จริงๆ แล้ว ไม่ว่าหลิวเยว่จะใส่ใจดูแลฉีเจิ่งมากเพียงใด แต่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่มียาที่ได้ผล จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีการสั่งยาให้ถูกต้อง นางจึงรู้ว่าฉีเจิ่งไม่มีทางดีขึ้น เขาเหมือนกับผู้ป่วยติดเชื้อทางตอนใต้ของเมือง เหมือนกับบิดามารดาของเขา ไม่มีทางรอดได้
บางครั้ง นางตื่นขึ้นมาในความฝัน เสียงร้องของฉีเจิ่งยังอยู่ในหัวของนาง บางครั้งนางก็จะได้ยินเสียงร้องของทารกดังขึ้นเป็ระยะๆ เสียงร้องนั้นมันส่งผลไปยังกล้ามเนื้อแขนขาของนาง ทำให้นางรู้สึกวิตกกังวลและปวดใจยิ่งนัก
เสียงร้องของทารกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จากนั้นเสียงร้องก็หายไปไม่ได้ยินแล้ว
ใน่เช้าตรู่นางก็ได้ยินเสียงของเตี๋ยเย่
“ฉีเจิ่งไปั้แ่เมื่อคืนวานแล้ว”
เมื่อนางได้ยินข่าวตอนนั้น นางก็ไม่อาจขยับตัวบนเตียงได้เลยกว่าครึ่งวัน ร่างกายของนางเบาหวิว รู้สึกวูบไหวขึ้นลง นางไร้เรี่ยวแรง อยากจะไปดูฉีเจิ่งเป็ครั้งสุดท้าย แต่ตอนที่นางลุกขึ้น นางก็เวียนศีรษะจนหมดสติไป
ในขณะที่อยู่ในภวังค์ ราวกับมีมือนับไม่ถ้วนดึงนางเอาไว้ และใบหน้าจำนวนมากก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง มีกู้หนานเฟิงที่ดูกังวล เตี๋ยเย่ที่ดูเป็ห่วง ยังมีเหย่เลี่ยที่มีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม อวิ๋นซู่ที่ท่าทางเดือดดาล และโจวเฉิงิที่ดุด่าด้วยรอยยิ้ม
“หลิวเยว่ เธอไปตายที่ไหน”
ดูเหมือนนางจะเห็นโจวเฉิงิกำลังดุนางด้วยรอยยิ้ม
“หลิวเยว่ เธอไปตายที่ไหน” นี่นางกลับไปยังยุคปัจจุบันแล้วหรือ? นางตื่นขึ้นมาด้วยความใ เมื่อลืมตาขึ้นก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ
มีเตียงหลังใหญ่ บนโต๊ะไม้กลมสีแดงเข้มปักดอกไม้สีม่วงอยู่ตรงหน้านาง รองเท้าปักของนาง เสื้อผ้าของนาง โอ้ นางยังคงอยู่ในราชวงศ์ทง ยังอยู่ในเมืองตั้งหยาง ข้างกายนางก็คือกู้หนานเฟิงที่ยืนอยู่สีหน้าเคร่งขรึม และเตี๋ยเย่ที่นิ่งเงียบ
นางอยากจะพูด แต่คอของนางกลับร้อนผ่าว แน่นหน้าอก และปวดศีรษะตุบๆ จู่ๆ นางก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับนาง นางติดเชื้อโรคระบาดแล้ว
มิน่าเล่า สีหน้าของกู้หนานเฟิงในเวลานี้ไม่เพียงเคร่งขรึมเท่านั้น แต่ยังเศร้า แม้เตี๋ยเย่จะเงียบสงบ แต่นางมีความกังวลปรากฏในสายตาของนาง แม้หลิวเยว่จะคิดว่าไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่เมื่อเห็นพวกเขาเป็แบบนี้ก็ทำให้ใจของนางอ่อนลง พยายามยิ้มให้พวกเขา และพยายามพูดออกไป
“ข้าไม่เป็ไร ไม่ต้องห่วง” เสียงของนางแหบแห้งราวกับถูกถ่านเผา
กู้หนานเฟิงนั่งข้างเตียงของนาง ก่อนจะห้ามนางไม่ให้พูด
“ไม่ต้องพูด พักผ่อนก่อน เดี๋ยวยาก็เสร็จแล้ว”
เตี๋ยเย่หันหลังออกไปยกยา กู้หนานเฟิงนั่งอยู่ข้างเตียงของนาง เขาเอนตัวเข้าใกล้นางโดยไม่ลังเล ััหน้าผากของนางบ่อยๆ พลางขมวดคิ้วราวกับััได้ถึงความร้อนในตัวนาง
หลิวเยว่เหยียดมือออกไปผลักเขาออก
“เ้าออกไป อย่ามารับเชื้อโรคจากข้า ออกไป”
ขณะที่นางผลักเขา ดวงตาของกู้หนานเฟิงก็เริ่มแดงก่ำ เขาไม่เพียงไม่จากไป แต่ยังโน้มตัวกอดหลิวเยว่เอาไว้อย่างอ่อนโยนและกระซิบที่หูของนาง
“ข้าจะอยู่กับเ้า เ้าป่วย ข้าก็จะป่วย เ้าสบายดี ข้าก็จะสบายดีด้วย พวกเราจะร่วมเดินไปด้วยกัน”
เสียงของเขาไม่ดังและไม่เบามากเกินไป แต่เมื่อหลิวเยว่ได้ยิน มันเหมือนกับก้อนหินหนักอึ้งที่กดทับลงมาบนหน้าอกของนางโดยตรง ทั้งใและเ็ป คนอย่างกู้หนานเฟิงเป็คนหยิ่งยโส ทุกคนรู้ว่าเขาไร้หัวใจและโเี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหัวใจของเขานั้นลึกซึ้งเพียงใด
หลิวเยว่บังคับตัวเองให้สงบลง ก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“ข้าไม่้าให้เ้าเสียสละอะไรที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ กู้หนานเฟิง เ้าลองคิดดู สถานะและความรับผิดชอบของเ้าในเมืองเทียนเฉิง เ้าต้องแบกรับชีวิตคนนับหมื่น ยังต้องคอยสนับสนุนอัครมหาเสนาบดีกู้และพระสนมซิน สำหรับข้า สตรีที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเ้า มันคุ้มค่ากันหรือ อย่าโง่ไปหน่อยเลย รีบออกไปเถอะ”
คำพูดจากใจของหลิวเยว่ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้กู้หนานเฟิงขยับ กลับทำให้เขาหัวเราะและลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงปกติ
“หลิวเยว่ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเ้าเป็สตรีแบบใดกัน ไม่กลัวความตายก็ช่างเถอะ แต่เ้า? ต่อให้ตายต่อหน้าเทพเซียนก็ยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว และยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของข้าได้อย่างใจเย็น ข้าอยากให้เ้าร้องไห้ในอ้อมแขนของข้าเหมือนสตรีคนอื่นๆ แล้วบอกกับข้าว่าได้โปรดอย่าจากข้าไป มันควรต้องเป็แบบนั้นไม่ใช่หรือ?”
เมื่อเห็นเขาเป็เช่นนี้ หลิวเยว่ก็ตกตะลึง เขาไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตาย เขากลับสามารถพูดและหัวเราะไปด้วยได้โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“กู้หนานเฟิง เ้าทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้อะไรจากข้าหรอกนะ ไม่ว่าข้าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ ข้าก็อยู่กับเ้าไม่ได้ ถ้าเ้าตาย มันย่อมเป็การพลีชีพโดยเปล่าประโยชน์ ข้าจะไม่นึกถึงความดีของเ้า” เวลานี้หลิวเยว่รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ทว่านางยังคงกัดฟันและพูดในสิ่งที่นางต้องพูด มิใช่ว่ากู้หนานเฟิงไม่ดีพอ แต่ฐานะของเขาและฐานะของนาง มันถูกกำหนดไว้แล้ว
“จุ๊ๆ เ้า สตรีใจร้าย ข้าไม่หวังให้เ้ามามองเห็นความเมตตาของข้า เอาล่ะ อย่าพูดอีกเลย นอนพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวยาก็มาแล้ว”
ในเวลานี้เตี๋ยเย่ผลักประตูพร้อมกับยาที่อยู่ในมือ เดิมทีนางคิดจะป้อนยาให้หลิวเยว่ แต่กลับถูกกู้หนานเฟิงแย่งไป
“เ้าออกไป อยู่ให้ห่าง ต่อไปนี้ข้าจะรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง เพื่อไม่ให้พวกเ้าสองคนใกล้ชิดกันมากเกินไป” เขาบอกคนอื่นได้ แต่เขาไม่อาจทำได้
เตี๋ยเย่ย่อมไม่ฟัง เอาแต่ยืนอยู่ด้านข้าง เฝ้าดูเขาป้อนยาให้หลิวเยว่ทีละจิบ
มาคิดๆ ดูแล้ว กู้หนานเฟิงก็ไม่เลวเลย เพียงแต่ฐานะของพวกเขา...
ข่าวอาการป่วยของหลิวเยว่ถูกปิดเอาไว้อย่างสมบูรณ์ กู้หนานเฟิงและเตี๋ยเย่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้
ทุกวันนางอยู่ในอาการเซื่องซึม บางครั้งก็นอนเกียจคร้านอยู่บนเตียง บางครั้งก็ตื่นขึ้นมา บางครั้งก็เ็ปไปทั่วทั้งตัว บางครั้งก็กระปรี้กระเปร่า เมื่อความเ็ปเริ่มขึ้น นางกลับไม่ยอมปริปากส่งเสียงร้องออกมา นางกัดฟันอดทนอย่างเงียบๆ ใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อแตกพลั่กออกมาจำนวนมาก
เวลาแบบนี้ทุกครั้ง กู้หนานเฟิงจะคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมกอดและปลอบโยนนางตลอดเวลา นางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธความอบอุ่นของเขา ใน่เวลาที่เ็ปที่สุด สติของนางเริ่มเลอะเลือน และในความมืดนั้น นางเห็นโจวเฉิงิโบกมือให้นางด้วยรอยยิ้มและพูดกับนาง
“หลิวเยว่ กลับมาเร็วๆ นะ ฉันเหนื่อยแทบตาย ตอนไม่มีเธออยู่ในสตูดิโอ”
ในยุคปัจจุบันนั้น ความสัมพันธ์ของนางกับโจวเฉิงิช่างจืดชืด แต่ตอนนี้เมื่อกลับมาในยุคโบราณ เงาร่างของโจวเฉิงิมักจะปรากฏออกมาทุกครั้งที่นางเศร้าโศก จริงๆ แล้วโจวเฉิงิเป็เพียงข้ออ้าง นาง้าหวนคืนสู่ยุคปัจจุบัน
ท่ามกลางภาพเลือนรางนั้น เงาที่พร่ามัวของโจวเฉิงิ หลิวเยว่ก็ร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ ในแววตาพร่าเลือนนางก็มองเห็นอวิ๋นซู่ เหมือนว่าเขาจะยังเป็เพียงชายหนุ่ม และกำลังยิ้มมาที่นาง
ใต้ต้นสาลี่นั้น เขากอดนางและหมุนไปรอบๆ
ทว่าจู่ๆ กลับเห็นเขาอยู่บนถนน มองลงมาด้วยความภาคภูมิใจ และเสียงเขาก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ถ้าเ้าตาย ข้าจะทำให้ใต้หล้านี้กลายเป็ขุมนรกบนดิน”
ทันใดนั้นนางก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ และเมื่อนางตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวนางอยู่ในอ้อมแขนของกู้หนานเฟิง และกำลังกำเสื้อที่หน้าอกของเขาแน่น เสื้อผ้าผืนใหญ่บนหน้าอกของเขาชุ่มไปด้วยน้ำตาของนาง นางไม่รู้ว่าตนเองเผลอเรียกชื่อโจวเฉิงิหรือชื่ออวิ๋นซู่ออกไปหรือไม่ กู้หนานเฟิงก้มศีรษะและถามนางอย่างอ่อนโยน
“รู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
“อืม” นางพยักหน้าเล็กน้อย
กู้หนานเฟิงวางนางกลับลงไปบนเตียงเบาๆ
ที่จริงแล้ว ใน่กลางวันส่วนใหญ่เตี๋ยเย่จะอยู่เป็เพื่อนนาง เมื่อเรี่ยวแรงของนางเต็มเปี่ยม หลิวเยว่ก็มักจะถามเื่ของเหย่เลี่ยกับนางเบาๆ และได้รับรู้ว่าเหย่เลี่ยยังเป็นายน้อยของแคว้นเสวียน และยังคงปรารถนาจะท่องเที่ยวรอบใต้หล้า ไม่ได้มุ่งมั่นไปในเส้นทางของขุนนางในราชสำนัก เขายังคงค้นคว้าวิธีการและเคล็ดลับต่างๆ เกี่ยวกับโรคที่รักษาไม่หายทุกประเภท เตี๋ยเย่มักจะพูดน้อย แต่เมื่อนางพูดถึงนายน้อยของตนเอง นางกลับไม่อาจซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ได้ และเผลอเปิดเผยข้อมูลหลายอย่างให้หลิวเยว่ฟัง ส่วนหลิวเยว่ก็มีความสุข เพราะนี่ทำให้นางได้รู้จักเหย่เลี่ยมากขึ้น
ในตอนเย็น หลังจากที่กู้หนานเฟิงจัดการกับเื่ยุ่งๆ ในวันนี้เสร็จแล้ว เขาก็มาดูแลนางแทนเตี๋ยเย่ เพราะอาการของหลิวเยว่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กู้หนานเฟิงจึงวิตกกังวลไม่น้อย เขามักจะนั่งอยู่ใต้ตะเกียงน้ำมันตลอดทั้งคืน หลิวเยว่ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรในตอนแรก แต่ภายหลังนางก็เห็นว่าเขากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ เปิดดูบันทึกอาการป่วยต่างๆ ทีละคำ ทีละหน้า ทีละเล่ม อ่านและจดบันทึกอย่างตั้งใจ
ตะเกียงน้ำมันสะท้อนเงาของเขา จนปกคลุมหลิวเยว่ที่อยู่บนเตียง กู้หนานเฟิงที่เป็เช่นนี้ไม่ใช่คุณชายเ้าสำราญไร้หัวใจที่นางรู้จักในตอนแรก ใครบอกว่าเขาไร้หัวใจ?
เขามักจะนอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์และการพัฒนายาใหม่ๆ ตลอดคืน เพราะไม่ได้นอนหลับมาตลอดคืน ดังนั้นบางครั้งเขาจึงผล็อยหลับไปที่หน้าโต๊ะกลม หลังจากหลับไปสักพัก เขาก็ลุกขึ้นมาและเปิดหนังสืออ่านต่อ
“หลิวเยว่ ข้าจะพยายามช่วยเ้าอย่างเต็มที่”
เขาคิดว่าหลิวเยว่กำลังหลับอยู่จึงกระซิบข้างหูของนางเบาๆ บางครั้งเขาก็จะเขียนเกี่ยวกับทุกสิ่งด้วยเพราะหวาดกลัวจนเกินไป และเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นว่าหลิวเยว่ไม่ขยับ เขามักจะนั่งอยู่ข้างๆ นางด้วยความตึงเครียด ค่อยๆ สำรวจลมหายใจของนางด้วยมือของเขา เมื่อมั่นใจว่านางยังมีชีวิตอยู่ จึงกลับมานั่งที่โต๊ะกลม
แต่หลิวเยว่ไม่ได้หลับไปจริงๆ เพราะนางไม่้ารบกวนเขา จึงแสร้งทำเป็นอนหลับ ทำให้นางพบว่าจริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ดีและความเข้มแข็งของกู้หนานเฟิงในยามกลางวันนั้นเป็เพียงการแสดงออกให้นางเห็น เพื่อไม่ให้นางเป็กังวลเท่านั้น
สิ่งที่กู้หนานเฟิงทำมากที่สุดใน่สองสามวันที่ผ่านมาคือการต้มยา ต้มยาด้วยตัวเองต่อไปไม่ยอมหยุด และทดสอบยาด้วยตัวเองทุกครั้ง หลังจากพบว่าไม่มีผลข้างเคียง เขาจึงนำยานี้มาให้หลิวเยว่ดื่ม
หลิวเยว่มีอาการไอ ไข้ขึ้นและปวดไปทั้งตัว บางครั้งนางก็จะมีสติ บางครั้งก็เลื่อนลอย หลังจากดื่มยาของกู้หนานเฟิงเข้าไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการดีขึ้น วันเวลาผ่านไปอย่างสิ้นหวัง
และกู้หนานเฟิงที่ยุ่งในเวลากลางวัน ยามกลางคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ใบหน้าของเขาจึงซีดจางลง และเนื่องจากความกังวลจิติญญาของเขาจึงแห้งเหี่ยว
หลิวเยว่ทนไม่ไหวจึงต้องพูดกับเตี๋ยเย่
“เ้าคิดหาวิธีทำให้เขาหลับสบายสักตื่น หากเขาเป็แบบนี้ต่อไป ความอดทนของร่างกายจะอ่อนแอลง และเขาอาจจะติดโรคระบาดจากข้า ตอนนี้เขาไม่ติดเชื้อเพราะร่างกายเขายังแข็งแรงดี เ้าช่วยคิดหาวิธีสักหน่อยนะ”
“เ้าค่ะ” เตี๋ยเย่เห็นด้วย
สิ่งที่ทำให้หลิวเยว่พูดไม่ออกคือวิธีการของเตี๋ยเย่นั้นเรียบง่ายและหยาบคายมาก
กู้หนานเฟิงทำตามกิจวัตรประจำวันของตัวเอง หลังจากเสร็จงานที่ยุ่งเหยิงในตอนกลางวัน ตอนเย็นเขาก็เปิดประตูห้องของหลิวเยว่ ขณะที่กำลังเปิดปากถามหลิวเยว่
“วันนี้เ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่?” หลิวเยว่ยังไม่ทันจะตอบ เตี๋ยเย่ที่อยู่หน้าประตูก็ทุบไปที่คอของเขาโดยตรง ก่อนที่ร่างกายเขาจะโอนเอนและหมดสติไป
การลงมือของเตี๋ยเย่นั้นรวดเร็ว โเี้และแม่นยำ แม้แต่หลิวเยว่ผู้ซึ่งเตรียมใจไว้แล้วก็ยังตกตะลึงและเป็กังวล
“เขาจะไม่เป็ไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็ไร ปล่อยให้เขาพักผ่อนสักคืนเถอะ”
หลิวเยว่ถึงได้วางใจลง คิดว่าเตี๋ยเย่ถูกเหย่เลี่ยส่งมาเพื่อปกป้องนาง ฝีมือของเตี๋ยเย่ย่อมต้องไม่เลว ครั้งแรกที่พวกนางพบกันในหอเฟยชุ่ย นางเต้นรำและหมุนไปรอบๆ ในผ้าม่านบนเวที ตอนนั้นยังรู้สึกว่าวิชาตัวเบาของนางนั้นดีมาก ครั้งที่สองที่ได้พบกันก็คือในโรงเตี๊ยมเมืองตั้งหยางแห่งนั้น นางสังหารนักฆ่าทั้งสามคนในชั่วพริบตา เมื่อเห็นจุดฝังเข็มที่นางกดลงบนร่างกายของกู้หนานเฟิงในครั้งนี้ แม้แต่กู้หนานเฟิงที่มีไหวพริบยังไม่อาจรับมือทัน เมื่อมีนางอยู่ หลิวเยว่จึงรู้สึกสบายใจยิ่งนัก