แม้การแยกเมืองและระยะห่างเช่นนั้น อาจดูเหมือนง่ายและมีประสิทธิภาพ แต่การนำไปใช้จริงนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ประการแรกคือการขาดความร่วมมือจากประชาชน เมื่อประตูเมืองถูกปิดตาย ผู้คนทั้งหมดย่อมรีบไปที่ประตูเมืองและคร่ำครวญอยู่ที่นั่น ทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อหนีออกจากเมืองร้างอันน่าหวาดกลัวนี้ ผู้คนส่วนใหญ่พาครอบครัวของตัวเองมาด้วย ซึ่งที่เกิดเหตุก็วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าขุนนางและทหารต่างก็เฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เหยียบกันตายบนถนนในเมืองด้วย
เมื่อคนทั้งหมดมารวมตัวกันที่ประตูเมือง มองเห็นประตูเมืองถูกปิดแน่นและกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยขุนนางทหารที่ถืออาวุธ ทุกคนจึงทุบประตูเมืองด้วยความสิ้นหวัง ร้องไห้และโห่ร้องคร่ำครวญอย่างเสียใจ นี่คือความสิ้นหวังที่ออกมาจากคนที่กำลังจะตาย
กู้หนานเฟิงและหลิวเยว่ยืนหลบลมอยู่ชั้นบนของอาคารมองดูเหตุการณ์ที่รุนแรงนี้ หัวใจของพวกเขาราวกับถูกเผาไหม้ ทั้งหมดนี้คือชีวิตมนุษย์ นางเกือบจะลงไปเปิดประตูเมืองด้วยตนเอง ปล่อยให้พวกเขาออกจากเมือง และทิ้งพวกเขาให้ไปควบคุมชะตากรรมเอง
ลมพัดมา ดวงตาของนางก็แดงก่ำ กู้หนานเฟิงจึงเอาแขนโอบไหล่นางแล้วตบเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบใจ
“นี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว พวกเรามาพยายามคิดหาวิธีช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่เถิด”
ด้านล่างของอาคารพวกชาวบ้านต่างร้องะโจนเหนื่อยล้า จากนั้นจึงโยกย้ายไปที่อื่น กระทั่งเหลือเพียงความเงียบสงัด
“ฮ่องเต้ช่างโหดร้ายจริงๆ นี่นับเป็เื่ที่เกี่ยวพันกับชีวิตมนุษย์” หลิวเยว่อดพึมพำไม่ได้
“ฮ่องเต้ทรงย่อมปรารถนาที่จะดูแลชีวิตของทุกคนในใต้หล้า แต่ทรงทำแบบนี้เพราะถูกบังคับ” กู้หนานเฟิงพูดแทนฮ่องเต้ หลิวเยว่เองก็เข้าใจเื่นี้ดี
ลมหยุดพักแล้ว เสียงร้องไห้ก็หยุดเหมือนกัน หลิวเยว่เปิดปากก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มาเริ่มกันเถอะ มาเริ่มแบ่งเมืองกัน”
กู้หนานเฟิงพยักหน้า
เตี๋ยเย่ลงไปจัดการกับทหารด้านล่าง จัดให้ผู้ป่วยอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของเมือง และคนที่มีสุขภาพดีอาศัยอยู่ทางเหนือของเมือง
พวกเขาเดินไปตามบ้านเรือนเพื่อตามหาผู้ป่วย จากนั้นก็พาผู้ป่วยตรงไปที่สถานพยาบาลทางตอนใต้ของเมือง การต่อต้านของผู้ป่วยรวมถึงการต่อต้านของสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย หลังประตูเมืองมีเสียงร้องไห้และเสียงะโ ล้วนดังก้องไปทั่วฟ้าของเมืองตั้งหยาง
หนึ่งในคนเ่าั้เป็คู่สามีภรรยาที่พาลูกมาด้วย ภรรยาป่วยหนักเกินจะเยียวยา แต่นางพยายามที่จะไม่ไอออกมา ฝืนไม่ทำให้เกิดอาการป่วย เพราะไม่อยากถูกหามไปทางใต้ของเมือง แต่เพราะยับยั้งหนักเกินไปใบหน้านางจึงแดงก่ำ สามีที่ยืนปกป้องอยู่และยังมีเด็กยืนร้องไห้อยู่ด้านข้าง
ในที่สุดภรรยาก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป นางไอออกมาอย่างรุนแรง ทหารจึงรีบพานางออกไป นางและสามีของนางคุกเข่าร้องขอความเมตตา
“ขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่อยากไปทางใต้ของเมือง”
“ได้โปรด ข้าไม่ได้เป็โรคนี้จริงๆ ข้าแค่เป็ไข้หวัดธรรมดา”
“เด็กจะขาดแม่ไม่ได้ และครอบครัวของพวกข้าจะแยกจากกันไม่ได้ด้วย”
ขณะร้องขอความเมตตา นางก็ไอออกมา หลิวเยว่เอ่ยเตือนอย่างใจเย็น
“ถ้าตอนนี้เ้าติดโรคระบาด และยังอยู่กับลูกต่อไป โรคอาจจะแพร่ไปถึงลูกของเ้าได้ เ้าไปรักษาที่สถานพยาบาลทางใต้ให้หาย เมื่อหายดีแล้ว เ้าย่อมไปพบกับลูกของเ้าได้อีก” แม้ว่าหลิวเยว่จะมีท่าทีนิ่งสงบ แต่เมื่อมองมารดาและเด็กที่กำลังร้องไห้ หัวใจของนางก็สั่นสะท้าน เื่ราวของโลกมนุษย์ ครั้งนี้อาจจะเป็่เวลาสุดท้ายที่จะได้พบหน้า และอาจจากกันตลอดกาล
ภายใต้การโน้มน้าวใจของนาง ในที่สุดคู่ภรรยาและสามีก็ยอม พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะให้ลูกของพวกเขากอดหรือจูบลาครั้งสุดท้าย
“ข้าจะไป ข้าจะไปกับพวกเ้า แต่ลูกข้าแข็งแรง ได้โปรดพาเขาไปที่ทางเหนือของเมืองด้วย”
การจากลาเช่นนี้ย่อมยากจะทำใจจากลา นี่เป็ความรู้สึกที่จริงใจที่สุด หลิวเยว่รู้สึกซึ้งใจยิ่งนัก แต่นางก็ต้องตัดใจทำสิ่งที่โหดร้าย
“ฉีเจิ่ง เ้าจงใช้ชีวิตให้มีความสุข พ่อแม่จะต้องกลับมาหาเ้าอย่างแน่นอน”
เด็กชายที่ถูกเรียกว่าฉีเจิ่ง เอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมปล่อยมารดาของเขา ในขณะที่หลิวเยว่เอื้อมมือไปคว้าเขามากอด ร่างกายที่อ่อนนุ่มของเขานั้นทำให้หัวใจของนางเ็ปแต่กลับอบอุ่น
ในที่สุดการจากลาอันหดหู่นี้ก็จบลง
คนที่สุขภาพดีอยู่ทางเหนือของเมือง ส่วนคนที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ตอนกลางของเมือง และคนที่ติดเชื้อต้องไปอยู่ทางใต้ของเมือง
กู้หนานเฟิงใช้เงินจำนวนมากเพื่อเชิญหมอที่ดีที่สุดในเมืองตั้งหยางมาพัฒนาแผนการรักษา หลังจากนั้นสองสามวัน ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เกี่ยวกับเื่นี้
แต่หลิวเยว่กลับวิ่งไปทางใต้ของเมืองพร้อมผ้าคลุมใบหน้าเพื่อไปดูอาการของคนป่วยและส่งยา พอไปแล้วก็ไปทั้งวัน ต้มยาในสถานพยาบาลจากนั้นก็นำไปส่งให้ถึงมือผู้ป่วย
เหล่าคนทางตอนใต้ของเมืองที่ถูกตัดสินให้ตายเท่านั้น เมื่อเห็นหลิวเยว่ก็ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นพระโพธิสัตว์ที่มาช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมาน มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่ลืมพวกเขา
“แม่นางเยว่ ขอบคุณนะ”
“แม่นางเยว่ คนดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี”
“หากพวกเราดีขึ้นและออกไปได้ พวกเราจะเป็วัวเป็ม้าให้กับเ้า”
หลิวเยว่ไม่เพียงแต่มาส่งยาให้พวกเขาเท่านั้น แต่ยังนำข่าวเกี่ยวกับญาติพี่น้องมาบอกพวกเขาด้วยจนนางกลายเป็ผู้ส่งสาร นางพยายามทำดีกับทุกคนให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งเดียวที่นางจะทำได้
แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างเต็มที่เพียงใด โศกนาฏกรรมย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยทางตอนใต้ของเมืองล้มตายไปทีละคนและจำนวนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่บิดามารดาของฉีเจิ่งก็ยังตายตามกันไป
ต่อมากู้หนานเฟิงรู้ว่าหลิวเยว่วิ่งไปทางตอนใต้ของเมืองทุกวัน และนี่เป็ครั้งแรกที่เขาะโใส่นางด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“หลิวเยว่ เ้าอยากตายหรือ ทางใต้ของเมืองเป็ที่สถานที่เช่นไร เ้ากล้าไปได้อย่างไร? ถ้าเ้าติดเชื้อเล่า?”
หลิวเยว่ก็ได้ตอบกลับ
“ข้าระวังตัวมาก และหลังจากที่ข้าออกมา ข้าก็มีน้ำยาฆ่าเชื้อ ข้ารู้วิธีป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ นี่เป็สิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำให้กับพวกเขาได้ นั่นคือชีวิตมนุษย์ พวกเราจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้”
กู้หนานเฟิงรู้ว่าหลิวเยว่เป็สตรีที่รอบคอบมาก และมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดุด่านาง ดังนั้นเขาจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ ถ้ามีอาการต้องบอกข้าให้เร็วที่สุดเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าสบายดี”
หลิวเยว่ไม่เป็ไร แต่กู้หนานเฟิงมีเื่จะบอกนาง
“เด็กที่ชื่อฉีเจิ่ง บางทีเขาอาจจะติดโรคมาจากบิดามารดาของเขาแล้ว เพราะเขาเริ่มมีอาการไอและมีไข้ใน่สองวันที่ผ่านมา”
เมื่อหลิวเยว่ได้ยินเื่นี้ หัวใจของนางก็เ็ปมาก
ฉีเจิ่งที่ดูมีอายุเพียงหกขวบ ทำให้นางนึกถึงลูกของนางที่ไม่อาจลืมตาดูโลกได้ในตำหนักลิ่วฉือ ถ้าในตอนนั้น ลูกของนางคลอดออกมา อายุก็น่าจะใกล้เคียงกันกับฉีเจิ่ง
ดังนั้นเมื่อเห็นฉีเจิ่ง นางจึงนึกถึงลูกที่โชคร้ายของตน ความรู้สึกของนางจึงยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินสิ่งที่กู้หนานเฟิงกล่าวมา นางจึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องเด็กคนนี้
กู้หนานเฟิงเอ่ย
“อีกเดี๋ยวข้าจะพาเขาไปส่งที่เมืองทางใต้ แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็ไม่เหมาะจะอยู่ที่กลางเมือง”
“ไม่ กู้หนานเฟิง อย่าส่งเด็กคนนั้นไปทางใต้ของเมือง เขายังเด็กและเรี่ยวแรงน้อย ส่งเขาไปทางใต้ของเมืองย่อมหมายความว่าเขาต้องตายสถานเดียว เอาตัวเด็กคนนั้นมาให้ข้า ข้าจะหาห้องพักและดูแลเขาเอง”
“หลิวเยว่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใช้ความรู้สึก เอาความใจเย็นในยามปกติของเ้าออกมา” กู้หนานเฟิงร้อนใจแล้ว หลิวเยว่ไม่สนใจความเป็ความตายของตัวเองเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอับจนหนทางจริงๆ คนแบบนาง ทั้งที่เ็าไร้อารมณ์ แต่เหตุใดกลับมีหัวใจที่อบอุ่นและไม่กลัวตายเช่นนี้?
“ข้าใจเย็นมาก และข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ต้องห่วง”
กู้หนานเฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่หลิวเยว่กลับครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่จะพูดอีกครั้ง
“กู้หนานเฟิง กลับไปที่เมืองเทียนเฉิงเถอะ ข้าขอร้อง” นางไม่้าให้เขาตกอยู่ในอันตรายที่นี่
“ข้าไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวกลัวความตาย ไม่ว่าความคิดของเ้าจะมั่นคงเพียงใด ข้าก็เช่นกัน”
เขาเอ่ยอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็มองหน้ากัน ก่อนจะอดยิ้มให้กันไม่ได้ และทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาให้กับความดื้อรั้นของกันและกัน หลิวเยว่คิดว่ากู้หนานเฟิงเป็ผู้ชายที่ดีจริงๆ หากตัดความเ้าชู้เสเพลออกไป
หลิวเยว่พบเจอห้องที่หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์และห่างไกลผู้คน ก่อนนางจะพาฉีเจิ่งไปอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าเด็กชายอายุหกขวบผู้มีดวงตาสีเข้มจะเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา บิดามารดาทิ้งเขาไปแล้ว แต่เขากลับไม่ร้องไห้ หรือมองหาพวกเขาเหมือนตอนแรก
เขาเชื่อฟังมาก กระทั่งเห็นหลิวเยว่เป็ที่พึ่ง ไม่ว่าหลิวเยว่ไปที่ใด เขาก็ตามนางไป หลิวเยว่ต้มยาให้เขาข้างเตา เขาก็นั่งดูอยู่เงียบๆ หลิวเยว่ป้อนยาให้เขา เขาก็ดื่มอย่างว่าง่าย ดวงตาสีเข้มของเขามองดูอย่างมั่นใจ ก่อนจะเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเยาว์
“ถ้าฉีเจิ่งหายดีแล้ว พ่อกับแม่ก็จะมาเยี่ยมฉีเจิ่งได้แล้ว”
เมื่อหลิวเยว่ได้ยินเช่นนั้น จมูกของนางพลันแสบร้อนขึ้นมา เด็กน้อยคนนี้จะเข้าใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่มีวันได้เจอบิดาและมารดาของเขาอีกแล้ว นางลูบศีรษะของฉีเจิ่งเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ฉีเจิ่งเป็เด็กดีที่สุด คิดถึงพ่อแม่มากใช่หรือไม่?” เขาเชื่อฟังทั้งยังพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ใช่ขอรับ”
หลิวเยว่เอ่ยเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย
“ข้าก็เหมือนกับฉีเจิ่ง คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกัน”
นางคิดถึงบิดามารดาในตระกูลเจิน และยังคิดถึงพ่อแม่ในยุคปัจจุบันของนางอีกด้วย บิดามารดาในตระกูลเจินอาจจะยังมีโอกาสได้พบกันอีก แต่พ่อแม่ในยุคปัจจุบันนั้นคงต้องจากลากันตลอดไป
“พี่สาว อย่าร้องไห้” ฉีเจิ่งยื่นมือน้อยๆ ของเขาเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมาั้แ่เมื่อไรบนใบหน้าหลิวเยว่
“พี่ไม่ร้องแล้ว ฉีเจิ่งก็ต้องอดทนไว้นะ”
บางทีอาจเป็เพราะมีความหวัง นางมองว่าเขาเป็เด็กที่นางไม่อาจให้กำเนิดออกมาได้ในตำหนักลิ่วฉือ ดังนั้นนางจึงพยายามดูแลเขาอย่างสุดความสามารถ ทำให้กู้หนานเฟิงไม่เข้าใจ และยิ่งไม่สนับสนุน เพราะกลัวว่าหลิวเยว่จะติดโรคได้ คนที่สนับสนุนนางมาตลอดกลับเป็เตี๋ยเย่ นางไม่เคยเอ่ยคำพูดคัดค้านเลยั้แ่ต้น แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมา
“ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ข้าจะไปดูแลฉีเจิ่ง เ้าไม่สามารถใกล้ชิดกับเขาได้ เขาเป็ผู้ป่วยติดโรคแล้ว พวกเราไม่ส่งเขาไปทางใต้ตามที่เ้าบอก แต่ถ้าเขาทำให้เ้าติดโรคขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
น้ำเสียงของเตี๋ยเย่ยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย แต่ในความเฉยเมยนี้กลับมีความกังวลและความแน่วแน่
หลิวเยว่ไม่ได้ตอบแต่กลับเปลี่ยนเื่
“วันนี้ยอดคนตายเป็อย่างไรแล้ว”
กู้หนานเฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“มากกว่าเมื่อวาน ตอนนี้สิบคนแล้ว สถานการณ์โดยรวมที่ทางใต้ของเมือง...ยอมแพ้แล้ว โอกาสฟื้นตัวมีน้อยมาก สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือการรักษาสุขภาพของคนทางตอนเหนือของเมืองให้ดี และไม่เพิ่มจำนวนผู้ป่วย โดยเฉพาะเ้า หลิวเยว่”