“สัตว์ประหลาดอะไร ก็แค่แรงเยอะเท่านั้นเอง” เหลยจื่อยังคงลูบหัวของตัวเองขณะพูด
“อย่างนายเนี่ยนะแค่แรงเยอะ นี่มันซูเปอร์ฮีโร่ชัดๆ อาจารย์ฉันที่โรงเรียนตำรวจยังไม่เก่งขนาดนี้เลย” ซูเยี่ยนนีพูดพร้อมกับใช้มือจับไปที่ตัวของเหลยจื่อราวกับสำรวจ
“เอาล่ะๆ มา เหยียนหนี เหลยจื่อ ดื่ม” จ้าวเถี่ยจู้ส่งขวดเบียร์ให้ทั้งสองเพื่อแก้สถานการณ์ให้เหลยจื่อ
“เถี่ยจู้ พวกเรากลับกันเถอะคนที่เราเพิ่งมีเื่ด้วยคือลูกชายของผู้ช่วยนายกเทศมนตรีเชียวนะ” เหยียนหนีรับขวดเบียร์ไปถือไว้แล้วพูดอย่างไม่สบายใจ
“กลัวที่ไหน ลองมาสิ มากี่คนจะจับโยนออกไปให้หมด” เหลยจื่อพูดแล้วกระดกเบียร์เข้าปาก
ราวกับเป็ลาง เพราะเมื่อพูดจบประตูห้องคาราโอเกะของพวกเขาก็ถูกเปิดออกเป็ครั้งที่สามชายวัยกลางคนใบหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งเดินเข้าในห้องพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟอีกหนึ่งคนชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้องพร้อมทั้งมองพิจารณาพวกเขาทีละคน พอตามองไปที่เหลยจื่อ ชายคนนั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ ด้วยรูปร่างของชายหนุ่มไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะโดดเด่นอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่กับชายวัยกลางคนๆ นี้เพียงแค่มองเขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า คนที่เป็ใหญ่ในนี้ก็คือจ้าวเถี่ยจู้ชายวัยกลางคนจึงเดินเข้าไปหาอย่างไม่ให้เป็การเสียเวลา “น้องชายคนนี้ดูหน้าคุ้นๆ นะ”
“เพิ่งเคยมาครั้งแรก” จ้าวเถี่ยจู้ดื่มเบียร์อึกหนึ่งก่อนตอบ
“ขอถามหน่อย น้องชายชื่ออะไรเหรอ”
“จ้าวเถี่ยจู้”
ชายวัยกลางคนเรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งงานไม่กี่ประโยคพนักงานคนนั้นก็ออกจากห้องไป แล้วกลับมาพร้อมกับไวน์แดงขวดหนึ่งและแก้วไวน์ไม่กี่ใบชายวัยกลางคนเปิดขวดไวน์ เทลงในแก้วห้าใบด้วยกันหยิบใบหนึ่งให้ตัวเองแล้วสั่งให้พนักงานนำแก้วไวน์อีกสี่ใบไปเสิร์ฟให้แก่พวกของจ้าวเถี่ยจู้
“ผมซุนจื้อ เป็ผู้จัดการของร้านจินเซ่อเทียนตี้วันนี้เป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักหนุ่มหล่อสาวสวยแบบพวกคุณผมขอดื่มให้หนึ่งแก้ว” ชายวัยกลางคนพูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียว
“พวกคุณไม่ได้มาบอกให้พวกผมรีบออกจากที่นี่เหรอ” จ้าวเถี่ยจู้หมุนแก้วไวน์ในมือ ตาก็มองไปที่ซุนจื้อ
“คนที่มาที่นี่ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็ลูกค้าของผมทั้งนั้นผมจะทำลายธุรกิจของผมทำไม” ซุนจื้อ ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ได้ วันนี้เห็นแก่หน้าคุณ เหลยจื่อ หมดแก้ว” เขาสั่งทั้งยังดื่มไวน์ในแก้วของตัวเองจนหมดแล้วจึงวางแก้วลงบนโต๊ะ “คุณนี่ฉลาดนะ”
“ผมต้องทำเพื่อปากท้องน่ะ” ซุนจื้อยังคงตอบพร้อมกับรอยยิ้มทั้งยังแอบยินดีกับตัวเอง ตอนที่ตนได้ข่าวว่าหวงหนิงโดนทำร้ายตนคิดเพียงแต่จะส่งคนมาช่วยอีกฝ่ายเท่านั้นต่อมาได้ยินพนักงานด้านล่างพูดว่ามีคนขับรถทหารเข้ามา ตนและพนักงานจึงลงไปตรวจสอบพบว่าป้ายที่ติดที่รถนั้นเป็ของบ้านพักในค่ายทหารเมืองฝูเจี้ยนตนก็รู้ทันทีเลยว่า คนที่มีเื่กับหวงหนิงนั้นมีเส้นใหญ่พอๆ กันเลยก็ว่าได้ นี่เป็เหตุผลว่าทำไมตนถึงมานั่งในห้องนี้ส่วนหวงหนิงเขาได้ให้คนพาไปส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วเขาไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ ถึงแม้เ้าของที่นี่จะพอเรียกได้ว่ามีเส้นสายอยู่บ้างแต่ถ้าต้องต่อกรกับผู้ช่วยนายกเทศมนตรีและกองทัพไปพร้อมๆ กัน มันออกจะดูเป็ฝ่ายถูกกระทำไปสักหน่อย
“เดี๋ยวค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ผมจะจัดการให้เอง เชิญพวกคุณสนุกกันตามสบายผมยังมีธุระต่อ คงต้องขอตัวก่อน” ซุนจื้อรอให้ทุกคนดื่มหมดแก้วจึงพูดขอตัว
จ้าวเถี่ยจู้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ไม่พูดอะไรออกมา
ซุนจื้อเมื่อเดินออกจากห้องคาราโอเกะก็โทรหาคนของตนที่เฝ้าหวงหนิงอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อสอบถามอาการฝ่ายนั้นก็แจ้งมาว่าหลังจากที่หมอตรวจเรียบร้อยแล้วพบว่าหวงหนิงกระดูกร้าวแค่ไม่กี่ที่เท่านั้น
พ่อของหวงหนิง หวงฉีฝานเมื่อไปถึงที่โรงพยาบาลเห็นสถาพของลูกชายตนก็อดโมโหไม่ได้ หันไปสั่งงานกับเลขาของตน “พาซุนจื้อมาที่นี่”
ซุนจื้อเพิ่งวางสายมือถือได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาอีกรอบ เขากดรับสายได้ยินเสียงเ็าพูดมาตามสาย “ฉันหวงฉีฝานฉันอยากฟังเื่ราวที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมด”
ซุนจื้อเล่าเื่ทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟังทั้งยังเล่าถึงรถจี๊ปทหารของบ้านพักในค่ายทหารอีกด้วย
หวงฉีฝานวางสายไม่นานก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อไหร่กันที่บ้านพักทหารมีคนแบบนี้อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ลูกชายของหลีกางก็โดนคนของค่ายนั้นทำร้ายเหมือนกันหรือมันจะเกี่ยวข้องกัน เขาคิดก่อนจะสั่งให้เลขาของตนโทรหาหลีกาง ไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกันก่อนจะวางสายหวงฉีฝานก็พูดว่า ต้องสั่งสอนสักหน่อย เก็บเื่นี้เป็ความลับคุณรับผิดชอบหาคน ผมรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง แล้วจึงกดวางสาย
ด้านหลีกางก็กดวางสายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะหยิบมือถือที่เขาไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
สองชั่วโมงกว่าผ่านไป พวกของจ้าวเถี่ยจู้ก็ดื่มเบียร์ไปทั้งหมดสามลังเห็นจะได้หลีหลิงเอ่อร์ดื่มไปทั้งหมดสามสี่ขวด ซูเยี่ยนนีนี่ยิ่งแล้วใหญ่ดื่มจนหน้าแดงก่ำเลยทีเดียว
“ดึกมากแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” จ้าวเถี่ยจู้เมื่อเห็นว่าหลีหลิงเอ่อร์เมาแล้วจึงพูดชวนด้วยสติที่ยังครบถ้วนอยู่
ซูเยี่ยนนีเริ่มจะเดินเซไปเซมา เพราะปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่คอแข็งมากนักหลีหลิงเอ่อร์ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงกับนอนหลับบนโซฟาเลยทีเดียวจ้าวเถี่ยจู้เห็นดังนั้นจึงใช้มือสะกิดเรียก แต่อีกฝ่ายกลับปัดมือเขาออกพลิกตัวไปอีกข้างแล้วหลับต่อ เขาเรียกต่ออย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมตื่นเขาจึงให้อีกฝ่ายขี่หลังตนแทน ทั้งหมดจึงได้เดินออกจากห้อง
“ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวไปส่ง” หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากร้าน เหลยจื่อก็อาสาพาไปส่ง
จ้าวเถี่ยจู้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ขึ้นไปนั่งบนรถกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากฝูงชน บางคนในมือถือแท่งเหล็ก บางคนในมือถือมีดและมีบางคนที่ในมือถือก้อนอิฐก็มี กลุ่มคนเ่าั้พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ทำไมไปที่ไหนถึงมีแต่เื่นะ” เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาแล้วจึงหันไปพูดกับซูเยี่ยนนี “คุณเข้าไปหลบในร้านจินเซ่อเทียนตี้ก่อนไป”
ซูเยี่ยนนีใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัวกลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งหมดร้อยคนเห็นจะได้มันน่ากลัวเมื่อคิดว่าเธอจะต้องสู้กับคนหนึ่งร้อยคนเหล่านี้เธอเพิ่งจะเรียนจบออกมาจากโรงเรียนตำรวจเองนะ เคยเจอแบบนี้ที่ไหนถึงแม้ว่าเหลยจื่อจะเก่ง แต่ก็ยังเป็แค่คนธรรมดา สู้กับคนห้าคนได้สู้กับคนห้าสิบคนได้ แต่จะสู้กับคนหนึ่งร้อยคนได้ยังไงก็เหมือนกับคนเราต่อให้สู้เก่งแค่ไหน แต่ถ้าอีกฝ่ายมีมากกว่ามันก็คงต้องหนีสถานเดียว เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอเมา แข้งขาก็อ่อน จะให้วิ่งหนียังไง
“ยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเข้าไปหลบในร้านจินเซ่อเทียนตี้สิ คนเยอะขนาดนี้ผมดูแลได้แค่คนเดียว ดูแลสองคนไม่ไหวหรอกนะ” จ้าวเถี่ยจู้หันมาสั่งซูเยี่ยนนี
“ไม่ไป” ถึงจะได้ยินประโยคคำสั่งของอีกฝ่ายแต่ตอนนี้ซูเยี่ยนนีกำลังอยู่ในฤทธิ์แอลกอฮอล์ เธอจึงปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“บ้าไปแล้วใช่ไหมเนี่ย” เขาไม่สนใจซูเยี่ยนนีอีกกลับกันไปสั่งเหลยจื่อแทน “ไม่ต้องออมมือ”
“ได้เลย” เหลยจื่อรับคำอย่างเืขึ้นหน้าพร้อมทั้งมองไปที่คนกลุ่มนั้นด้วยแววตาแข็งกร้าวแล้ววิ่งเข้าใส่
จ้าวเถี่ยจู้ที่แบกหลีหลิงเอ่อร์ไว้บนหลังก็ค่อยๆเดินตรงเข้าไปคนกลุ่มนั้นเช่นเดียวกัน
ทั้งสองเดินหน้าพุ่งเข้าหากัน มีเพียงแต่จำนวนเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน
แต่ทุกคนจะต้องประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแน่ เหลยจื่อพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนเ่าั้ ไม่ว่าเป็ใคร เขาก็เล่นงานโดยไม่เลือกหน้าทุกครั้งที่ออกหมัด จะต้องมีคนล้มลงเสมอขนาดแท่งเหล็กที่อยู่ในมือคนเ่าั้ตีมาที่ตัวเขา ผลที่ได้กลับมากลับรุนแรงจนทุกคนแทบจะอ้าปากค้าง
คนพวกนั้นไม่รู้ว่าในโลกใต้ดิน เหลยจื่อมีสมญานามว่า เหลยโช่วเมื่อไหร่ที่เริ่มลงมือสู้แล้วล่ะก็ จะฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างโหดร้ายทารุณจนไม่เหลือแม้แต่ซากเป็ชื่อที่แข็งแกร่งและโด่งดังมากในโลกใต้ดิน
คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นท่าทางการต่อสู้ของเหลยจื่อที่ดูคล้ายสัตว์ป่า ก็เริ่มหวาดกลัวและเมื่อมองไปด้านหลัง ก็เห็นจ้าวเถี่ยจู้ที่ด้านหลังแบกหลีหลิงเอ่อร์เอาไว้พวกเขาจึงตัดสินใจพุ่งไปหาชายหนุ่มแทนด้วยคิดไว้ชายหนุ่มนั่นน่าจะเป็ไก่อ่อนที่พวกเขาสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงหรอกว่าชายหนุ่มที่เห็นว่าเป็ไก่อ่อนนั่นน่ากลัวกว่าเหลยจื่อไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันเท่า ชื่อโม่วอิ่ง โม่วมาจากที่ชายหนุ่มมักจะลงมือรวดเร็วราวกับผีสาง ส่วน อิ่งก็มาจากความสามารถในการล่องหนของเขานั่นเองมีข่าวลือว่าจ้าวเถี่ยจู้เป็นักฆ่าที่ฆ่าคนรวดเร็วราวกับผีสาง ภายในเวลาไม่นานก็ฆ่าไปแล้วศพ เพียงแค่โม่วอิ่งมาเยือน ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป
จ้าวเถี่ยจู้ยิ้มอย่างอวดดีพร้อมทั้งมองดูกลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาหาตนเขาขยับตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของคนพวกนั้นแต่ภาพที่คนพวกนั้นเห็นคือ อยู่ดีๆ เขาก็หายไป เห็นอีกทีคือตอนที่มายืนอยู่ด้านหน้าพวกตนแล้วนี่เป็หนึ่งในกลยุทธ์ของเขาแรงที่มีอย่างเหลือเฟือทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วจนคนอื่นมองไม่ทันเมื่อสักครู่เขาเพียงแค่เดินเข้าไปหาคนพวกนั้นเท่านั้นเพียงแต่มันเร็วมากจนพวกนั้นมองไม่ทันเอง เขาใช้กลยุทธ์เดิมเดินเข้าไปหาคนเ่าั้มากขึ้นแล้วจัดการเดินเข้าไปหาอีกคนแล้วจัดการ เขาทำแบบนี้อยู่หลายรอบซึ่งแต่ละรอบก็ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเสมอถึงแม้ว่าทำแบบนี้จะทำให้ความสามารถที่แท้จริงของเขาจะถูกจำกัดแต่เขารู้สึกว่าวิธีนี้ทำให้เขาดูดีเป็พิเศษ
ทุกครั้งที่จ้าวเถี่ยจู้ใช้วิธีนี้จะต้องมีคนล้มลงไปกองกับพื้นเขาแบกหลีหลิงเอ่อร์ไว้ด้านหลังพร้อมทั้งจัดการคนเ่าั้ไปด้วยราวคนข้างหลังไม่มีน้ำหนักอะไรเลยทั้งยังเคลื่อนกายเหมือนเต้นรำไปพร้อมกันกับเขาหลีหลิงเอ่อร์ที่นอนหลับอยู่บนหลังชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาราวกับกำลังฝันดี