในเวลาอันสั้น
เหลิ่งเหยียนก็ได้ใช้โอกาสนี้หมายจะสังหารพวกเขาจนหมด
เขาที่อยู่ด้านในผสานมือกับม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ด้านนอกเพียงแค่ดาบสะบัดก็ก่อให้เกิดโลหิตไหลนองอยู่เต็มพื้น...
ไม่ว่าจะมีคนบุกเข้ามาเท่าใด ม่อเวิ่นเฉินก็สังหารทิ้งโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้งเดียวเขายืนอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตสีแดงสดนี้ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนเทพมาจุติเป็เทพที่สุดแสนจะน่ากลัว
ซูฉีฉีที่อยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเหยียนก็มองเห็นนักฆ่าได้ล้มลงไปทีละคนๆในดวงตาของนางเห็นเพียงแค่สีแดงของโลหิต ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยสีแดง...
ซูฉีฉีลืมที่จะปิดตาลงเสียแล้วดูเหมือนว่านางจะสามารถยอมรับภาพตรงหน้าเช่นนี้ได้แล้ว
มิได้มีความหวั่นกลัว มิได้มีความอดกลั้น มีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้น
จนกระทั่งคนสุดท้ายได้ล้มลงม่อเวิ่นเฉินถึงจะเก็บดาบของตนเข้าฝักไปทั่วทั้งร่างกายและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเืสด เสมือนกับปีศาจที่น่ากลัวตนหนึ่งทว่าเขากลับมีดวงตาที่สะท้อนถึงความสูงส่งน่าเคารพยำเกรงของกษัตริย์
เหลิ่งเหยียนปล่อยมือออกจากซูฉีฉีสีหน้าของเขายังคงเยือกเย็นเช่นเคย
ไม่มีอารมณ์ใดๆ แสดงออกมาแม้แต่น้อย
วินาทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นนั้นซูฉีฉีรู้สึกว่าร่างกายยังคงอ่อนแออยู่บ้าง นางเอนตัวไปมาจนเกือบจะล้มลงเหลิ่งเหยียนเห็นดังนั้นก็รีบยื่นมือไปช่วยพยุงนางไว้
ม่อเวิ่นเฉินก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งก่อนจะมองไปที่เืบนใบหน้าและคราบเืสีแดงสดบนเสื้อขาวของซูฉีฉีคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะยื่นมือไปช่วยพยุงนางพลางหันหน้าไปมองด้านในห้องพัก
เหลิ่งเหยียนเดินไปด้านหน้าอย่างเข้าใจดีเขาตรวจสอบทั้งห้องโดยละเอียดรอบหนึ่งซ้ำยังปิดหน้าต่างให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมา “ทุกอย่างปกติ”
ม่อเวิ่นเฉินพยักหน้าก่อนจะหันตัวไปด้านข้างแล้วอุ้มซูฉีฉีขึ้นโดยมิสนการขัดขืนของนางจากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางนางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง “อย่าขยับข้าจะจัดการแผลให้เอง”
ไร้ซึ่งความลังเล
แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
ใบหน้าเล็กๆ ของซูฉีฉีแดงลงไปจนถึงต้นคอครั้งนี้นางไม่ได้คำนึงถึงอะไรมาก รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแรง “ไม่ ม่อเวิ่นเฉิน ข้าทำเองดีกว่า”
นางยังคงรับไม่ได้กับการใกล้ชิดเช่นนี้
อีกอย่างแผลของนางนั้นก็อยู่บริเวณหน้าอกด้วย
“หุบปาก”ม่อเวิ่นเฉินมีสีหน้าเยือกเย็นเขาเอ่ยออกมาอย่างวางอำนาจพลางเอามือกดซูฉีฉีให้นอนลง
เหลิ่งเหยียนที่เห็นภาพเบื้องหน้านั้นกลับปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะพบเห็นขึ้น
ตอนนี้ใบหน้าของม่อเวิ่นเฉินนั้นมิได้มีความเยือกเย็นออกมาอย่างน่ากลัวแต่กลับดูแข็งเกร็ง ดูนิ่งทื่อ และดูเก้อเขินอยู่บ้าง...
กระทั่งเขายังรู้สึกว่าสมองไม่อาจสั่งการได้ชั่วขณะเมื่อเห็นรอยแผลมีเืไหลซึมออกมาจากเสื้อขาวของซูฉีฉีมิหยุดนั้นเขาก็รู้สึกสงสารและปวดใจเป็อย่างมากเขาบอกตนเองแต่แรกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็ของเขา นอกจากเขาแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามทำร้ายนาง
กล้าทำร้ายผู้หญิงของเขาผลลัพธ์มีเพียงคำเดียวนั่นก็คือ ตาย
เหลิ่งเหยียนเองก็ได้ถอยออกไปแล้วเขาเริ่มจัดการเก็บกวาดซากศพบนพื้นและสั่งให้คนตรวจสอบโดยละเอียดว่าใครเป็คนสั่งนักฆ่ามาสังหารซูฉีฉีไม่หยุดหย่อน
ถึงแม้ว่าจะมุ่งมาทางซูฉีฉีแต่ก็ได้ล่วงเกินม่อเวิ่นเฉินแล้วเช่นกัน
เื่นี้ไม่อาจเพิกเฉยได้
เมื่อมองไปทางม่อเวิ่นเฉินซูฉีฉีก็หุบปากลงสนิทนางได้แต่มองม่อเวิ่นเฉินอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดีพลางยกมือขึ้นกอดไหล่ของตนไว้ในใจรู้สึกว้าวุ่นไม่น้อย
เมื่อเห็นซูฉีฉีสงบลงม่อเวิ่นเฉินก็ยื่นมือไปคลายเชือกที่มัดเอวของนางไว้อย่างงุ่มง่าม
จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเขาจึงลุกขึ้นหากล่องยาของซูฉีฉี
เขาเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะที่มีกล่องยาตั้งอยู่
เหลิ่งเหยียนที่กำลังจัดการเก็บกวาดซากศพอยู่นั้นมิได้สังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งแค่เพียงแขนขาดเท่านั้นตอนนี้เขากำลังแอบลักลอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องของซูฉีฉี
ม่อเวิ่นเฉินที่หยิบเอากล่องยามาแล้วนั้นก็หมุนตัวไปทางเตียงของซูฉีฉีอีกครั้ง
ร่างของคนชุดดำคนหนึ่งได้ยืนอยู่ที่ขอบประตูแล้วมืออีกข้างที่ไม่ได้ขาดออกไปของเขานั้นได้ปามีดบินออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้แสงเทียนที่สะท้อนออกมานั้นทำให้เห็นว่าบนมีดบินนั้นมีสีเขียวเคลือบไว้อยู่ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว
ซูฉีฉีเองก็ลืมตาขึ้นมาทันทีแต่เมื่อเห็นมีดบินจำนวนมากที่กำลังพุ่งมานั้นนางก็ทำเพียงแค่หลับตาลงอีกครั้งอย่างยอมรับชะตากรรม นางไม่มีทางหลบพ้นอย่างแน่นอน...
“รนหาที่ตาย”ม่อเวิ่นเฉินสะบัดกล่องยาในมือออกไปทำให้มีดบินสิบกว่าเล่มนั้นปักเข้าบนกล่องยาในทันทีและอาศัยจังหวะนี้พุ่งไปที่ด้านหน้าของเตียงมือใหญ่ยกขึ้นก่อนจะคว้าเอาซูฉีฉีมาไว้ในอ้อมอกใช้แผ่นหลังของตนรับมีดบินอาบยาพิษที่ปาออกมาไม่หยุดหย่อน...
“อ๊า...”นักฆ่าที่ยืนอยู่ตรงขอบประตูร้องออกมาอย่างเ็ปเขาได้สิ้นชีวิตลงด้วยดาบของเหลิ่งเหยียนแล้ว
แต่ว่าตอนนี้แผ่นหลังของม่อเวิ่นเฉินเองก็เต็มไปด้วยมีดบินอาบพิษแล้วเช่นกัน!
แสงเทียนสะท้อนพิษสีเขียวบนใบมีด
“ท่านอ๋อง”
“ม่อเวิ่นเฉิน”
เหลิ่งเหยียนเหยียบผ่านซากศพก่อนจะะโออกมาเสียงดัง
ซูฉีฉีเองก็จับแขนของม่อเวิ่นเฉินอย่างสั่นๆนางะโออกมาเสียงดัง กระทั่งริมฝีปากของนางก็กำลังสั่นระริกเช่นกัน
นางมิเคยคิดว่าวันหนึ่งม่อเวิ่นเฉินจะช่วยนางไว้โดยไม่สนใจชีวิตตัวเองแม้แต่น้อย
มีดบินพวกนี้ล้วนอาบพิษร้ายเอาไว้ทั้งนั้น
ม่อเวิ่นเฉินยิ้มออกมาใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอยู่บ้างเสมือนว่าพิษบนมีดบินนั้นได้ออกฤทธิ์เสียแล้ว “ไม่เป็ไร ไม่ตายหรอก เ้าไม่ใช่...หมอเทวดาหรอกหรือ”
ประโยคสุดท้ายกลับเอ่ยออกมาเหมือนกับว่ากำลังล้อเล่นอยู่อย่างนั้น
เมื่อเอ่ยเสร็จร่างของเขาก็ล้มลงไปด้านหน้าทันทีก่อนจะล้มลงนั้นเขายังไม่ลืมที่จะใช้กำลังภายในเล็กน้อยในการส่งซูฉีฉีกลับขึ้นไปบนเตียง
เมื่อซูฉีฉีััโดนเตียงนั้นนางก็รีบผลิกตัวลงมาทันที นางมิสนว่าแผลตรงบริเวณหน้าอกที่ยังไม่ได้จัดการนั้นจะฉีกขาดเพิ่มอีกสีหน้าร้อนรนของซูฉีฉีนั้นขาวซีด นางในตอนนี้วิตกจนมิรู้จะทำเช่นไรดี “เหลิ่งเหยียน เร็ว...รีบวางตัวท่านอ๋องให้นอนดีๆ”
ในวินาทีที่ม่อเวิ่นเฉินล้มลงไปนั้น เหลิ่งเหยียนเป็คนไปรับร่างของเขาเอาไว้