หลังจากได้นอนพักถึงหนึ่งวันเต็มๆจ้าวเถี่ยจู้รู้สึกว่าแรงของตัวเองกำลังฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเกิดเป็คนอื่นล่ะก็ได้รับาเ็ขนาดนี้คงจะลุกจากเตียงไม่ได้เป็ครึ่งเดือนแน่ๆแต่กับเขาแค่วันเดียวก็ลุกจากเตียงได้แล้ว ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บอยู่นิดหน่อยแต่ก็ถือว่าฟื้นฟูได้ไวพอสมควร แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ ทำไมเขายังล่องหนไม่ได้ไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ไม่สามารถล่องหนได้หรือว่าร่างกายเขาฟื้นฟูเอาความสามารถเขาหายไปด้วย
เขาคิดอย่างจนปัญญาแต่ก็ไม่แสดงอาการเครียดอะไรออกมาถึงอย่างไรหลีเทียงเฟิงก็ตายไปแล้วล่องหนไม่ได้อย่างมากก็แค่แอบดูสามสาวอาบน้ำไม่ได้ก็แค่นั้น ช่างเถอะถือซะว่ากลับตัวกลับใจละกัน เขาเอาผ้าขนหนูพาดไว้บนไหล่จากนั้นเดินลงไปชั้นล่างเห็นซูเหยียนหนีกำลังนั่งดูทีวีอยู่ “คุณตำรวจ รับเงินภาษีจากประชาชนมาแล้วทำไมถึงมานั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านอีกละ”
“วันนี้ลาหยุด” ซูเหยียนหนีมองเขาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “แล้วนายลงมาทำไม”
“ผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“บ้าไปแล้วหรือไง ร่างกายยังไม่หายดีเลยจะออกไปได้ยังไงแล้วตอนนี้ฝนก็ตกอยู่ด้วย”
“ไม่เป็ไรหรอก ผมแค่ออกไปหาเพื่อนเดี๋ยวเดียวเอง” เขายิ้มจากนั้นก็เดินออกจากบ้านซูเหยียนหนีมองเขาเดินออกจากบ้านก็เดินตามออกมาด้วย
เขาเดินนำหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกทั้งแผลที่หน้าท้องทำให้เขายืดตัวไม่ค่อยได้ต้องโก่งตัวไปข้างหน้าระหว่างที่เดินไปเรียกรถแท็กซี่ “ไปเขาเทียนหลิง” ซูเหยียนหนีได้ฟังจุดหมายที่เขาจะไปก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
รถแล่นไปตามถนนอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายฝนจ้าวเถี่ยจู้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามองอะไรซูเหยียนหนีมองคนข้างตัวที่มีแต่รังสีแห่งความโศกเศร้า ทำให้เธออดปวดใจไม่ได้
เมื่อรถแล่นมาถึงที่หมายจ้าวเถี่ยจู้ลงจากรถโดยไม่สนใจฝนที่ตกลงมาเลยสักนิดซูเหยียนหนีได้แต่กางร่มแล้วเดินตามมาด้านหลังเท่านั้น ที่หน้าทางเข้าเขาซื้อช่อดอกไม้หนึ่งช่อแล้วเดินเข้าไปด้านในเขาเทียนหลิงอย่างช้าๆ
ยิ่งเขาเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้วในที่สุดก็มาถึงที่หน้าหลุมศพๆ หนึ่งจากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางช่อดอกไม้ลงบนหลุมศพซูเหยียนหนีมองไปที่แผ่นป้ายหน้าหลุมศพที่มีรูปหญิงสาวกำลังยิ้มมาให้อย่างสดใสคล้ายกับเฉาจื่ออี๋อยู่หลายส่วน บนแผ่นป้ายสลักชื่อหญิงสาวเอาไว้ว่า หลินซือหรู
จ้าวเถี่ยจู้หลังจากวางช่อดอกไม้ที่หน้าหลุมศพก็เอาแต่ยืนตัวตรงนิ่งเหมือนไม่รู้สึกเจ็บแผลที่ท้องอีกแล้วเขาถอนหายใจออกมาก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไปโดยที่ั้แ่แรกจนถึงตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำส่วนซูเหยียนหนีก็เดินตามออกมาโดยไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“เธอเป็แฟนนายเหรอ” ซูเหยียนหนีถามพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ
“ใช่” เมื่อจ้าวเถี่ยจู้ตอบเช่นนี้ซูเหยียนหนีก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีกได้แต่มองดูแผ่นหลังที่มีแต่ความโดดเดี่ยวของชายหนุ่มเธอเพิ่งค้นพบว่าเธอไม่รู้เื่อะไรเกี่ยวกับตัวของจ้าวเถี่ยจู้เลย
“บางที เขาอาจจะไม่ใช่โจรขโมยชั้นในก็เป็ได้” ซูเหยียนพูดกับตัวเอง
นี่ถ้าจ้าวเถี่ยจู้รู้ว่าซูเหยียนหนีคิดอะไรอยู่ล่ะก็คงต้องร้องไห้ออกมาแน่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่โจรขโมยชั้นในอยู่แล้วไหมละ
“ฉัน...สามารถรู้เื่ราวในอดีตของนายได้ไหม” ซูเหยียนหนีรวบรวมความกล้าถามขึ้นอย่างกะทันหันเธออยากจะรู้เื่ราวของคนตรงหน้าจริงๆ ขอแค่นิดหน่อยก็ยังดี
“พวกเรารู้จักกันั้แ่เด็ก” สีหน้าของจ้าวเถี่ยจู้ราวกับนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวัยเด็ก “พวกเราเคยเล่นด้วยกันั้แ่เด็กจนโต เธออายุน้อยกว่าผมปีหนึ่งหลังจากที่ยายของผมเสียก็มีแต่เธอนี่แหละที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอดที่บ้านเธอฐานะยากจน ตอนมัธยมปลายเธอจึงต้องหางานทำไปด้วยมีครั้งหนึ่งเธอไปทำงานเป็พนักงานในผับแล้วพบกับหลีเทียนเฟิงเข้า” สีหน้าของจ้าวเถี่ยจู้เปลี่ยนมาเป็เคร่งขรึม เขาหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเล่าต่อ “หลีเทียนเฟิงถูกใจเธอก็เลยมอมเหล้าเธอแล้วพาไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งวันที่สองเธอก็ฆ่าตัวตายต่อมาผมไปแก้แค้นให้ซือหรูเลยถูกลูกน้องของหลีเทียนเฟิงทำร้ายจนแขนขาหัก”
“หา!” ซูเหยียนหนีเอามือปิดปากอย่างใ “หลีเทียนเฟิง หลีเทียนเฟิงของสกุลหลีนั่นอะนะ” ซูเหยียนหนีถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใช่” จ้าวเถี่ยจู้ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบแต่ซูเหยียนหนีไม่ใช่เื่ที่หลีเทียนเฟิงที่เป็ทายาทอันดับหนึ่งของสกุลหลีถูกลอบฆ่าในงานประชุมสุดยอดทางเศรษฐกิจทำให้กรมตำรวจวุ่นวายกันมากแม้แต่ทางเมืองหลวงยังส่งคนมาสืบคดีนี้ด้วยตัวเองไม่กี่วันมานี้เธอได้แต่มองดูคนใหญ่คนโตมาที่กรมเพื่อให้เร่งสืบคดีนี้ทันใดนั้นเธอก็นึกย้อนไปถึงเมื่อวานซืนที่ตัวจ้าวเถี่ยจู้เต็มไปด้วยเืจึงถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ “เมื่อวานซืนนาย...”
“ผมฆ่ามันเอง” ชายหนุ่มสารภาพราวกับพูดเื่ธรรมดาๆเื่หนึ่ง ด้านซูเหยียนหนีที่ได้ฟังถึงกับนิ่งอย่างตกตะลึง
“ทำดีมาก” ซูเหยียนหนีพูดขณะตบที่ไหล่เขาเบาๆ “คนแบบนั้นต้องฆ่าให้ตายเท่านั้น!”
จ้าวเถี่ยจู้ถึงกับงงไปสักพักจากนั้นจึงหัวเราะออกมาผู้หญิงคนนี้นี่ไม่เหมือนใครจริงๆ และโดยไม่รู้ตัวมือของเขาก็บีบเข้าที่แก้มของคนตรงหน้า ทำให้อีกฝ่ายถึงกับนิ่งอย่างตกตะลึงทันทีเมื่อเขารู้สึกตัวก็คิดจะอธิบายถึงการกระทำของตนแต่เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่าย เขาจึงเลือกที่จะไม่อธิบายแทนยิ่งอธิบายน่าจะยิ่งยุ่งยาก เขาจึงไม่พูดอะไรแล้วหันหลังเดินออกจากเขาหลินชานไปส่วนซูเหยียนหนีได้แต่ก้มหน้ามองเท้าของตัวเองด้วยความเขินอายแล้วเดินตามหลังอีกฝ่ายออกไปเช่นกัน
ระหว่างทางกลับบ้านใบหน้าของซูเหยียนหนียังคงไม่หายแดงจ้าวเถี่ยจู้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อกลับมาถึงบ้านหญิงสาวก็ขึ้นไปหลบในห้องทันที
เฉาจื่ออี๋ที่วันนี้กลับบ้านเร็วเมื่อเห็นเขากลับมาจากข้างนอกก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแค่พยักหน้าทักทายเล็กน้อยแล้วก้มอ่านนิตยสารในมือต่อ
เขานั่งลงข้างๆ เฉาจื่ออี๋ จากนั้นจึงหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านจมูกก็สูดกลิ่นตัวของคนข้างกายไปด้วย
หลีหลิงเอ่อร์กลับมาถึงบ้านตอนพลบค่ำเห็นจ้าวเถี่ยจู้สามารถขยับตัวได้แล้วก็เดินเข้ามาหอมแก้มเขาด้วยความดีใจเขาก็หอมตอบอย่างดีใจเช่นกันแล้วรอให้หญิงสาวด่าเขาว่าลามกแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มื้อเย็นมื้อนี้เป็ฝีมือเฉาจื่ออี๋และหลีหลิงเอ่อร์กับข้าวมีทั้งหมดห้าอย่างด้วยกันซึ่งล้วนแล้วแต่เป็ของบำรุงร่างกายทั้งนั้นทำให้เขากินอย่างเอร็ดอร่อย
“พี่เถี่ยจู้ กับข้าวมื้อนี้หนูก็ช่วยด้วยนะ” หลีหลิงเอ่อร์ที่นั่งข้างๆเขาพูดขึ้น
“จานไหนละ”
“หนู...หนูหุงข้าวน่ะ”
“...ข้าวนี่...อร่อยจริงๆ” เขาพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
อาหารมื้อนี้ผ่านไปด้วยรอยยิ้ม ซือหรู ตอนนี้ผมมีชีวิตที่ดีมากๆ เลยคุณอยู่บนนั้นเป็ยังไงบ้าง เขายิ้มแล้วส่ายหัวกับความคิดตัวเอง ยังไงชีวิตก็ต้องเดินต่อไป