เป็การลืมเวลาว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไร และเป็การลืมสถานที่ว่าที่นี่คือที่ไหน
สายตาของหลินเยว่มีเพียงการกระทำของเด็กน้อยสายตาของเด็กน้อยมีเพียงชิ้นงานและอุปกรณ์ในมือของเขา การกระทำของพวกเขาดูเป็ธรรมชาติและมีความกลมกลืนยิ่งนัก
ตกแต่งชิ้นงาน......
ทำความสะอาดชิ้นงานด้วยน้ำ......
เขียนสีชิ้นงาน.....
ชุบเคลือบ......
หลังจากชุบเคลือบแล้ว ชิ้นงานจึงเกิดเป็ความมันวาวเมื่อเทียบกับชิ้นงานหลังจากเขียนสีเสร็จเรียบร้อยที่มีแต่ความหยาบจึงเกิดเป็ความแตกต่างราวกับ์และชั้นบาดาลเลยทีเดียว
เมื่อลงเส้นครั้งสุดท้ายแล้ว เด็กน้อยจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจ มุมปากของเขาปรากฏเป็รอยยิ้มเล็กน้อย
และเวลานี้เอง ร่างกายของเด็กน้อยและหลินเยว่พลันสั่นสะท้านขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ความสงบนิ่ง”ที่เชื่อมโยงกันระหว่างพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กราวกับบ่อน้ำแห้งไร้คลื่นของหลินเยว่ก็หายไปเช่นกัน มุมปากของเขาปรากฏเป็รอยยิ้มเล็กน้อย
ตอนที่เด็กน้อยทำภารกิจสุดท้ายเสร็จสิ้น หลินเยว่พลันรู้สึกเข้าใจบางอย่างได้ทันที
เขารู้สึกว่าเหนือกว่าสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กยังมีอีกสภาวะหนึ่งอยู่สภาวะนั้นมีความลึกลับมหัศจรรย์ ซึ่งสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กไม่สามารถนำไปเทียบเคียงได้เลย
เวลานี้สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กเป็เพียงสภาวะระดับต้นเท่านั้นมันดูทื่อมะลื่อ และดูไร้ความรู้สึก ไม่มีความรู้สึกของคนที่เป็มนุษย์ควรจะมีอยู่หากเป็เช่นนี้ต่อไปนานๆ หลินเยว่ยังรู้สึกสงสัยว่าตัวเขาจะกลายเป็คนเ็าไร้ความรู้สึกหรือเปล่าแต่สภาวะเมื่อสักครู่นี้ หลินเยว่ััถึงสภาวะที่สูงกว่าสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กขณะที่เขากำลังคิดจะซึมซับสภาวะนั้นไว้ แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับทำชิ้นงานเสร็จสิ้นเรียบร้อยจนครบทุกขั้นตอนเหลือเพียงนำเข้าเตาเผาเท่านั้นเอง
เฮ่อ!
หลินเยว่ลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะรู้สึกผิดหวังแต่ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกตื่นเต้น
เมื่อได้ััสภาวะเมื่อสักครู่แล้วต่อไปเขาจะได้มีทิศทางในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสภาวะเช่นนั้น
ตอนนี้ภารกิจของเขานอกจากจะพัฒนาการพิสูจน์เครื่องเคลือบการกลายเป็ปรมาจารย์แห่งหยก การบรรลุเป้าหมายขั้นสุดยอดของเขาแล้วเวลานี้เขายังต้องยกระดับสภาวะจิตสงบนิ่งอีกด้วย
สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กสามารถทำให้การใช้พลังพิเศษตาทิพย์ในการพิสูจน์เครื่องเคลือบและการพนันหินหยกถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นถ้าเช่นนั้นขั้นต่อไปของสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กจะทำให้พลังพิเศษตาทิพย์ของเขาถูกยกระดับไปถึงขั้นไหนล่ะ?
ขั้นต่อไปของสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเขามากเท่าไร?
หลินเยว่กำลังคาดหวังอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยเพิ่งจะสังเกตเห็นหลินเยว่ จังหวะที่ร่างกายสั่นสะท้าน่เวลานั้นเขาััได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาและร่างของคนที่อยู่ด้านหลังของเขามีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันอยู่เมื่อสักครู่ที่เขาสามารถผลิตชิ้นงานได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบเช่นนี้ล้วนต้องมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลเบื้องหน้าเขาอย่างแน่นอน
“ทำไมคุณถึงไม่ไปดื่มน้ำล่ะ?”
เด็กน้อยถามอย่างสงสัย
เมื่อเด็กน้อยเบื้องหน้าเตือนขึ้นมาหลินเยว่จึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองลืมดื่มน้ำไปเสียแล้วและเวลานี้เองที่เขารู้สึกว่าปากของเขาแห้งไปหมดและตรงลำคอก็เหมือนจะเกิดอาการแสบร้อนขึ้น
“น้ำอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หลินเยว่ถามขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ตรงนั้น”
เด็กน้อยชี้ไปยังถังน้ำที่วางอยู่ด้านหลังของหลินเยว่ประมาณ1 เมตรในถังน้ำบรรจุน้ำสะอาดอยู่เต็มถัง เพียงแค่ก็มองก็รู้สึกกระหายและอยากดื่มขึ้นมาทันทีบนผิวน้ำก็มีกระบวยน้ำเต้าลอยอยู่้า
เมื่อหลินเยว่เห็นน้ำดื่ม ดวงตาของเขาจึงเกิดเป็ประกายขึ้นหลังจากนั้นเขาก็โผตัวเข้าไปหาน้ำดื่มทันทีเขาหยิบกระบวยน้ำเต้าตักน้ำขึ้นแล้วยกใส่ปากของตัวเองความรู้สึกที่เกิดขึ้นราวกับว่าเขาไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายชาติหลายภพน้ำไหลลงไปตามริมฝีปากและมีบางส่วนที่ไหลลงไปบนเสื้อผ้า แต่เขาไม่ได้สนใจเลยเพราะเขากำลังอิ่มเอมกับความหวานสดชื่นของน้ำนั่นเอง
เมื่อเด็กน้อยเห็นท่าทางของหลินเยว่มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้น
ดูเหมือนว่า...... คนเบื้องหน้านี้เหมือนจะเป็คนประเภทเดียวกับตนเอง
หลังจากดื่มน้ำจนอิ่มแล้วหลินเยว่ก็เรอออกมาครั้งหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กน้อยผู้นั้นกำลังมองมาที่ตนเองอยู่หลินเยว่จึงยิ้มอย่างเขินๆ แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นขึ้นทันที “ผมเห็นคุณสร้างสรรค์ชิ้นงานอย่างคล่องแคล่วชำนาญคุณเรียนมาจากใครหรอ?”
“เรียนกับเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายน่ะพวกเขาชอบสอนคนอื่น แต่ไม่มีใครสนใจเรียน พวกเขาก็เลยมาสอนผม”
เด็กน้อยพูดตามสบาย แต่ทว่าน้ำเสียงของเขาเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่บ้างไม่เหมือนกับตอนแรกที่เขาเจอหลินเยว่ ที่มีแต่ความเ็าเพียงอย่างเดียว
หลินเยว่พยักหน้ารับเขารู้ว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจเรียนรู้การผลิตเครื่องเคลือบแล้วเทคนิคการผลิตเครื่องเคลือบจำนวนมากใกล้จะสูญหายไป มีคนคิดอยากจะถ่ายทอดวิชาแต่กลับไม่มีใครสนใจศึกษาเรียนรู้แค่คิดถึงเหตุการณ์นี้ก็พอจะเดาได้ว่าความเสียใจของคนรุ่นก่อนที่คิดอยากรักษาศิลปะประเภทนี้ไว้จะมีมากมายขนาดไหนแต่ทว่าโชคดีที่อย่างน้อยเด็กน้อยเบื้องหน้านี้ยังสามารถสืบทอดศิลปะด้านนี้ไว้ได้
ถึงแม้ว่านี่จะเป็ครั้งแรกที่หลินเยว่ได้เห็นกระบวนการการผลิตเครื่องเคลือบทั้งหมดแต่ทว่าหลินเยว่มั่นใจว่าในจิ่งเต๋อเจิ้นคนที่มีฝีมือเหนือกว่าเด็กน้อยเบื้องหน้าของเขาคนนี้มีเพียงไม่กี่คนแล้ว
เพราะระดับความจดจ่อและความสงบนิ่งเช่นเมื่อสักครู่ไม่ได้เป็สิ่งที่คนทั่วๆไปจะสามารถทำได้
ไม่แน่... ศิลปะการผลิตเครื่องเคลือบของจิ่งเต๋อเจิ้นจะถูกพัฒนาไปอย่างก้าวไกลด้วยฝีมือของเด็กน้อยเบื้องหน้าเขาคนนี้
หากเป็ความจริงหลินเยว่ก็รู้สึกยินดีด้วยจากใจจริง เพราะการที่ศิลปะดั้งเดิมของประเทศจีนสามารถสืบทอดต่อไปไม่ได้ตกต่ำสูญหาย เช่นนี้จึงจะสามารถเพิ่มการยอมรับจากชนชาติต่างๆ
การที่ชนชาติสามารถรวมตัวเป็กลุ่มเป็ก้อนจึงจะนำพาไปสู่ความแข็งแกร่ง
“คุณเรียนมานานเท่าไรแล้วล่ะ?”
หลินเยว่รู้สึกประหลาดใจกับพร์ของเด็กน้อยตรงหน้าอย่างยิ่งเขามีอายุเพียง 12 – 13 ปีเท่านั้นแล้วทำไมถึงมีความสามารถสูงระดับนี้แล้วล่ะ
“10 ปี”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หลินเยว่ก็ถึงกับตกตะลึง... 10ปี?
นั่นก็หมายความว่าเด็กน้อยคนนี้ตอนที่อายุ 2- 3 ขวบก็เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตเครื่องเคลือบแล้วนับเป็เวลา 10 ปีเต็มๆจากความอยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อยคนหนึ่งกลับสามารถยืนหยัดได้ยาวนานถึง 10ปีนั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความหลงใหลในการสร้างสรรค์เครื่องเคลือบมากขนาดไหนยิ่งไปกว่านั้นก็เป็การแสดงถึงพร์ของเขาอีกด้วย
“ผมดีใจที่ได้รู้จักคุณนะ”
หลินเยว่ส่งยิ้มพร้อมกับยื่นมือออกมาและพูดขึ้น“หลินเยว่”
เด็กน้อยไม่ได้มีความลังเลเลยสักนิด เขาส่งยิ้มยื่นมือออกมาจับมือของหลินเยว่พร้อมพูดขึ้น “หลิวหาน”
พวกเขาสองคนจับมือกัน สบตากัน และส่งยิ้มให้กัน
หลินเยว่มองท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าเป็เวลาบ่ายคล้อยซึ่งถึงเวลาที่เขาควรจะกลับได้แล้ว ดังนั้น เขาจึงพูดอย่างอ้อมๆว่าเขาเดินหลงทางอยู่ในนี้ หวังว่าอีกฝ่ายจะพาเขาออกไปจากที่นี่ได้
หลิวหานพยักหน้ารับทราบเขาปิดประตูบ้านของตนเองเรียบร้อยแล้วจึงพาหลินเยว่เดินออกไปยังด้านนอก
ขณะที่หลินเยว่มองบ้านที่มีขนาดใหญ่หลังนี้แล้วจึงเกิดความสงสัยว่าทำไมบ้านที่ใหญ่ขนาดนี้กลับมีเด็กอายุ12 - 13 ปีอาศัยอยู่คนเดียว คุณพ่อคุณแม่ของเขาล่ะ?ออกไปทำงานหรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว?
ณ เวลานี้ หลินเยว่ยังไม่สามารถหาคำตอบในเื่นี้ได้เพราะเขาคิดอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาเดินหลงอยู่ในนี้มาตลอดทั้งวันแล้วหากเขายังไม่กลับไปอีก เขาคาดว่าเขาอาจจะอดตายอยู่ที่นี่เลยทีเดียวล่ะ!
่เวลาที่เดินอยู่ด้วยกันพวกเขาทั้งสองก็คุยกันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำให้หลินเยว่เห็นว่าหลิวหานคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้มากมายขนาดไหนเขาสามารถพาหลินเยว่เดินลัดเลาะไปตามตรอกต่างๆ อย่างคล่องแคล่วโดยไม่จำเป็จะต้องครุ่นคิดว่ามันเป็ทิศทางใดกันแน่
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลิวหานก็ได้พาหลินเยว่กลับมายังถนนวัตถุโบราณ
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็สามารถหลุดออกมาจากตรอกเล็กๆเ่าั้ได้ หลินเยว่จึงรู้ว่าตนเองเป็มนุษย์ที่ไร้ทิศทางอย่างแท้จริงเขาแยกทิศทางไม่ออกจนถึงขนาดเดินเป็เส้นทางไกลขนาดนั้น
เมื่อถึงถนนวัตถุโบราณหลินเยว่กับหลิวหานจึงบอกลาซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นหลิวหานจึงเดินกลับไปยังทิศทางเดิมที่พวกเขาเดินมา
ขณะที่มองเื้ัของหลิวหานหลินเยว่รู้สึกเหมือนกับเห็นแสงแห่งอนาคตที่เป็ความหวังด้านเครื่องเคลือบของประเทศจีน
เนื่องจากเกรงว่าจะหลงทางอีกหลินเยว่จึงเรียกรถกลับไปยังโรงแรมที่เขาพักอยู่
หลังจากนั้นตลอดทั้ง 7 วัน หลินเยว่ก็ศึกษาเครื่องเคลือบอยู่ในห้องพักและความรู้เหล่านี้ก็ทำให้หลินเยว่รู้สึกหนักสมองในทุกๆ วันในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้ไปแล้วมันเป็ส่วนที่น้อยนิดขนาดไหนความรู้ในสมองของเขาเมื่อเทียบกับความรู้เกี่ยวกับเครื่องเคลือบทั้งหมดมันก็เหมือนกับดวงดาวดวงเล็กๆเอาไปเทียบกับพระจันทร์กระจ่างเลยทีเดียว มันอยู่กันคนละระดับอย่างชัดเจน ห่างชั้นจนเกินไป!
คืนที่ 7 หลังจากที่หลินเยว่เรียนรู้เครื่องเคลือบมาตลอดทั้งวันเขาแบกสมองอันหนักอึ้งกลับมาที่ห้องพักของตัวเองเขาหยิบท่อนไม้และมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บออกมาฝึกฝนการ “แกะรูป”หลายวันมานี้เขาได้ฝึกขั้นตอนแรกของ “คัมภีร์การแกะสลัก”จนเริ่มมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดเวลาที่เขาใช้ในการแกะสลักแก้วหนึ่งใบก็สั้นลงเรื่อยๆและการลงมีดก็มีความชำนาญขึ้น เขาทำความเข้าใจวิธีการใช้มีดในขั้นตอนการ “แกะรูป”นี้ได้เกินครึ่งแล้ว แต่สิ่งที่เขาขาดก็คือความชำนาญที่เกิดจากการฝึกฝนนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้