มิต้องรอให้ซูฉีฉีเอ่ยเสร็จ เหลิ่งเหยียนก็ได้พลิกตัวม่อเวิ่นเฉินไปนอนลงบนเตียงแล้วสีหน้าแต่เดิมที่เรียบนิ่งดุจขอนไม้ ในตอนนี้ก็ดูเ็ามากยิ่งขึ้น
มิเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่น้อย
ซูฉีฉีเก็บเอากล่องยาที่ม่อเวิ่นเฉินได้ปาออกไปก่อนที่จะโดนพิษจากนั้นนางก็รีบหาเข็มทองที่อยู่ด้านในนางไม่มีเวลามาคำนึงถึงอะไรมากแล้วจึงรีบทำการถอดเสื้อคลุมตัวยาวของม่อเวิ่นเฉินออก
จากนั้นนางก็ได้ใช้ความสามารถในการฝังเข็มที่แม่นยำของตนในการฝังลงไปปิดกั้นทางไหลเวียนของโลหิตสู่หัวใจเอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันมิให้พิษไหลเข้าไปถึงด้านล่างของหัวใจได้
เหลิ่งเหยียนยืนนิ่งอยู่ด้านข้างขณะที่สายตาจับจ้องไปทางมือที่กำลังขยับไปมาอย่างลนลานของซูฉีฉี
นิ้วมือของนางขยับอย่างคล่องแคล่ว เพียงพริบตาเดียวเข็มสิบกว่าเล่มได้ปักลงไปที่จุดบนร่างกายของม่อเวิ่นเฉินเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
แสงเทียนขยับไปมาสะท้อนให้เห็นถึงเข็มทองหลายสิบเล่ม
เพียงไม่กี่วินาทีบนหน้าผากของซูฉีฉีก็มีเหงื่อผุดเต็มไปหมด เม็ดเหยื่อค่อยๆ หยดลงทีละเม็ดๆ
นางไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาสักครั้งเดียวพลางจับจ้องไปบนมีดบินที่ปักอยู่เต็มหลังของม่อเวิ่นเฉิน
นางได้ปิดกั้นการไหลของโลหิตแล้วต่อจากนี้ก็มีเพียงแต่ต้องดึงเอามีดบินอาบพิษพวกนี้ออก
บนหลังของม่อเวิ่นเฉินนั้นมีมีดบินปักอยู่ถึงยี่สิบกว่าเล่มแม้ว่าจะแทงเข้าผิวเนื้อของเขาไม่ลึกเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงเป็ภาพที่น่าสะพรึงกลัว
ทำให้แขนของซูฉีฉีสั่นระริกอยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางฝังเข็มให้กับม่อเวิ่นเฉินแต่ว่าครั้งนี้นางกลับรู้สึกหวาดกลัวแล้ว นางกลัวกลัวว่าม่อเวิ่นเฉินจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
และเพราะว่าความกังวลใจนี้ทำให้หัวใจของนางยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น
นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของตนซูฉีฉีพยายามบังคับตนเองให้สงบลงพลางหยิบเข็มทองขึ้นมาเล่มหนึ่งแทงเข้าไปที่แขนทั้งสองข้างของตนเพื่อให้ความเ็ปนี้ดึงสติของนางกลับมา
เหลิ่งเหยียนที่เห็นการกระทำทั้งหมดของซูฉีฉีนั้นยังคงมีสีหน้าเ็าเช่นเดิม
ถ้าหากม่อเวิ่นเฉินมิอาจฟื้นขึ้นมาได้เขาจะต้องสังหารซูฉีฉีลงอย่างแน่นอนจากนั้นก็นำนางไปฝังไว้ด้วยกันกับเ้านายของเขา
ในเวลานี้ เหลิ่งเหยียนมีเพียงความคิดเช่นนี้เท่านั้น
ซูฉีฉีหยิบมีดสั้นขึ้นและนำมันไปเผาบนไฟของเทียนไขมือของนางยังคงสั่นอยู่
เม็ดเหงื่อของนางก็เริ่มหยดลงอีกครั้ง
“มีสุราไหม?”
ซูฉีฉีจับด้ามของมีดสั้นไว้แน่นกำลังเตรียมที่จะกรีดลงไปบนิัที่ถูกมีดบินปักอยู่ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนและสูดหายใจเข้าลึกๆ นางกำลังตื่นกลัวเป็ความตื่นกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน
แค่เพียงเพราะนางเริ่มจะห่วงใยบุรุษตรงหน้าเข้าแล้ว
เพราะว่าห่วงใยเกินไปจึงกลับกลายเป็ภาระของจิตใจไปแล้ว
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นขวดสุรามาให้กับนาง คนคนนั้นคือเหลิ่งเหยียนที่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังมิได้เอ่ยคำใดๆ ออกมาแม้แต่คำเดียว
เขาสงบเงียบมาก เงียบเสียจนน่ากลัว
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ห้องด้านข้างนั้นได้สลบไปั้แ่แรกแล้วยังดีที่เป้าหมายของนักฆ่าในครั้งนี้ไม่ใช่เขามิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเขาจะร้ายมากกว่าดี
ซูฉีฉีรับขวดสุราไปก่อนจะแหงนหน้าขึ้นกระดกดื่มคำโต
นางกำลังเพิ่มความกล้าให้กับตนเอง
จากนั้นนางก็สาดสุราลงบนหลังที่เต็มไปด้วยมีดบินอาบพิษบนหลังของม่อเวิ่นเฉินด้วยมือที่กำลังสั่นผิวของเขานั้นเดิมเป็สีทองแดง แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เป็สีเขียวจางๆ แล้ว
คิดไม่ถึงว่าพิษของมีดบินจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
ยังโชคดีที่ซูฉีฉีนั้นรู้วิชาแพทย์ ถ้าหากต้องรอเชิญหมอมาถึงนั้นเกรงว่าจะสิ้นชีพลงเสียก่อนแล้ว
ซูฉีฉีกัดฟันแน่นก่อนจะแข็งใจตนเองมือที่จับมีดของนางนั้นไม่ได้สั่นอีกต่อไป นางกรีดดาบลงไปด้วยความรวดเร็วเมื่อยกมีดขึ้นนั้นมีดบินที่ติดผิวเนื้อนั้นก็ได้ร่วงหล่นลงในถาดน้ำด้านข้างเสียแล้ว
ในขณะที่กรีดดาบลงไปนั้นม่อเวิ่นเฉินที่กำลังสลบไม่ได้สติอยู่นั้นก็ส่งเสียงออกมาเบาๆแต่ว่าเขาก็ยังคงไม่ได้สติ
และซูฉีฉีที่ได้กรีดดาบลงไปด้วยความเร็วสูงนั้นก็มีเม็ดเหงื่อหยดลงออกมาจากหน้าผากจำนวนมากเสมือนเม็ดฝนที่กำลังตกกระหน่ำก็มิปาน
เหลิ่งเหยียนก็กำลังมองซูฉีฉีดึงเอามีดบินอาบพิษออกจากตัวของม่อเวิ่นเฉินล้างพิษ และก็พันแผลจนเรียบร้อย ในใจของเขาก็ยังไม่อาจสงบลงได้ทว่านอกจากความตื่นกลัวในตอนแรกแล้วนั้นก็ไร้ซึ่งความกังวลใจอีกต่อไป
เสมือนว่าเขาเชื่อ ขอเพียงมีซูฉีฉีอยู่ต่อให้าแจะสาหัสแค่ไหนก็สามารถรักษาได้
อีกทั้งซูฉีฉีในตอนนี้ยังเป็ห่วงเป็ใยท่านอ๋องของเขานางจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถแน่นอน
ผ่านไปสิบห้านาทีแล้วแผลบริเวณหน้าอกของซูฉีฉีนั้นยังคงมีเืไหลซึมออกมาหน้าผากของนางยังคงมีเม็ดเหงื่อไหลอยู่ แม้ว่าตอนนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วเสื้อผ้าของนางยังคงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางได้พยายามบังคับให้ตัวเองสงบลงแล้วและพยายามมองคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็เพียงคนแปลกหน้าเท่านั้น
ขอแค่รักษาเขาจนหายดีได้ก็พอ
นางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตนจากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ในที่สุดก็ได้ดึงเอามีดบินอาบพิษยี่สิบกว่าเล่มบนหลังของม่อเวิ่นเฉินออกมาจนหมดแล้วอีกทั้งยังมิได้ทิ้งหัวของมีดบินไว้ในผิวเนื้อของเขาอีกด้วย
ต่อไปก็ถึงคราวที่ต้องถอนพิษแล้ว
พิษที่ธรรมดาทั่วไปเช่นนี้สำหรับซูฉีฉีแล้วการผสมยาถอนพิษนั้นไม่ใช่เื่ยากอันใด
เพราะฉะนั้นหลังจากนี้นางก็มิจำเป็ต้องรู้สึกตื่นกลัวเช่นนั้นอีกนางมองไปที่ม่อเวิ่นเฉินที่กำลังนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นและเผยเพียงใบหน้าด้านข้างออกมาในใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น ครั้งนี้นางหวั่นไหวแล้วจริงๆ
เพราะว่าบุรุษผู้นี้ได้ใช้ชีวิตของตนมาช่วยเหลือนาง
อีกทั้งคนผู้นี้ยังปากแข็งอีกด้วยความจริงแล้วเขาเป็ห่วงนางมาก แต่กลับคอยพูดจาด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็นซ้ำยังชอบใช้อารมณ์อีกด้วย
มุมปากของนางปรากฎรอยยิ้มออกมาจางๆซูฉีฉีมีสีหน้าพึงพอใจขณะกำลังเปิดกล่องยาเพื่อเริ่มผสมยาถอนพิษ
เหลิ่งเหยียนที่เห็นทุกอย่างในสายตานั้นก็อยากจะยิ้มออกมาเช่นกันดูเหมือนว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้เป็การตัดสินใจที่ถูกต้องขอเพียงท่านอ๋องและพระชายามีใจไปในทางเดียวกันเมืองอ้าวจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะไม่้าชิงราชบัลลังก์ แต่ว่าหากมีพละกำลังคุ้มครองจากเมืองอ้าวม่อเวิ่นเสวียนก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก
ได้รับบทเรียนครั้งนี้คิดว่าในเวลาอันสั้นนี้เขาคงจะไม่กล้าลงมือทำอะไรมากนัก
ความจริงแล้วเขาก็นับถือซูฉีฉีสตรีผู้ที่บอบบางอ่อนแอคนหนึ่ง มักจะคอยทำให้สถานการณ์ของสนามรบพลิกผันปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ นี่ไม่ใช่อะไรที่ใครก็ตามคิดจะทำก็ทำได้
เพราะนี่เป็สิ่งที่ต้องใช้ความกล้าหาญและสติปัญญาอย่างมหาศาล
เห็นได้ชัดว่าพระชายาของติ้งเป่ยโหวผู้นี้นั้นมีปัญญาที่เฉียบแหลมยิ่ง
จนกระทั่งซูฉีฉีได้ให้ม่อเวิ่นเฉินกินยาถอนพิษแล้วนางถึงได้เอ่ยไล่เหลิ่งเหยียนออกไป นางจัดการาแตัวเองอย่างลวกๆความจริงแล้วเมื่อครู่ที่นางเหงื่อออกมาไม่หยุดนั้นหนึ่งเป็เพราะว่าความตื่นตระหนกสองเป็เพราะว่าทุกการขยับของร่างกายล้วนแต่จะทำให้แผลบริเวณหน้าอกของนางต้องฉีกตัวทำให้นางเจ็บจนปวดทรมานยิ่งนัก แต่นางก็ทำเพียงได้แค่อดทนเอาไว้
นางมิได้เป่าเทียนไขให้ดับภายใต้แสงเทียนนั้นนางก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของม่อเวิ่นเฉิน นี่ก็ถือเป็ความสุขอย่างหนึ่ง
เดินทางผ่านสำนักเหลยนั้นทำให้ระยะทางการเดินทางกลับเมืองอ้าวนั้นใกล้ขึ้นมากอีกทั้งทางถนนนี้ยังมิได้ขรุขระเป็เนินมากนักเพราะฉะนั้นระหว่างทางซูฉีฉีก็คอยดูแลม่อเวิ่นเฉินและเหลยอวี๊เฟิงพลางชื่นชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกรถม้าไปด้วย
แม้ว่าจะเป็ฤดูหนาวแต่ว่ายิ่งเข้าใกล้สำนักเหลยมากขึ้นเท่าใด อุณหภูมิก็เหมือนจะอบอุ่นมากขึ้น
เหลยอวี๊เฟิงแม้จะาเ็อย่างหนักแต่ว่ายาของซูฉีฉีนั้นกลับได้ผลเป็อย่างมากตอนนี้เขาสามารถพูดคุยหัวเราะหยอกล้อได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถแสดงท่าทางกะล่อนเสเพลเฉกเช่นเมื่อก่อนได้แล้ว
ทว่าดวงตาของเขายังคงฉายแววเสมือนไม่้าให้ผู้ใดเข้าใกล้ทั้งสิ้น
จุดนี้ซูฉีฉีเห็นได้อย่างชัดเจน
ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันคนผู้นี้ได้ช่วยนางเอาไว้ ทว่าเมื่อพบกันอีกครั้ง เขากลับไม่เคยเอ่ยมันออกมา
และซูฉีฉีเองก็ไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็เพราะเหตุใดกันแน่
ครั้งนี้ นางช่วยชีวิตเขาก็ถือว่าเป็การทดแทนบุญคุณแล้วกัน
นี่เป็ความคิดของซูฉีฉี
เหลยอวี๊เฟิงจะคิดอย่างไรนั้นซูฉีฉีก็มิได้เก็บมาใส่ใจ
“เวิ่นเฉินถ้าหากว่าวันนั้นข้าจะฆ่าม่อเวิ่นเสวียน เ้าจะว่าข้าหรือไม่?” รถม้าโยกเยกไปมาทันใดนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง
ม่อเวิ่นเฉินที่เอนพิงอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้าก็เอียงสายตาไปมองเขาแวบหนึ่ง “เ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก”
“เื่นั้นก็ไม่แน่นัก” เหลยอวี๊เฟิงมีสีหน้าไม่ยอมแพ้ท่าทางประหนึ่งจะลองเสียให้ได้
ซูฉีฉีทำเพียงแค่เอนตัวพิงเข้ากับขอบหน้าต่างนางมิได้มองไปที่บุรุษทั้งสองแต่กลับมองออกไปด้านนอก บนสนทนาระหว่างพวกเขานางไม่อยากจะเข้าร่วม แม้ว่านางจะเห็นด้วยกับความคิดของเหลยอวี๊เฟิงก็ตาม
นางคิดว่า ขอเพียงม่อเวิ่นเสวียนตายไปทุกอย่างถึงจะกลับมาสงบอย่างแท้จริง
อีกทั้งยังมีการตายของมารดานางยิ่งทำให้นางเกิดความเกลียดแค้นทั้งต่อซูชือฉางและม่อเวิ่นเสวียน
ม่อเวิ่นเฉินส่ายศีรษะพลางมองไปที่เหลยอวี๊เฟิง “ถ้าหากเ้าฆ่าเขาได้ จะยังนอนอยู่ตรงนี้อีกหรือ?”
ทั้งสองคนมักจะเป็เช่นนี้ เมื่อเริ่มคุยกันก็มักจะคอยเอ่ยวาจาหาเื่ต่อกันและกันตอนนี้ม่อเวิ่นเฉินนั้นอารมณ์ดีมาก พิษในร่างกายได้ถูกถอนไปจนหมดแล้วขอบตาเขาเหลือบไปมองใบหน้าของซูฉีฉี ภายในดวงตาฉายแววแห่งความพึงพอใจออกมาไม่น้อย
เพราะฉะนั้นเขาจึงเริ่มพูดจาสะกิดแผลเก่าของเหลยอวี๊เฟิงเสียแล้ว
“เ้า...”เหลยอวี๊เฟิงมีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที ดูท่าเขาจะโมโหไม่น้อยเขากัดฟันแน่นแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงเบื้องหน้านี้ได้ “ถ้าหากมิใช่เพราะฮ่องเต้สารเลวคนนั้นวางกับดักกับข้ามีหรือที่ข้าจะตกอยู่ในมือของพวกเขาได้”
เมื่อคิดถึงเื่นี้ โทสะเขาก็พุ่งทะยานออกมา
เขาเหลยอวี๊เฟิงผู้เฉลียวฉลาดมาโดยตลอดกลับเลอะเลือนเพียงชั่ววูบ ดันเหยียบเข้าไปในกับดักเสียได้
มิเพียงคุ้มครองมารดาของซูฉีฉีเอาไว้ไม่ได้ แต่ยังถูกผู้อื่นจับไปเป็ตัวประกันอีก
คิดแล้วก็น่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก