คนชุดดำตรวจสอบร่างกายตนเองดูรอบหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีอันใดผิดปกติเขาก็ยกดาบฟันลงมาอีกครั้ง
“นังผู้หญิงสมควรตาย”เขาะโออกมาอย่างมีโทสะดวงตาที่เยือกเย็นเหมือนมีเพลิงไฟก่อตัวขึ้น “วันนี้ข้าจะต้องส่งเ้าไปลงนรกให้ได้”
การกระทำเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกขายหน้ายิ่ง
ซูฉีฉีเอาตัวบังอยู่ด้านหน้าเตียงของเหลยอวี๊เฟิงแผลตรงบริเวณหน้าอกของนางมีเืไหลออกมาไม่หยุดเพราะว่าความเ็ปจากแผลทำให้คิ้วของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆแต่นางก็ยังคงอยู่นิ่งไม่ขยับ “ทำไมเ้าถึง้าจะฆ่าข้า?”
นางเหมือนจะไม่เคยล่วงเกินผู้ใดมาก่อน
นางมิได้ถามว่าผู้ใดจะฆ่านางแต่กลับถามว่าทำไม
คำถามนี้ทำให้เหลยอวี๊เฟิงอดมิได้ที่จะนับถือนางสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา ล่วงเกินไม่ได้จริงๆ
ดาบที่กำลังฟันลงมานั้นก็หยุดลง คนชุดดำจ้องมองไปที่ใบหน้าอันสะอาดสะอ้านของซูฉีฉีและคิ้วงามที่กำลังขมวดเข้าหากันดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกพึงพอใจกับคำถามนางเป็อย่างมาก
เขาหัวเราะออกมา “รับเงินของคน ช่วยเขากำจัดภัย”
ซูฉีฉีกระตุกยิ้มที่มุมปากสีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดมิถึงจริงๆ ว่าจะมีคนจ้างนักฆ่ามาสังหารตน
นางกำลังคิดว่าอาจจะเป็ม่อเวิ่นเสวียนหรือว่าบิดาของนาง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็รีบตัดความคิดเ่าั้ของตนทิ้งนางรู้ว่าม่อเวิ่นเสวียนเกลียดแค้นนางแต่คาดว่าคงไม่ส่งนักฆ่ามาสังหารตนเร็วถึงเพียงนี้
เช่นนั้นคงเหลือเพียงคนเดียว
ซูฉีฉีกลอกตารอบหนึ่งก่อนจะมองตรงไปที่คนชุดดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็คนที่อวดดีและทะนงตนมากผู้หนึ่ง
นางขยับตัวเล็กน้อยด้วยสีหน้าราบเรียบ “มิรู้ว่าชีวิตของข้ามีมูลค่าเท่าใดกัน”
“สำหรับคู่ต่อสู้ที่ไม่เป็วรยุทธ แค่ให้เงินก็ล้วนฆ่าทิ้งได้”คนชุดดำแสดงสีหน้าหนักใจ “แต่ว่าบุรุษด้านหลังของเ้านั้นมีมูลค่ามากทีเดียว...”
ดวงตาปรากฏแสงแห่งความโลภขึ้น
ด้านนอกได้สังหารนักฆ่าคนหนึ่งแล้วทำให้ค่ายกลที่แสนประหลาดพังลงม่อเวิ่นเฉินและเหลิ่งเหยียนสังหารคนที่เหลืออีกเก้าคนโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ถือดาบที่กำลังมีโลหิตไหลย้อยขณะมองไปบริเวณรอบๆ
แน่ใจแล้วว่าไม่มีนักฆ่าโผล่ออกมาอีก
“สั่งคนให้จัดการทำความสะอาด”ม่อเวิ่นเฉินใช้แขนเสื้อเช็ดเืบนดาบของตนก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเย็น
เสียงของเขาพึ่งเอ่ยจบ ภายในห้องก็มีเสียงของเก้าอี้ล้มลงบนพื้นดังออกมา
ม่อเวิ่นเฉินขมวดคิ้วแน่นหมุนตัวกลับไปโดยไร้ซึ่งความลังเล จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูของโรงเตี๊ยมและพุ่งตัวเข้าไป
ม่อเวิ่นเฉินเข้ามาด้านในแล้วเขาก็มองเห็นสภาพภายในห้องอย่างชัดเจน
มือทั้งสองของซูฉีฉียกขึ้นต้านดาบยาวของฝ่ายตรงข้ามทั้งตัวของนางยืนขวางอยู่ด้านหน้าเตียงของเหลยอวี๊เฟิงและเหลยอวี๊เฟิงกำลังพยายามดันตัวเองขึ้นและโยนของบนเตียงเข้าใส่คนชุดดำ
“นังผู้หญิงสมควรตายกล้าปั่นหัวข้างั้นหรือ” ใบหน้าของคนชุดดำเป็สีเขียวคล้ำดาบยาวนั้นได้ติดเข้าไปด้านในเก้าอี้แล้วเขาพยายามใช้แรงดึงมันออกมาพลางจ้องไปที่ซูฉีฉีด้วยความแค้นเคือง
แม้ว่าตอนนี้ซูฉีฉีจะกำลังวุ่นรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่นางก็ยังคอยเงี่ยหูฟังสถานการณ์ด้านนอกอยู่ตลอดเวลาเมื่อนางได้ยินว่าด้านนอกนั้นเงียบสนิทไม่มีเสียงใดๆนางก็รู้แล้วว่านักฆ่าด้านนอกได้ถูกจัดการไปจนหมดแล้ว
นางถามเขาว่าตนนั้นมีมูลค่าเท่าใดพลางเอ่ยว่าจะจ่ายเพิ่มอีกสิบเท่าใดในการที่จะสั่งให้เขาไปฆ่าฝ่ายตรงข้าม
คนชุดดำนั้นเป็คนที่โลภมากเห็นแก่เงินทองเขาคิดว่าฆ่าคนผู้นี้แล้วค่อยกลับไปฆ่าผู้ว่าจ้าง เช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
เป็การรับเงินของคน ช่วยเขาขจัดภัยโดยแท้
ล้วนคำนวณไว้อย่างดีแล้ว
ซูฉีฉีแสดงออกถึงความโกรธเกลียดฝ่ายตรงข้ามพลางทำเป็หันหน้าไปขอเงินจากเหลยอวี๊เฟิง
ในขณะที่เหลยอวี๊เฟิงยื่นเงินออกมานั้น ซูฉีฉีก็ถือโอกาสที่คนชุดดำกำลังแสดงสีหน้าละโมบออกมานั้นถีบเก้าอี้ข้างกายตนก่อนจะคว้าเอาเก้าอี้อีกตัวขึ้นมาถือไว้
เมื่อเก้าอี้ตกลงบนพื้นนั้นคนชุดดำก็รู้ว่าตนได้ติดกับเข้าเสียแล้ว เขาจับดาบแน่นก่อนจะฟันลงไปอย่างแรง
แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่งดาบได้ฟันลงไปบนเก้าอี้ที่ซูฉีฉีได้ยกขึ้นมาแทน!
ม่อเวิ่นเฉินสะบัดแขนเสื้อก่อนจะวาดดาบในมือเป็วงกลมแล้วยกดาบขึ้นฟันลงไปที่ด้านหลังตำแหน่งหัวใจของคนชุดดำเพียงดาบเดียวก็ได้ปลิดชีวิตของเขาลง
โลหิตของเขาพุ่งกระจายเต็มพื้น
คนชุดดำก็ล้มลงบนพื้นอย่างไม่ยินยอม
ซูฉีฉีก็ปล่อยเก้าอี้ในมือของตนเช่นกันเรี่ยวแรงในร่างกายถูกใช้ไปจนหมดสิ้น
“ฉีฉีพวกเ้าเป็อย่างไรบ้าง” ดวงตาของม่อเวิ่นเฉินที่เ็าค่อยๆอบอุ่นขึ้น เขาก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งก่อนจะมองสำรวจซูฉีฉีขึ้นๆ ลงๆเมื่อเห็นแผลจากดาบที่บริเวณหน้าอกของนางนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
มือที่กำดาบไว้ก็บีบแน่นขึ้น
เหลยอวี๊เฟิงที่มีสภาพปางตายนั้นก็เหล่ตาไปมองม่อเวิ่นเฉิน “ทำไมเ้าถึงไม่ถามบ้างว่าข้าเป็อะไรหรือไม่...”
เขาพูดพร้อมกับไอออกมา
ซูฉีฉีเห็นสีหน้าเป็กังวลของม่อเวิ่นเฉินความอบอุ่นก่อตัวขึ้นในหัวใจแผลที่หน้าอกยังคงเจ็บอยู่แต่ตอนนี้เหมือนกับว่านางจะไม่รู้สึกถึงมันอีกแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินเสมองไปทางเหลยอวี๊เฟิงเห็นเขาไม่เป็อะไรแล้วจึงส่ายศีรษะ “เ้ามีชีวิตรอดก็พอแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้เหลยอวี๊เฟิงมีสีหน้าเ็ป “ช่างเป็คนที่เห็นผู้หญิงดีกว่าสหายจริงๆ”
ยังมีกระจิตกระใจมาพูดจาหยอกล้อเช่นนี้ซูฉีฉีก็วางใจแล้ว
นางคิดได้ดังนั้นพลางยิ้มน้อยๆ “ม่อเวิ่นเฉิน ท่านดูแลเ้าสำนักเหลยไปก่อน ข้าไปจัดการาแสักครู่”
ซูฉีฉีมิใช่สตรีที่เบาะบางที่ต้องมีคนมาคอยดูแล เมื่อครู่นางมิต้องสิ้นชีวิตไปนั้นนางก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งแล้วและยิ่งได้รับความห่วงใยจากม่อเวิ่นเฉินก็ทำให้นางรู้สึกว่าการมาครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว
ในที่สุดนางก็เฝ้ารอจนถึง่ฟ้าหลังฝนแล้ว
“ก็ได้” ม่อเวิ่นเฉินเดิมคิดอยากจะพูดอะไรออกมาแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่เอ่ยออกมาก่อนจะพยักหน้าแรงๆขาที่เดิมคิดจะก้าวไปด้านหน้านั้นก็ได้หยุดลง
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นความหยอกล้อที่แฝงอยู่ในดวงตาของเหลยอวี๊เฟิง
เขาก็มองกลับไปอย่างดุๆ
ซูฉีฉีก็หมุนตัวออกไปพร้อมใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อแผลตรงตำแหน่งหน้าอกของนางนั้นจะต้องจัดการด้วยตนเองเท่านั้น
สีหน้าเป็กังวลและความห่วงใยในดวงตาของม่อเวิ่นเฉินนั้นซูฉีฉีมองเห็นอย่างชัดเจน
นางในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่จะมีหรือไม่ก็ได้เฉกเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
ซากศพภายนอกได้ถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเหลิ่งเหยียนยืนแน่นิ่งเสมือนขอนไม้อยู่หน้าประตู เมื่อเห็นซูฉีฉีออกมาเขาก็ขานเรียกนางว่าพระชายาแค่นั้น
สำหรับเหลิ่งเหยียนซูฉีฉีได้คุ้นชินกับท่าทีเ็าและแข็งทื่อของเขาเสียแล้ว
แค่เพียงม่อเวิ่นเฉินยอมรับในตัวนางก็เพียงพอแล้วความคิดของผู้อื่นนางจะค่อยๆ เปลี่ยนมันนางจะต้องทำให้ทุกคนรู้ว่านางจะไม่มีทางกลายเป็ภาระของม่อเวิ่นเฉินแต่จะกลายเป็ผู้ช่วยที่ดีที่สุดของเขา
เมื่อเห็นรูปร่างที่เปราะบางแต่ยืนหยัดของซูฉีฉีในที่สุดเหลิ่งเหยียนที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ก็ขยับคิ้วของตนเล็กน้อยเขาเห็นรอยแถบแดงตรงบริเวณหน้าอกของซูฉีฉี ความจริงแล้วในใจลึกๆของเขาก็สงสารซูฉีฉีเช่นกัน
ั้แ่วินาทีที่นางเลือกม่อเวิ่นเฉินนั้นก็กำหนดแล้วว่าชีวิตของนางจะไม่ราบเรียบและยิ่งไม่มีทางสงบสุข
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะเฉลียวฉลาดมีปัญญาเมื่อเผชิญปัญหาแล้วก็มักจะสงบนิ่งมีสติ แต่ว่านางยังคงขาดอยู่สิ่งหนึ่งนางไม่เป็วรยุทธ์
เมื่อครู่เป็นางที่ทำให้ม่อเวิ่นเฉินเดือดร้อน
ซูฉีฉีผลักประตูให้เปิดออกแต่นางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ขอบประตู ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ประสาทััที่หกของผู้หญิงบอกนางว่าภายในนี้มีอันตราย
ในเวลาค่ำคืนเช่นนี้แสงจันทร์มิได้สว่างมากนัก แสงเทียนเล็กดุจเมล็ดถั่วแต่ว่าเหลิ่งเหยียนที่อยู่ทางนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงแสงเงินที่แวบผ่านหน้าของตนเดิมเขาสามารถทำเหมือนมองไม่เห็น แต่ว่าสัญชาตญาณทำให้เขาดีดตัวลอยขึ้นก่อนจะคว้าเอาซูฉีฉีที่ยืนอยู่ตรงขอบประตูอย่างไร้ทางถอยเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเขาหมุนตัวกลางอากาศอยู่สามครั้งก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนพื้นอีกครั้ง
ในขณะที่เหลิ่งเหยียนโอบซูฉีฉีหมุนตัวกลางอากาศนั้นมีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งผ่านอากาศมาใส่พวกเขา
เสียง “ติ๊งๆตั๊งๆ...” ดังอยู่ข้างหูไม่หยุด
นักฆ่ายี่สิบกว่านายพุ่งตัวออกมาจากห้องพักพร้อมกันทุกคนล้วนถือดาบยาวไว้ในมือ ปลายเท้าก้าวขยับไปด้านหน้าอย่างเป็ระเบียบ
เห็นได้ชัดว่ายี่สิบกว่าคนนี้รับมือยากกว่าสิบคนเมื่อครู่ยิ่งนัก อีกทั้งค่ายกลยังแปลกกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
ม่อเวิ่นเฉินเองก็เหาะตัวลอยมาพร้อมดาบในมือเมื่อเขามองเห็นเหลิ่งเหยียนที่มีสภาพสะบักสะบอมเล็กน้อยและซูฉีฉีอยู่ท่ามกลางผู้คนเ่าั้เสื้อคลุมตัวยาวสีดำที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตก็ปลิวสะบัดขึ้นเองไอสังหารในดวงตาพุ่งทะยานขึ้นสูง!