คืนนั้นนางนอนพลิกตัวไปมาด้วยความเ็ป ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ร่างกายของนางอ่อนแอกระทั่งพลิกตัวก็ยังเหนื่อย นางสงสัยว่าตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาของนางแล้วหรือยัง?
เหตุการณ์ในอนาคตยังคงวนเวียนอยู่ในใจนาง จนกระทั่งกลางดึกเมื่อร่างกายของนางดีขึ้นเล็กน้อยนางก็ผล็อยหลับไป แต่เพิ่งผล็อยหลับไปได้ไม่นาน นางก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวอยู่บนหัวเตียงที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกชุนจิ่น
เตี๋ยเย่หรือ? นางไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ แต่คงไม่ใช่เตี๋ยเย่ เพราะร่างกายนั้นสูงใหญ่กว่าเตี๋ยเย่ และมาพร้อมกับรัศมีที่ทำให้คนรู้สึกสงบใจ
นางเอ่ยถามเสียงงึมงำ
“ใช่เหย่เลี่ยหรือไม่ เหย่เลี่ย นั่นเ้าหรือเปล่า?”
ทั้งห้องยังคงเงียบกริบไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลิ่นหอมของดอกไม้ยังคงหอมฟุ้ง จนกระทั่งนางหลับไปอีกครั้ง
จนถึงวันถัดมา ท้องฟ้านอกหน้าต่างก็สว่างแล้ว ทันทีที่นางตื่นขึ้นมาก็เห็นเตี๋ยเย่นอนอยู่ข้างเตียงของนาง ผิวพรรณของเตี๋ยเย่นั้นขาวมาก ขนตาของนางงอนยาวและใบหน้าของนางก็ดูสดใส ใบหน้าของนางดูโดดเด่นกว่าชาวเมืองราชวงศ์ทงเสียอีก หากอยู่ในยุคปัจจุบัน ใบหน้าของนางนั้นดูงดงามมาก
เมื่อหลิวเยว่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ นางรู้สึกว่าร่างกายของนางเบาขึ้นมาก ไม่หนักอึ้งเท่าเมื่อวาน อาการปวดศีรษะของนางก็ทุเลาลง แม้แต่อาการไอของนางก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่นางกำลังคิด พลันได้ยินเสียงประตูผลักเข้ามา เป็กู้หนานเฟิง เขาเอามือแตะด้านหลังศีรษะของตน ก่อนจะกล่าวด้วยความงุนงง
“แปลกมาก เมื่อคืนนี้ข้าหลับไปได้อย่างไร”
หลิวเยว่มองไปที่เขา นางนึกขำ แต่ก็พอใจที่ได้เห็นเขาฟื้นฟูพละกำลังของร่างกาย
“ชู่ เงียบหน่อย” หลิวเยว่ชี้ไปที่เตี๋ยเย่ซึ่งยังคงนอนฟุบอยู่ข้างเตียง
กู้หนานเฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่เขาเดินอ้อมไปด้านข้างของหลิวเยว่ และเอื้อมมือมาัักับหน้าผากของนางเพื่อตรวจดูว่านางยังมีไข้อยู่หรือไม่ เมื่อตรวจสอบดู เขาก็ดึงมือกลับไปทันที และแตะลงบนหน้าผากของตัวเอง ก่อนจะยื่นมือมาแตะหน้าผากของหลิวเยว่ด้วยสีหน้าใอีกครั้ง ไม่สนใจว่าเตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านข้างจะกำลังนอนหลับอยู่หรือไม่ เขายังคงเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นมาก
“หลิวเยว่ เ้าไม่มีไข้แล้ว”
ด้วยเสียงะโนี้ ทำให้เตี๋ยเย่ตื่นขึ้นมาแล้วยืนขึ้นอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร หลิวเยว่จึงแตะหน้าผากของตัวเองด้วย
“ไม่มีไข้จริงๆ ด้วย ข้าดูเหมือนจะหายดีแล้ว” นางสงสัยในท่าทีที่นิ่งสงบของเตี๋ยเย่ หางตานางเหลือบมองไปที่เตี๋ยเย่ ซึ่งกำลังบังเอิญมองนางอยู่ในขณะนี้
ในยามนี้ นางพลันเข้าใจในทันใด เมื่อคืนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาของนาง แต่เป็เหย่เลี่ยจริงๆ เขามาเพื่อช่วยนางจริงๆ และเช่นเคย ตราบใดที่นางตกอยู่ในอันตราย เหย่เลี่ยมักจะกลับมาช่วยนางอย่างแน่นอน
นางมองไปที่เตี๋ยเย่ด้วยดวงตาที่เป็ประกาย ทว่าเตี๋ยเย่ไม่ได้มามองที่นาง เอาแต่ก้มศีรษะลงและยังคงทีท่านิ่งสงบเช่นเคย
กู้หนานเฟิงเป็คนที่มีความสุขที่สุดหลังจากหลิวเยว่อาการดีขึ้น เขากล่าวว่า
“ดีมาก หลิวเยว่ เ้าโชคดีไม่ตาย เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าคิดว่าเ้าจะ…”
“อย่าพูดถึงอดีตเลย หลิวเยว่ คราวนี้เ้าจะเอาแต่ใจไม่ได้แล้วนะ ยังไงก็ตามพวกเราจะไปจากเมืองตั้งหยางทันที ข้าจัดการชาวบ้านที่นี่เรียบร้อยแล้ว”
สิ่งที่กู้หนานเฟิง เสียใจมากที่สุดคือเขาไม่ได้ยืนกรานพาหลิวเยว่จากไปก่อนประตูเมืองจะปิดลง จนทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ทุกวันนี้เขาคิดและถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลิวเยว่ พวกเขาสามารถแก้ปัญหาโรคระบาดในเมืองตั้งหยางได้หรือไม่? หรือว่ามันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง จนสุดท้ายก็ต้องตายด้วยกัน?
การเสียสละครั้งนี้มันคุ้มค่าหรือไม่?
แต่หลังจากเหตุการณ์อาการป่วยของหลิวเยว่ เขาจึงรู้สึกอย่างสุดซึ้งว่ามันไม่คุ้มค่า เพราะภัยธรรมชาติ พวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไร้มาตรการรับมือ ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต้านทาน
หากตายที่นี่ ย่อมเป็เพียงแค่การเติมเต็มความดีแก่จิตใจ นอกนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร
หลังจากเขาคิดจนกระจ่าง ดังนั้นถึงแม้หลิวเยว่จะไม่ยอมไป เขาก็จะมัดตัวนางไปเอง แต่โชคดีที่หลิวเยว่ไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่ถามเขา
“เ้าคิดวิธีบรรเทาภัยพิบัตินี้อย่างไรบ้าง?”
กู้หนานเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“สถานการณ์ทางตอนใต้ของเมืองรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีแม้แต่โอกาสให้รอดชีวิต ไม่ว่าพวกเราจะลงทุนไปมากเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์เหมือนที่ใช้ตะกร้าไม้ไผ่มีรูตักน้ำ สิ่งสำคัญที่สุดของพวกเราตอนนี้คือ รักษาชีวิตของคนทางเหนือของเมือง ขุนนางที่มีอำนาจสักหน่อยไปจากเมืองนี้ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงสั่งปิดเมือง ส่วนหมอและขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ล้วนมีคนในครอบครัวไปอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหรือคนที่ไปไม่ได้เพราะมีภารกิจอื่น ดังนั้นข้าจึงจัดการให้พวกเขามารักษาสภาพเมืองตั้งหยางในตอนนี้ให้ไปต่อได้”
กู้หนานเฟิงคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวว่า
“ตอนที่เราขนธัญพืชมายังเมืองตั้งหยาง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด พวกเราจึงแบ่งธัญพืชไว้ในยุ้งฉางคนละยุ้งฉาง ตอนนี้ธัญพืชที่ซ่อนอยู่เ่าั้เปรียบเสมือนกับขุมทรัพย์ และเป็รางวัลอย่างหนึ่ง ข้าได้คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถในการดูธัญพืชในยุ้งฉางนี้หลายคน ตราบใดที่พวกเราดูแลชาวบ้านทางเหนือของเมืองได้เป็อย่างดี ไม่ว่าจะได้ของในยุ้งฉางไปกี่มากน้อย เขาก็จะส่งคนจากเมืองเทียนเฉิงนำเงินมาให้”
หลิวเยว่พูดว่า
“ดี กระทำการสิ่งใดใจต้องนิ่ง อย่าให้ความรู้สึกมาขัดขวางสติปัญญา พวกเราสามารถช่วยชาวเมืองตั้งหยางได้ด้วยความสามารถที่พวกเรามี สร้างประโยชน์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองตั้งหยาง”
เตี๋ยเย่ซึ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก็นำใบสั่งยามอบให้หลิวเยว่พร้อมกับกล่าวว่า
"แม้ว่ายานี้จะไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้ แต่สามารถใช้ป้องกันได้ คนในเมืองทางเหนือ หากลองใช้ตำรับยานี้อาจจะมีประโยชน์”
กู้หนานเฟิงไม่ค่อยเข้าใจนัก
“นี่ยาอะไร? เ้าไปเอามาจากที่ใด?”
เตี๋ยเย่ไม่ได้เปิดปากพูดอีก หลิวเยว่รับใบสั่งยามาและดูตัวอักษรบนนั้น ทันใดนั้นน้ำตาของนางก็ไหลพราก ทว่านางพยายามฝืนมันเอาไว้
นี่คือลายมือของเหย่เลี่ย และนี่คือใบสั่งยาที่เขาเขียนมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตนางและช่วยชีวิตชาวเมืองตั้งหยางทั้งหมดได้
“ขอบใจเ้านะ” นางขอบคุณเตี๋ยเย่อย่างจริงใจ ขอบคุณมากจริงๆ
“เ้านำใบสั่งยานี้ไปบอกให้หมอปรุงยาตามที่ในนี้บอก คนในเมืองตั้งหยางต้องรอด”
"ตกลง"
ตอนที่พวกเขาออกจากเมืองตั้งหยาง สถานการณ์โรคระบาดก็ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว ส่วนเื่ที่เหย่เลี่ยได้มาที่เมืองตั้งหยางในคืนนั้นหรือไม่ และไม่ว่าเขาจะได้พบกับหลิวเยว่หรือไม่ สุดท้ายก็ไม่มีใครพูดถึงมันอีก ข้ารู้ เ้ารู้ ์และใต้หล้ารู้
ระหว่างทางกลับไปเมืองเทียนเฉิง กู้หนานเฟิงกลัวว่าร่างกายของหลิวเยว่จะยังอ่อนแอหลังจากหายป่วย ดังนั้นรถม้าจึงเคลื่อนที่ช้ากว่าปกติ จากใต้ไปเหนือ ูเาสีเขียวและน้ำใสตลอดทาง ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ราบ การเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนถึงเมืองเทียนเฉิง
ทันใดนั้นกู้หนานเฟิงก็พูดว่า
“หลิวเยว่ หลังจากกลับไปที่เมืองเทียนเฉิงแล้ว ข้าขอเ้าแต่งงานได้หรือไม่?”
เมื่อเขาถามถึงเื่นี้ เขาไม่ได้มีอารมณ์ล้อเล่นของคุณชายเ้าสำราญเหมือนในอดีต แต่สายตาที่มองนางนั้นกลับจริงจังและเคร่งขรึมมิใช่น้อย