ซูฉีฉีเบิกตาขึ้นพลางยิ้มแล้วยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าของม่อเวิ่นเฉินนางลงมือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยตนเอง ต่อให้ลำบาก ต่อให้เหนื่อยล้าแต่นางก็ยังคงรู้สึกยินดี
ความอบอุ่นบางๆ โอบล้อมหัวใจของนาง
เพราะว่านางยุ่งกับการฝังเข็ม ทำให้เมื่อเช็ดเหงื่อเสร็จแล้วนางก็นำผ้าเช็ดหน้าที่ปักลายกล้วยไม้ดอกหนึ่งนั้นเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจนัก
คิดว่าเมื่อซักเสร็จแล้วจะนำไปคืนให้กับม่อเวิ่นเฉินในภายหลัง
นางอยากบอกมารดาของตนเหลือเกินว่าบุตรสาวได้หาความสุขของตนพบแล้ว
ตอนนี้ในใจของนางมีความอบอุ่นความสุขและความพึงพอใจอย่างที่หลายปีนี้มิเคยได้รู้สึกมาก่อน
นางใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามเต็มในการที่จะขับพิษในร่างกายของเหลยอวี๊เฟิงให้ออกไปจนหมดใบหน้าของซูฉีฉีเป็สีขาวซีดจางๆ เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้วนางและม่อเวิ่นเฉินล้วนอยู่เฝ้าข้างเตียงของเหลยอวี๊เฟิง คอยเฝ้าดูสีหน้าการเปลี่ยนแปลงของเขา
แม้ว่าพิษจะได้รับการขับออกไปแล้วแต่ว่าอวัยวะภายในของเขาก็ได้รับความเสียหายไปแล้วเช่นกันด้วยเหตุนั้นจึงจำเป็ต้องคอยเฝ้าดูสีหน้าของเขา ไม่อาจเพิกเฉยหรือวางใจได้เป็อันขาด
เหลิ่งเหยียนได้สั่งให้คนเตรียมอาหารมาให้พวกเขาแล้วอีกทั้งเขายังเฝ้าอยู่นอกประตูด้วยตนเองต่อให้ตอนนี้ลูกน้องของม่อเวิ่นเสวียนได้ถอยกลับไปหมด ไม่มีนักฆ่าแล้วแต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าวางใจ
ยังไงเสียการสู้รบในครั้งนี้ คนในยุทธภพก็าเ็ล้มตายไปไม่น้อยอาจมีคนของพรรคใดเดินทางมาแก้แค้นได้
เพราะฉะนั้นพวกเขาจำเป็ต้องระวังให้มาก
ม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่ใช่คนที่เหิมเกริมและหยิ่งทะนงเขามักรู้เสมอว่าการระวังตัวอย่างรอบคอบเท่านั้นที่จะทำให้อยู่รอดปลอดภัยและเพราะว่าเขาเป็เช่นนี้ ทำให้ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด
จนกลายเป็ที่เลื่องลือว่าเขาเป็ผู้ที่มิเคยพ่ายกลายเป็ตำนานและกลายเป็เทพแห่งาในหัวใจของประชาชน
“ฉีฉีเ้าไปพักก่อนเถิด” เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทแล้วม่อเวิ่นเฉินก็มองไปที่ซูฉีฉีอย่างสงสารพลางเอ่ยออกมาเสียงเบา
นิ้วมือเรียวยาวลากผ่านเส้นผมของนาง
ซูฉีฉีที่กำลังง่วงงุนอยู่นั้นก็มีสติขึ้นมาทันทีนางส่ายศีรษะ “ข้าจะอยู่ด้วยกันกับท่าน”
สีหน้าของนางมุ่งมั่น
ม่อเวิ่นเฉินเองก็รู้ว่าเื่ที่สตรีผู้นี้ตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอันใดต่อทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ และนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลังของนางเงียบๆ
สีหน้าของเหลยอวี๊เฟิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นกลับมาเป็ปกติแล้วคงเหลือไว้แค่ความขาวซีดเล็กน้อยรอยแผลจากแส้บนใบหน้าถูกทำความสะอาดและทายาเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าคงไม่ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาต้องเสียหายอย่างแน่นอน
แผลบนร่างกายของเขาล้วนมีม่อเวิ่นเฉินเป็คนลงมือทายาด้วยตนเองซูฉีฉีนั้นได้ปรุงยาตามสภาพของพิษในร่างกายของเขาทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาด
“เ้าเรียนวิชาแพทย์ด้วยตนเอง?”เพื่อที่จะครองสติไว้ไม่ให้หลับ ม่อเวิ่นเฉินก็ตัดสินใจที่จะหาเื่พูดคุยกับนาง
เขาเองก็ไม่เข้าใจซูฉีฉีนัก นางเป็เสมือนปริศนาแต่มักจะนำความแปลกใจมาให้เขาอยู่เสมอ
“ใช่แล้วตอนเด็กขณะที่ข้าพักอาศัยอยู่ในจวน ท่าน...แม่ของข้าไม่ได้เป็ที่โปรดปรานเพราะฉะนั้นจึงต้องอยู่อาศัยที่เรือนเล็กด้านหลังเท่านั้นไม่มีอาจารย์มาสอนข้าอ่านหนังสือ พิณ หมาก กาพย์กลอนยิ่งมิต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นมีเพียงมารดาที่สอนให้ข้ารู้หนังสือนางเองก็เป็คุณหนูจากตระกูลผู้ดี
ตอนนั้นข้าไม่มีอันใดให้ทำเลยมุ่งมั่นอยู่กับการเรียนหนังสือในจวนก็ไม่มีหนังสือตำราให้ข้าอ่าน หาพบเพียงตำราแพทย์บางส่วนเพื่อที่จะรู้จักตัวหนังสือเพิ่มขึ้น ทุกวันข้าก็จะอุ้มตำราแพทย์วิ่งไปมาผ่านไปนานเข้า ข้าก็ชื่นชอบในวิชาแพทย์ สิบกว่าปีมานี้ก็ทำให้ข้าสะสมความรู้วิชาแพทย์มาได้จำนวนมาก”
บนใบหน้าของซูฉีฉีประดับด้วยรอยยิ้มจางๆนางพูดพลางย้อนนึกถึงอดีต
นางคิดถึงเมื่อตอนที่ตนเองยังเด็กและใช้ชีวิตเคียงคู่กับมารดาของตนคิดถึงฝีมือพิณที่ไร้ผู้เทียมทานของนาง ฝีมือการวาด...
ทุกอย่างของนางล้วนมีเซี่ยเสี่ยวเตี๋ยเป็ผู้มอบให้แม้ว่าใบหน้าของนางจะธรรมดาทั่วไป หาได้มีรูปโฉมงามล้มแผ่นดินไม่อีกทั้งยังไม่มีท่วงท่าที่มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน แต่นางก็มิได้สนใจ
แน่นอนว่าม่อเวิ่นเฉินเองก็มิได้สนใจ
“แค่กๆ...”
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเหลยอวี๊เฟิงที่นอนอยู่บนเตียงก็เริ่มไอออกมา ทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นเบื้องหน้า
ซูฉีฉีรีบยกมือขึ้นกดทาบชีพจรของเหลยอวี๊เฟิงโดยทันทีก่อนที่นางจะขมวดคิ้วเบาๆ “พวกเราต้องรีบกลับเมืองอ้าวโดยเร็ว ยาที่ข้าพกมานั้นยื้อไว้ได้ไม่นานนักร่างกายของเขาอ่อนแอมาก อย่างน้อยต้องทำการรักษาเป็เวลาหนึ่งเดือน”
ม่อเวิ่นเฉินพยักหน้าก่อนจะเริ่มครุ่นคิดเขาหันไปมองแสงจันทร์ยามค่ำคืนด้านนอกดวงจันทร์ในฤดูหนาวเช่นนี้ช่างดูเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก “เอาอย่างนี้ พวกเราอ้อมไปทางสำนักเหลยเถิด เช่นนั้นสามารถประหยัดเวลาได้มาก”
“ก็ดีเหมือนกัน” ซูฉีฉีไม่มีความคิดเห็นใดอื่นสำหรับนางแล้วไปที่ไหนก็ล้วนไม่สำคัญที่สำคัญคือการที่ในใจของม่อเวิ่นเฉินตอนนี้มีนางอยู่ แค่นั้นก็พอแล้ว
เมื่อพวกเขาเอ่ยเสร็จด้านนอกก็มีเสียงกระทบกันของอาวุธดังขึ้น
ม่อเวิ่นเฉินที่มีสีหน้าอ่อนลงในตอนแรกได้ปรากฏความเยือกเย็นบนดวงตาขึ้นทันทีเขารีบลุกขึ้น คว้าดาบไว้ในมือและผลักประตูออกไป
เหลิ่งเหยียนกำลังประมือกับคนชุดดำกลุ่มหนึ่งนักฆ่ารอบนี้รับมือยากกว่าครั้งก่อนๆกระทั่งเหลิ่งเหยียนยังรู้สึกเปลืองแรงไม่น้อย
จำนวนคนไม่มากนักม่อเวิ่นเฉินกวาดสายตาเย็นๆ ดูรอบหนึ่ง มีเพียงสิบคนเท่านั้น
ในมือของทุกคนถือดาบยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ดาบเ่าั้สะท้อนความหนาวเย็นออกมาผ่านแสงจันทร์ยามค่ำคืน
สิบคนนั้นเรียงตัวกันเหมือนกำลังตั้งค่ายกลและกักขังเหลิ่งเหยียนเอาไว้ด้านใน
พลังของสิบคนนั้นทับซ้อนกันขณะพุ่งโจมตีเหลิ่งเหยียนทำให้ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่ป้องกัน ไม่อาจโจมตีกลับได้
สถานการณ์ดูอันตรายมาก
ม่อเวิ่นเฉินมิได้ลังเลแม้แต่น้อยเขาชักดาบออกมาและพุ่งตัวเข้าไปในสมรภูมิด้านหน้าทันที
แม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะไม่รู้ว่านี่เป็ค่ายกลอะไรแต่ว่าด้วยความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์ของเขาแล้วผ่านไปไม่กี่ครั้งเขาก็สามารถหาทางทำลายค่ายกลนี้ลงได้ดาบยาวแทงทะลุออกไปในภาพมายาที่เหมือนจริงตรงหน้าทำให้หนึ่งในคนเ่าั้ลอยกระเด็นตกลงไปบนพื้น!
ดาบยาวได้แทงทะลุท้องของคนชุดดำนั้นทันที...
เมื่อคนสิบคนขาดไปหนึ่งแล้วตรงมุมของค่ายกลก็เริ่มปั่นป่วน
เหลิ่งเหยียนและม่อเวิ่นเฉินเองก็เริ่มลงมือสังหารแล้วเช่นกัน
ซูฉีฉีที่อยู่ในห้องนั้นมิได้ขยับแต่กลับยังคงนั่งเฝ้าอยู่ด้านข้างเหลยอวี๊เฟิงนิ่งๆนางฝังเข็มให้เขาเพื่อลดคลายความเ็ปพลางลอบฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกประตู
เพียงแต่ว่าแสงเงินแวบผ่านหน้าของนางยังมิทันที่นางจะได้เงยหน้าขึ้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็ได้ะโผ่านหน้าต่างเข้ามาแล้วดาบในมือของเขาสะท้อนแสงเงินอันหนาวเย็นขึ้นก่อนจะพุ่งแทงมาทางตำแหน่งหัวใจของนาง
นางเข้าใจขึ้นมาโดยทันทีว่าเป้าหมายของนักฆ่าครั้งนี้ก็คือนาง ซูฉีฉี
นางมิได้ร้องะโและมิได้ตื่นใทำเพียงแค่รีบปลีกตัวหลบดาบที่แทงเข้ามาหมายปลิดชีวิตของตนแต่ว่าท่วงท่าของนางก็ยังคงช้าไปเล็กน้อย รอยเืได้ทิ้งไว้บนเสื้อของนางเสียแล้ว
ดาบยาวได้ลากผ่านตรงตำแหน่งหัวใจของนางเป็รอยเืยาวๆเส้นหนึ่ง
เข็มทองที่อยู่ในมือของนางลอยออกไปอย่างรวดเร็วนางเพียงหวังว่านี่จะเป็การถ่วงเวลาในการลงมือของศัตรูได้
รอจนม่อเวิ่นเฉินจัดการภายนอกจนเรียบร้อยแล้วเขาก็จะกลับมาเอง
เหลยอวี๊เฟิงที่แต่เดิมกำลังนอนหลับอยู่นั้นก็ลืมตาขึ้นมาเข็มทองที่ปักอยู่ในร่างของเขายังมิได้เอาออกเขาพลิกตัวนั่งก่อนจะหยิบเอาดาบยาวข้างหัวเตียงของตน ออกแรงแทงไปที่ชายชุดดำที่บุกเข้ามาดาบเคลื่อนไหวดุจอสรพิษพุ่งเข้าโจมตีชายชุดดำในทันที
คนชุดดำกำลังไล่ตามซูฉีฉีแต่กลับคิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีการลอบทำร้ายเกิดขึ้นเขารีบดึงดาบกลับมาเพื่อยกขึ้นต้านดาบยาวของเหลยอวี๊เฟิง
ดาบทั้งสองปะทะกัน ส่งเสียง “แกร๊ง” ออกมาดังสนั่น
จากนั้นดาบในมือของเหลยอวี๊เฟิงก็ร่วงหล่นไปบนพื้นดวงตาของคนชุดดำฉายแววเยือกเย็นก่อนจะพุ่งโจมตีเหลยอวี๊เฟิงที่ใช้เรี่ยวแรงเมื่อครู่ไปจนหมดแล้ว
“รับกระบวนท่า...”ซูฉีฉีคิดไม่ถึงว่าเหลยอวี๊เฟิงจะตื่นมาในเวลานี้และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือซ้ำคนชุดดำยังเปลี่ยนเป้าหมายจากนางเป็เหลยอวี๊เฟิงแทน
ในสถานการณ์ที่ร้อนรนเช่นนี้ซูฉีฉีก็ะโออกมาก่อนที่เข็มทองกว่าสิบเล่มในมือจะถูกปาออกไป
ร่างของคนชุดดำนิ่งค้างไปมีเข็มทองบางเล่มแทงทะลุเข้าไปในร่างกายของเขาแต่เป็เพราะว่ามีระยะห่างอยู่บ้างทำให้ซูฉีฉีมิอาจคาดเดาจุดในร่างกายเขาได้แม่นยำนักทำได้เพียงแค่ซัดออกไปมั่วๆ
เพราะว่าถูกโจมตีด้วยเข็มทองทำให้คนชุดดำหยุดการกระทำของตนไปชั่วขณะเขาก็ได้ยินถึงข่าวลือเกี่ยวกับาอันหนักหน่วงเมื่อยามกลางวันและยังได้ยินว่าซูฉีฉีใช้เพียงเข็มเล่มเดียวก็ปลิดชีวิตของยอดฝีมือในยุทธภพไปได้คนหนึ่ง
ตอนนี้เขากลัวว่าตนจะถูกพิษจนถึงแก่ชีวิตทำให้เร่งรีบถอยกลับไป
เมื่อเห็นว่ามีช่องว่างของจังหวะแล้วซูฉีฉีก็รีบพุ่งตัวไปที่ด้านหน้าเตียงของเหลยอวี๊เฟิงใช้ร่างกายของตนคุ้มกันเขาเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้ถูกการโจมตีของคนชุดดำ
ทำให้เหลยอวี๊เฟิงที่กำลังหรี่ตาอยู่นั้นตัวเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเขานอนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าซูฉีฉีจะยอมใช้ชีวิตของตนมาช่วยเขา
เมื่อครู่ช่างอันตรายยิ่งนัก
ถ้าหากมิใช่เพราะชื่อเสียงของนางที่ทำให้คนชุดดำผู้นี้กลัวว่านางจะใช้พิษแล้วการตอบโต้เมื่อครู่ของคนชุดดำต้องพรากเอาชีวิตของซูฉีฉีไปแน่